แหล่งความรู้ SiteMinder - ข้อมูลเชิงลึกและข่าวสารโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/ Global Booking Distribution Solutions Fri, 18 Jul 2025 04:06:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM): คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/customer-relationship-management/ Fri, 23 May 2025 03:30:46 +0000 https://www.siteminder.com/?p=192455 การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) คืออะไร?

การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) เป็นทั้งกลยุทธ์และชุดเครื่องมือที่ช่วยให้คุณจัดการและปรับปรุงความสัมพันธ์กับแขกได้ดียิ่งขึ้น

นักธุรกิจโรงแรมบางรายคิดว่า CRM เป็นเพียงส่วนเสริมทางการตลาด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นส่วนหลักในการดำเนินงานสมัยใหม่ ระบบ CRM ช่วยรวบรวมปฏิสัมพันธ์ของแขกทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน ไม่ว่าใครจะจองผ่าน OTA ติดต่อคุณโดยตรง หรือมาโดยไม่ได้นัดหมาย ระบบ CRM จะให้บริบทที่ทีมงานของคุณต้องการเพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น

ระบบ CRM ทำงานโดยการรวบรวมข้อมูลที่แขกของคุณทิ้งไว้ และช่วยให้ทีมงานของคุณใช้ข้อมูลเหล่านั้นอย่างชาญฉลาด ประวัติการจอง คำขอก่อนมาถึง ความต้องการระหว่างเข้าพัก และข้อเสนอแนะหลังเข้าพัก ล้วนป้อนเข้าสู่โปรไฟล์เดียว สิ่งนี้ช่วยให้คุณปรับแต่งการสื่อสาร สร้างความประหลาดใจให้แขกด้วยการสัมผัสที่เป็นส่วนตัว และคงการเชื่อมต่อไว้นานหลังจากเช็คเอาท์

ในโลกของโรงแรม ระบบ CRM มุ่งเน้นไปที่การสร้างการเข้าพักที่น่าจดจำ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการสร้างความภักดีเมื่อเวลาผ่านไป มากกว่าไปป์ไลน์การขาย

ในบล็อกนี้ เราจะแสดงให้คุณเห็นว่าทำไมระบบ CRM จึงสำคัญ คุณสามารถนำไปใช้ในธุรกิจโรงแรมของคุณอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร และตัวเลือกที่ดีเยี่ยมบางอย่างที่ช่วยให้ผู้จัดการและเจ้าของโรงแรมเช่นคุณประสบความสำเร็จในภูมิทัศน์ที่แข่งขันรุนแรงขึ้น

สารบัญ

เหตุใดการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าในโรงแรมจึงสำคัญ

ความคาดหวังของแขกสูงขึ้นกว่าที่เคย แต่เครื่องมือที่โรงแรมหลายแห่งพึ่งพานั้นไม่ทันสมัย เมื่อข้อมูลการจองอยู่ในระบบหนึ่ง ความต้องการของแขกอยู่ในอีกระบบหนึ่ง และบันทึกการติดตามอยู่ในกล่องจดหมายของใครบางคน ผลลัพธ์คือประสบการณ์ที่ไม่ต่อเนื่อง สำหรับทั้งแขกและทีมงานของคุณ

ทีมงานของคุณพลาดการอัปเซล แขกที่กลับมาได้ห้องผิด คำขออื่นหลุดลอดไป เหล่านี้เป็นสัญญาณของระบบที่ไม่ทำงานหนักพอสำหรับธุรกิจของคุณ

CRM ช่วยเชื่อมโยงจุดต่างๆ โดยการรวมข้อมูลแขกเข้าที่เดียวและทำให้จุดสัมผัสสำคัญเป็นอัตโนมัติ ทำให้ทีมงานของคุณมั่นใจที่จะปรับแต่งการเข้าพักแต่ละครั้ง ติดตามอย่างสม่ำเสมอ และใช้ข้อมูลที่คุณรวบรวมอยู่แล้วอย่างชาญฉลาด

และมันให้ผลลัพธ์ที่แท้จริง โรงแรมที่ใช้กลยุทธ์ CRM แบบกำหนดเป้าหมายเห็นการจองซ้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 23% ความภักดีแบบนั้นหมายถึงการเติบโตของรายได้ระยะยาว แต่การนำระบบ CRM มาใช้ในอุตสาหกรรมยังคงต่ำ เพียง 21% ของโรงแรม ซึ่งครอบคลุมประมาณหนึ่งในสามของห้องพักทั่วโลก ใช้ระบบ CRM ในปัจจุบัน

ช่องว่างนั้นสร้างโอกาสที่ชัดเจนสำหรับโรงแรมที่มีวิสัยทัศน์ไกลในการโดดเด่น

รวบรวมข้อมูลแขกของคุณด้วย SiteMinder

หยุดสลับระหว่างระบบ SiteMinder ช่วยให้คุณเชื่อมต่อ CRM และ PMS เพื่อให้ปฏิสัมพันธ์ของแขกทุกครั้งรู้สึกเป็นส่วนตัว.

ดูเดโม

ประโยชน์ของการมีระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า

ปฏิสัมพันธ์แต่ละครั้งให้ทางเลือกแก่คุณ: ทำให้มันมีความหมายหรือปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สังเกต ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาจองจนถึงวันที่เช็คเอาท์ แขกแบ่งปันข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับความต้องการ นิสัย และความคาดหวังของพวกเขา หากไม่มีระบบที่จะจับและดำเนินการกับข้อมูลนั้น โอกาสก็จะหลุดลอดไป

ระบบ CRM ที่ดีให้ความชัดเจนและเวลาแก่ทีมงานของคุณเพื่อมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ แทนที่จะเด้งระหว่างกล่องจดหมายและสเปรดชีต พนักงานสามารถเข้าถึงโปรไฟล์แขกที่ทันสมัย ทำงานซ้ำๆ ให้เป็นอัตโนมัติ และให้บริการที่สม่ำเสมอมากขึ้น การวิจัยแสดงว่าการเพิ่มการรักษาลูกค้าเพียง 5% สามารถเพิ่มกำไรได้มากถึง 95%

สำหรับโรงแรมที่แข่งขันด้วยความภักดีและการจองซ้ำ การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบที่แท้จริง

การสื่อสารที่ดีขึ้น

แทนที่จะเขียนอีเมลเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทีมงานของคุณสามารถใช้เทมเพลตและทริกเกอร์เพื่อทำการยืนยัน การเตือนความจำ และการติดตามให้เป็นอัตโนมัติ ข้อความจะถูกส่งตรงเวลาและในโทนที่เหมาะสม โดยไม่ต้องไล่ตามการจองแต่ละครั้ง

ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว

เมื่อโปรไฟล์แขกแต่ละคนเก็บการเข้าพักในอดีต ความต้องการ และบันทึกโดยอัตโนมัติ การปรับแต่งประสบการณ์จึงง่ายขึ้น นั่นอาจหมายถึงการเสนอห้องโปรดของพวกเขา การจดจำความต้องการด้านอาหาร หรือเพียงแค่ทักทายด้วยชื่อเมื่อพวกเขาเดินผ่านประตู

การปรับปรุงการดำเนินงาน

งานประจำเช่นการส่งคำขอข้อเสนอแนะหรือข้อมูลก่อนมาถึงสามารถทำให้เป็นอัตโนมัติผ่าน CRM ของคุณ นั่นลดเวลาในการดูแลและทำให้พนักงานของคุณมุ่งเน้นไปที่การให้บริการ ไม่ใช่การประมวลผลเอกสาร

การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

CRM ของคุณเก็บข้อมูล แต่มันยังเปลี่ยนข้อมูลนั้นให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้ ดูว่าแคมเปญไหนขับเคลื่อนการจองซ้ำ ระบุกลุ่มแขกที่ทำกำไรมากที่สุด และปรับกลยุทธ์ของคุณตามรูปแบบจริงแทนที่จะเดาเอา

คุณสมบัติที่จำเป็นของระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า

ระบบ CRM ไม่ใช่ทุกตัวเหมาะกับวิธีการทำงานของโรงแรม บางตัวสร้างมาสำหรับจัดการไปป์ไลน์การขาย บางตัวสำหรับจัดการตั๋วสนับสนุน คุณต้องการระบบที่ช่วยให้ทีมงานของคุณตอบสนองอย่างรวดเร็ว ปรับแต่งการเดินทางของแขก และลดงานทำมือโดยไม่สร้างความซับซ้อนมากขึ้น

นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในสภาพแวดล้อมโรงแรม:

คุณสมบัติการจัดการแขก

เริ่มต้นด้วยโปรไฟล์แขกที่ละเอียดครบถ้วนตัวเดียว ประวัติการจอง ความต้องการ รายละเอียดการติดต่อ และข้อเสนอแนะทั้งหมดเก็บไว้ด้วยกัน ทำให้ทีมงานของคุณมีภาพรวมที่สมบูรณ์ของแขกทุกคน แม้ในการเข้าพักหลายครั้งหรือหลายสถานที่

ประสิทธิภาพการดำเนินงาน

ระบบ CRM ที่มุ่งเน้นโรงแรมทำมากกว่าการเก็บข้อมูล พวกมันช่วยเอางานซ้ำๆ ออกจากจานของทีมงานคุณโดยการทำอีเมลยืนยัน ข้อความก่อนมาถึง และคำขอข้อเสนอแนะหลังเข้าพักให้เป็นอัตโนมัติ นั่นหมายถึงเวลามากขึ้นสำหรับบริการแบบตัวต่อตัวและรายละเอียดที่หลุดลอดน้อยลง

การตลาดอัตโนมัติ

การดำเนินแคมเปญเป้าหมายไม่ควรต้องใช้ทีมการตลาดเต็มรูปแบบ ระบบ CRM ที่แข็งแกร่งให้คุณจัดกลุ่มแขกตามพฤติกรรมในอดีตหรือประวัติการเข้าพัก และกำหนดเวลาข้อเสนอที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนลดวันเกิด แพ็กเกจตามฤดูกาล หรือการติดตามสำหรับแขกที่ไม่กลับมา

การวิเคราะห์และปัญญา

แทนที่จะเดาว่าอะไรทำงาน ระบบ CRM ของคุณควรแสดงให้คุณเห็น เครื่องมือรายงานช่วยให้คุณเห็นว่าแคมเปญไหนทำงาน แขกไหนจองอีกครั้ง และแขกที่มีมูลค่าสูงสุดของคุณมาจากไหน

โอกาสอัปเซล

การเสนออัปเกรดที่เวลาเหมาะสมง่ายขึ้นเมื่อคุณรู้ว่าใครน่าจะรับ ระบบ CRM สามารถช่วยระบุแขกที่ภักดีหรือใช้จ่ายสูง เพื่อให้ทีมงานของคุณสามารถเสนอสิ่งพิเศษเช่นการอัปเกรดห้องหรือเช็คเอาท์สายในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ตัวอย่าง 5 อันดับแรกของซอฟต์แวร์การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า

เครื่องมือ CRM มีมากมาย ด้านล่างนี้คือแพลตฟอร์มยอดนิยมห้าตัว แต่ละตัวเสนอแนวทางที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาด สไตล์ และความต้องการของสถานที่ของคุณ โรงแรมขนาดเล็กอาจได้ประโยชน์มากกว่าจากเครื่องมือเฉพาะทางที่ปรับแต่งได้ เช่น Little Hotelier

Salesforce

Salesforce เป็นตัวแกร่งเมื่อพูดถึงการปรับแต่งและความสามารถในการขยายตัว มักใช้โดยกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการการดำเนินงานที่ซับซ้อนในหลายแผนก รวมถึงการขาย ความภักดี และการตลาด

HubSpot

HubSpot เป็นที่รู้จักในการใช้งานง่ายและตั้งค่าง่าย โรงแรมขนาดเล็กและสถานที่อิสระมักใช้มันเพื่อจัดการการติดต่อแขกและดำเนินแคมเปญอีเมลพื้นฐานโดยไม่ต้องใช้พนักงานการตลาดเฉพาะทาง

Userpilot

Userpilot มุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของผู้ใช้และการปฐมนิเทศ มักพบในการตั้งค่าการต้อนรับแบบผสม เช่น อพาร์ตเมนต์บริการหรือแบรนด์การเข้าพักระยะสั้นที่เปิดใช้เทคโนโลยี ที่การเช็คอินผ่านแอปและการเดินทางของแขกเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์

Zendesk

Zendesk เริ่มต้นเป็นเครื่องมือสนับสนุน และนั่นยังคงเป็นที่ที่มันเจิดจ้า โรงแรมที่มีปริมาณข้อความแขกสูงมักใช้มันเพื่อติดตามคำขอบริการ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรพลาดในอีเมล แชท และช่องทางอื่นๆ

ActiveCampaign

ActiveCampaign ผสมผสานฟังก์ชัน CRM กับการตลาดอัตโนมัติที่ซับซ้อน มักใช้โดยกลุ่มโรงแรมที่ต้องการบำรุงความสัมพันธ์แขกด้วยข้อเสนอเป้าหมาย โดยเฉพาะเมื่อดำเนินแคมเปญความภักดีหรือการมีส่วนร่วมใหม่

การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า: ระบบ CRM ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมโรงแรม

คุณไม่ต้องการระบบอื่นที่เพิ่มงานมากขึ้น สิ่งที่คุณต้องการคือสิ่งที่รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน (การจอง บันทึกแขก ความต้องการ) เพื่อให้ทีมงานของคุณสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างห้าแท็บที่แตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง

ระบบ CRM ที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมทำงานอย่างเงียบๆ ในพื้นหลัง มันรับรายละเอียดการจองจากระบบจัดการทรัพย์สิน (PMS) ของคุณ บันทึกปฏิสัมพันธ์แขกโดยอัตโนมัติ และช่วยให้คุณติดตามด้วยข้อความที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม มันไม่ใช่เรื่องของการมีข้อมูลมากขึ้น แต่เป็นเรื่องของการมีข้อมูลที่เหมาะสม ในที่เหมาะสม เมื่อคุณต้องการ

]]>
ระบบ Galileo GDS: สำหรับธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/galileo-gds/ Fri, 17 Jan 2025 02:20:15 +0000 https://www.siteminder.com/r/galileo-gds/ Galileo GDS คืออะไร?

Galileo เป็นแพลตฟอร์มจัดจำหน่ายด้านการท่องเที่ยวที่ใช้ระบบ GDS (Global Distribution System) ช่วยให้เอเจนซี่ท่องเที่ยวจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และบริการท่องเที่ยวอื่นๆ ได้สะดวกรวดเร็ว

Galileo GDS อยู่ภายใต้การดูแลของ Travelport ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ให้บริการหลักของตลาด GDS (คู่แข่งคือ Amadeus และ Sabre) นอกจากนี้ Travelport ยังดูแลแพลตฟอร์ม Apollo และ Wordspan ด้วย เมื่อโรงแรมใช้บริการเชื่อมต่อจากพาร์ทเนอร์อย่าง SiteMinder GDS เอเจนซี่ท่องเที่ยวและบริษัทดูแลการเดินทางสำหรับองค์กรธุรกิจสามารถจองห้องพักผ่าน Galileo และผู้ให้บริการ GDS รายใหญ่อื่นๆ ได้ทันที

แม้ว่า Galileo จะเป็นที่รู้จักในด้านการจองตั๋วเครื่องบินเป็นหลัก แต่บรรดาเอเจนท์ก็ใช้ระบบนี้จองโรงแรม รถเช่า และบริการท่องเที่ยวต่างๆ ให้ลูกค้าอยู่เสมอ

gds infographic

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จัก Galileo ในมุมมองของผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ GDS ตั้งแต่วิธีการทำงานไปจนถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะได้รับจากช่องทางการจัดจำหน่ายนี้

สารบัญ

ทำไมโรงแรมควรใช้ Galileo GDS?

Galileo (รวมถึง Apollo และ Wordspan) อยู่ภายใต้การดูแลของ Travelport ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่ของระบบ GDS ระดับโลก

นั่นหมายความว่า เมื่อห้องพักของโรงแรมคุณอยู่ในระบบ Galileo แล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะปรากฏบนแพลตฟอร์มอื่นๆ ของ Travelport โดยอัตโนมัติด้วย ทำให้คุณเข้าถึงเครือข่ายบริษัททัวร์กว่า 68,000 แห่งทั่วโลก หรือเทียบเท่ากับเอเจนท์มากกว่า 250,000 รายที่พร้อมขายห้องพักให้คุณ

Galileo ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เอเจนท์ท่องเที่ยวในเอเชียและตะวันออกกลาง ดังนั้น การที่โรงแรมของคุณจองได้ผ่านระบบนี้ จะช่วยเพิ่มยอดจองจากลูกค้าในภูมิภาคเหล่านี้ได้อย่างเห็นได้ชัด

GDS มีบทบาทอย่างไรในธุรกิจโรงแรม?

ระบบ GDS เป็นเหมือนศูนย์กลางที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวจองบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก รถเช่า หรือทัวร์ให้กับลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

เดิมที ระบบ GDS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สายการบินลดขั้นตอนและเพิ่มความเร็วในการจองตั๋ว เมื่อมีสายการบินเข้าร่วมมากขึ้น ระบบก็ค่อยๆ เติบโต จนกลายเป็นตลาดกลางสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวทุกประเภท

โรงแรมสามารถเข้าสู่ระบบ GDS ได้ง่ายๆ ผ่านพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเชื่อมต่อ เช่น SiteMinder GDS

เข้าถึง GDS ชั้นนำทั้งหมดด้วย SiteMinder

ทำไมต้องจำกัดตัวเองแค่กับ Galileo หรือแม้แต่ Travelport? ด้วยความช่วยเหลือจาก SiteMinder คุณสามารถเชื่อมต่อโรงแรมของคุณกับผู้ให้บริการ GDS ชั้นนำทั้งหมด รวมถึง Sabre และ Amadeus เพื่อเพิ่มการมองเห็น การจอง และรายได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

เรียนรู้เพิ่มเติม

Galileo GDS แตกต่างจากระบบ GDS อื่นๆ อย่างไร?

โดยรวมแล้ว Galileo มีความคล้ายคลึงกับผู้ให้บริการ GDS รายอื่นๆ เช่น Apollo (ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานที่ถูกนำมาพัฒนาต่อ), Worldspan, Sabre และ Amadeus แต่มีจุดเด่นสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่:

  • ได้รับความนิยมในเอเชีย โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งมีเอเจนท์ท่องเที่ยวถึง 55% เลือกใช้ Galileo เป็นระบบ GDS หลัก
  • เชื่อมต่อกับ Travelport: เมื่อนำห้องพักของคุณเข้าสู่ระบบ Galileo แล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกแชร์ไปยังแพลตฟอร์ม Apollo และ Wordspan โดยอัตโนมัติในคราวเดียว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาลงทะเบียนหลายครั้ง ทำให้เพิ่มโอกาสในการขายยิ่งขึ้น

Galileo GDS

ประโยชน์ที่โรงแรมจะได้รับจากระบบ Galileo GDS

ทุกคนรู้จัก Galileo ในฐานะระบบจองตั๋วเครื่องบิน แล้วมันจะช่วยธุรกิจโรงแรมได้อย่างไร? คำตอบง่ายๆ คือ เอเจนท์ท่องเที่ยวมักจองที่พักพร้อมตั๋วเครื่องบินเสมอ ดังนั้นการที่โรงแรมของคุณปรากฏอยู่ในระบบเดียวกับที่เขาจองตั๋วเครื่องบินจึงเป็นโอกาสทองทางธุรกิจ

นอกจากนี้ Galileo ยังมีข้อดีหลายอย่าง ดังนี้

เจาะตลาดทั่วโลกได้กว้างขึ้น   

Galileo และระบบ GDS โดยรวม เป็นตัวเสริมที่ลงตัวกับช่องทางขายที่คุณมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น OTA อย่าง Agoda หรือ Booking.com, เว็บไซต์เปรียบเทียบราคา หรือการจองผ่านเว็บไซต์โรงแรมโดยตรง เพราะช่วยให้คุณได้ลูกค้าจากแหล่งที่ช่องทางอื่นเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะเอเจนซี่ท่องเที่ยวและบริษัทที่ดูแลการเดินทางให้องค์กรต่างๆ

รับมือกับการจองแบบกรุ๊ปได้ง่าย

Galileo ช่วยให้เอเจนท์จองห้องพักเป็นกลุ่มใหญ่ได้แบบไม่ยุ่งยาก ทำให้โรงแรมของคุณมีโอกาสรับกรุ๊ปทัวร์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปจากจีน ญี่ปุ่น หรือกลุ่มประชุมสัมมนาต่างๆ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย

ดึงดูดนักเดินทางธุรกิจได้มากขึ้น

Galileo ทำให้โรงแรมของคุณเป็นตัวเลือกในสายตาของเอเจนท์ที่ดูแลลูกค้าองค์กร และบริษัทจัดการเดินทางธุรกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่นำมาซึ่งการจองที่มีมูลค่าสูง กลุ่มลูกค้าองค์กรมักไม่ค่อยกังวลเรื่องราคาเท่าไร และนิยมเข้าพักในวันธรรมดาที่โรงแรมมักจะมีอัตราเข้าพักต่ำ ช่วยเติมเต็มช่วงกลางสัปดาห์ที่มักจะเงียบเหงา

โอกาสในการอัพเซลล์ได้สบายๆ

GDS เปิดโอกาสให้โรงแรมของคุณสามารถเสนอขายบริการเสริมได้โดยไม่ต้องลงแรงมาก คุณสามารถนำเสนอตัวเลือกเพิ่มมูลค่าให้กับเอเจนท์ (และลูกค้าของพวกเขา) เช่น ห้องพักระดับพรีเมียม แพ็คเกจสปา หรือบริการอาหารภายในโรงแรม ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะตัวและเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรม

เชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่ได้แบบไม่มีสะดุด

SiteMinder GDS มีระบบ API ที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับโปรแกรมที่โรงแรมใช้อยู่แล้วได้โดยง่าย ไม่ว่าจะเป็นระบบจองห้องพักหรือระบบจัดการโรงแรม (PMS) คุณสามารถอัพเดตห้องว่าง ราคา และข้อมูลต่างๆ แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์บน Galileo และระบบ GDS อื่นๆ ได้ในคราวเดียว

โรงแรมต้องทำอย่างไรเพื่อใช้งาน Galileo GDS?

สิ่งที่คุณควรรู้คือ โรงแรมไม่ได้เชื่อมต่อกับ Galileo โดยตรง แต่ Galileo เป็นเครื่องมือที่เอเจนท์ใช้เพื่อจองห้องพักของคุณ

ในฐานะผู้ประกอบการโรงแรม แม้คุณจะลิสอยู่บน Galileo แต่คุณจะไม่ได้ใช้งาน Galileo โดยตรง แต่ต้องควบคุมผ่านพาร์ทเนอร์ตัวกลาง เช่น SiteMinder GDS นี่คือขั้นตอนง่ายๆ:

1. เลือกพาร์ทเนอร์ตัวกลาง

เลือกพาร์ทเนอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) ของคุณได้ และทำงานได้กับทุกระบบ GDS หลัก ไม่ใช่แค่ Galileo เท่านั้น พาร์ทเนอร์เหล่านี้จะช่วยแปลงข้อมูลห้องพัก ราคา และสถานะห้องว่างให้อยู่ในรูปแบบที่ระบบ GDS อ่านเข้าใจได้

2. ใส่ข้อมูลโรงแรม

ให้ข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดแก่พาร์ทเนอร์ตัวกลาง ทั้งประเภทห้องพัก ราคา สิ่งอำนวยความสะดวก รูปภาพ นโยบาย และความพร้อมให้บริการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบ GDS ทั้งหมด

3. อัพเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

หลังจากตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถปรับราคา โปรโมชั่น และข้อมูลห้องว่างได้แบบเรียลไทม์ผ่านพาร์ทเนอร์ตัวกลาง การอัพเดตข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอจะทำให้โรงแรมของคุณโดดเด่นและได้เปรียบในการแข่งขัน ในสายตาเอเจนท์ที่ใช้ Galileo และระบบ GDS อื่นๆ

]]>
ระบบ Travelport GDS ช่วยธุรกิจโรงแรมได้ยังไง? https://www.siteminder.com/th/r/travelport-gds/ Wed, 15 Jan 2025 00:36:58 +0000 https://www.siteminder.com/r/travelport-gds/ Travelport GDS คืออะไร?

Travelport GDS เป็นระบบจัดการข้อมูลการจองที่พักและการเดินทางระดับโลก ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว (โรงแรม สายการบิน บริษัทเช่ารถ) กับบริษัททัวร์หรือตัวแทนที่จองบริการเหล่านี้ให้ลูกค้า

ในวงการท่องเที่ยว Travelport ถือเป็นหนึ่งในบริษัท GDS ชั้นนำ อยู่ในระดับเดียวกับ Sabre และ Amadeus

Travelport GDS ทำอะไรได้บ้าง?

จริงๆ แล้ว Travelport เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของและบริหารแพลตฟอร์ม GDS ทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ Galileo Apollo และ Worldspan 

ทาง Travelport ได้ทยอยซื้อแพลตฟอร์มทั้งสามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท แม้ว่าแต่ละแพลตฟอร์มจะยังคงทำงานแบบแยกกันต่างหาก แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารงานของ Travelport

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จัก Travelport ในมุมมองของผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ GDS วิธีการทำงาน และวิธีที่โรงแรมสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการขายนี้ผ่านการเชื่อมต่อกับระบบอย่าง SiteMinder

สารบัญ

ทำไมผู้ประกอบการโรงแรมควรรู้จัก Travelport GDS

Travelport มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ทำให้เป็นประโยชน์สำหรับโรงแรมที่ต้องการใช้โอกาสทางการตลาดที่มาพร้อมกับระบบ GDS

การพัฒนาล่าสุดและความสำเร็จทางการเงิน

Travelport ได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบพื้นฐานด้านไอที สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการรักษาความเป็นผู้นำในตลาด GDS ที่มีการแข่งขันสูง เพื่อให้มั่นใจว่าแพลตฟอร์มมีความปลอดภัย เสถียร และพร้อมรับมือกับอนาคต

การยกระดับระบบการขายแบบใหม่และเทคโนโลยี NDC (New Distribution Capability)

NDC เป็นเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ที่ปฏิวัติวิธีการขายและซื้อบริการท่องเที่ยวให้ทันสมัยขึ้น

เข้าถึงเครือข่าย GDS ชั้นนำทั้งหมดด้วย SiteMinder

ด้วยความช่วยเหลือจาก SiteMinder คุณสามารถเชื่อมต่อโรงแรมของคุณกับผู้ให้บริการ GDS ชั้นนำในอุตสาหกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Travelport, Sabre และ Amadeus เพื่อเพิ่มการมองเห็น การจอง และรายได้ได้มากกว่าที่เคย

เรียนรู้เพิ่มเติม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Travelport GDS

เพิ่งรู้จัก Travelport GDS ใช่ไหม? ลองมาดูคำถามยอดฮิตกันสักหน่อย เพื่อให้เข้าใจว่าระบบ GDS นี้คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร

ใครเป็นเจ้าของ Travelport GDS?

ในปี 2019 Travelport เปลี่ยนสถานะจากบริษัทมหาชนกลับมาเป็นบริษัทเอกชนอีกครั้ง หลังจากถูกซื้อกิจการโดย Siris Capital Group และ Evergreen Coast Capital ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท)

ประวัติความเป็นมาของ Travelport GDS เป็นยังไง?

จุดเริ่มต้นของ Travelport GDS เกิดขึ้นในปี 2001 เมื่อ Cendant Corporation ก่อตั้งบริษัทหลังจากซื้อกิจการ Galileo GDS และ CheapTickets หลังจากนั้นก็มีการเข้าซื้อกิจการอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่สำคัญที่สุดคือการซื้อ Worldspan ในปี 2007

Travelport เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการทำ IPO ในปี 2014 จากนั้นบริษัทก็ออกนอกตลาดหลักทรัพย์ไปในปี 2019

Travelport GDS มีส่วนแบ่งการตลาดเท่าไร?

ปัจจุบัน Travelport GDS ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 22% ตามหลัง Amadeus ที่ 40% (ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในยุโรป) และ Sabre ที่ 35% (ผู้นำในสหรัฐอเมริกาและเอเชีย)

ใครบ้างที่ใช้ระบบ Travelport GDS?

Travelport ให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม GDS สามระบบคือ Galileo, Apollo และ Worldspan ซึ่งเอเจนซี่ท่องเที่ยวหลากหลายประเภทใช้เพื่อเข้าถึงและจองบริการจากผู้ให้บริการอย่างโรงแรมหรือสายการบิน น่าสนใจคือ Galileo จะเน้นไปทางด้านโรงแรมมากกว่า ในขณะที่ Worldspan และ Apollo นั้นแต่เดิมจะเน้นด้านสายการบินเป็นหลัก

Travelport GDS

Travelport GDS ช่วยธุรกิจโรงแรมได้ยังไงบ้าง?

ในฐานะผู้ให้บริการระบบ GDS ชั้นนำ Travelport ดูแลเครือข่ายออนไลน์ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เอเจนซี่ท่องเที่ยวทั่วโลกค้นพบและจองโรงแรมของคุณได้ ระบบ GDS นี้เปรียบเสมือนตัวเปลี่ยนเกมสำหรับกลุ่มโรงแรมและเครือโรงแรมที่อยากรุกตลาดต่างประเทศและขยายฐานลูกค้า

อะไรทำให้ Travelport แตกต่างจากระบบอื่นกันล่ะ? Travelport GDS เชื่อมต่อกับเครือข่ายเอเจนซี่ท่องเที่ยวมากถึง 68,000 แห่งทั่วโลก คิดเป็นตัวแทนการท่องเที่ยวรายบุคคลกว่า 250,000 คน การเข้าถึงกว้างขวางขนาดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้โรงแรมคุณเป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศอย่างก้าวกระโดด

เครื่องมือการตลาดที่ทันสมัยและปรับแต่งได้ตามความต้องการ

ด้วยเทคโนโลยีการขายแบบสมัยใหม่และระบบ NDC ทำให้โรงแรมคุณเสนอราคาห้องพิเศษ โปรโมชัน และแพ็กเกจที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ง่ายขึ้น คุณจึงสามารถเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มได้ตรงเป้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลักชูรี่ นักธุรกิจ หรือกรุ๊ปทัวร์

เชื่อมต่อกับทุกช่องทางการขายแบบไร้รอยต่อ

แพลตฟอร์มของ Travelport สามารถเชื่อมต่อกับผู้จัดจำหน่ายชั้นนำและระบบจัดการโรงแรม (PMS) ต่างๆ ได้หมด ทำให้ข้อมูลห้องว่าง ราคา และการจองได้รับการอัพเดตแบบเรียลไทม์ในทุกช่องทาง ช่วยให้โรงแรมเพิ่มรายได้สูงสุดและลดปัญหาการจองซ้ำซ้อน

Travelport GDS ทำงานร่วมกับระบบเทคโนโลยีของโรงแรมอย่างไร

หลายโรงแรมกังวลเรื่องการเพิ่มช่องทางการขายใหม่เข้าไปในระบบที่มีอยู่แล้วมากมาย

แต่จริงๆ แล้ว การเพิ่ม GDS เข้าไปในกลยุทธ์ของคุณไม่ได้เพิ่มภาระงานเลย ถ้าคุณลงทุนในระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอย่าง SiteMinder ที่มีระบบจัดการช่องทางการขายที่เก่งและเชื่อมต่อกับระบบ PMS แบบลงตัว ทำให้งานจัดการส่วนใหญ่ทำงานอัตโนมัติได้เลย คุณแค่คลิกไม่กี่ครั้งก็อัพเดตราคาและห้องว่างในทุกช่องทางได้ และการจองใหม่ๆ ก็จะเข้าระบบที่เกี่ยวข้องเองโดยอัตโนมัติ

SiteMinder GDS เชื่อมต่อกับระบบ GDS หลักทั้งหมด – ไม่ใช่แค่ Travelport แต่รวมถึง Sabre และ Amadeus ด้วย – เข้ากับระบบเทคโนโลยีของคุณได้อย่างลงตัว ทำให้ข้อมูลเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่นระหว่างแพลตฟอร์มและเครื่องมือทั้งหมด เปิดโอกาสมากมายสำหรับการทำงานอัตโนมัติที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น

]]>
Sabre GDS คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ สำหรับธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/sabre-gds/ Tue, 14 Jan 2025 23:07:44 +0000 https://www.siteminder.com/r/sabre-gds/ Sabre GDS คืออะไร?

Sabre คือระบบที่ช่วยให้เอเจนซี่ท่องเที่ยวและบริษัททัวร์สามารถค้นหา จอง และจัดการการจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก และรถเช่าได้ในระบบเดียว เหมือนเป็นตัวกลางที่เชื่อมผู้ให้บริการท่องเที่ยวเข้ากับเอเจนซี่ทั่วโลก

ที่มาของชื่อ Sabre GDS – ชื่อนี้มาจากคำย่อสองส่วน คือ Sabre (Semi-Automated Business Research Environment) หรือ “ระบบจัดการธุรกิจกึ่งอัตโนมัติ” และ GDS (Global Distribution System) หรือ “ระบบจัดจำหน่ายทั่วโลก” ระบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 50 และเป็นเทคโนโลยีแรกๆ ในวงการท่องเที่ยวเลยทีเดียว

GDS infographic

Sabre GDS ทำงานอย่างไร?

Sabre เป็นช่องทางการขายสำคัญที่เชื่อมต่อเอเจนซี่ท่องเที่ยวกับผู้ให้บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรม หรือบริษัทรถเช่า

จุดเด่นของ Sabre คือการอัพเดทข้อมูลแบบทันที (เรียลไทม์) ทำให้เอเจนซี่เห็นห้องว่าง ราคา และโปรโมชั่นต่างๆ ได้ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ Sabre ก็เหมือนกับ Agoda หรือ Traveloka แต่เป็นเวอร์ชั่นสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ ที่รวบรวมข้อมูลมหาศาลและมีฟังก์ชั่นที่ออกแบบมาเพื่อเอเจนซี่และโรงแรมโดยเฉพาะ

ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าโรงแรมสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจที่ระบบ GDS และผู้ให้บริการอย่าง Sabre มีให้ได้อย่างไรบ้าง

สารบัญ

ทำไมโรงแรมควรใช้ Sabre GDS

การนำโรงแรมของคุณเข้าสู่ระบบ Sabre GDS ผ่านพาร์ทเนอร์อย่าง SiteMinder เหมือนกับการมีทีมขายกว่า 400,000 คนใน 160 ประเทศทั่วโลก ที่พร้อมแนะนำโรงแรมของคุณให้กับลูกค้านับล้าน

เมื่ออยู่ในระบบ GDS คุณจะได้ยอดจองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังประหยัดเวลาการทำงานอีกด้วย เพราะการทำงานกับเอเจนซี่สะดวกกว่าการรับจองจากลูกค้าทั่วไปมาก พวกเขาจัดการทุกอย่างเองหมด ตั้งแต่การตอบคำถาม จนถึงขั้นตอนการจอง ทำให้ทีมงานของคุณมีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น

ที่สำคัญ Sabre GDS ยังช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มีกำลังซื้อสูง เพราะบริษัทส่วนใหญ่ใช้ระบบนี้ในการจองโรงแรมให้พนักงาน กลุ่มลูกค้าเหล่านี้มักจะใช้จ่ายในโรงแรมมากกว่า พักนานกว่า และที่สำคัญคือมักจองห้องพักช่วงวันธรรมดา ซึ่งเป็นช่วงที่โรงแรมในไทยมักจะมีอัตราการเข้าพักต่ำ ช่วยเติมเต็มห้องพักในวันที่มักจะว่างได้อย่างดี

เข้าถึง GDS ได้อย่างง่ายดายด้วย SiteMinder

ด้วยความช่วยเหลือจาก SiteMinder คุณสามารถเชื่อมต่อโรงแรมของคุณกับผู้ให้บริการ GDS หลักทั้งหมดได้อย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มการมองเห็น การจอง และรายได้มากกว่าที่เคย

เรียนรู้เพิ่มเติม

ประวัติและการพัฒนาของ Sabre GDS

ประวัติของ Sabre เริ่มต้นในช่วงทศวรรษ 1950 เมื่อทีมรับจองของสายการบิน American Airlines กำลังประสบปัญหารับมือกับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในสมัยนั้น กระบวนการจองทั้งหมดทำด้วยมือ และใช้เวลาเฉลี่ยถึง 90 นาทีเพื่อจองที่นั่งให้ผู้โดยสารเพียงคนเดียว

แม้ว่าจะมีการนำคอมพิวเตอร์กลไกไฟฟ้ามาใช้ในปี 1952 แต่เรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นในปีถัดมา เมื่อพนักงานขายของ IBM บังเอิญได้พบกับประธานของ American Airlines จนเกิดเป็นแนวคิดของระบบอัตโนมัติที่ทันสมัยกว่าเดิม

Sabre GDS เริ่มใช้งานได้จริงในปี 1960 ตอนแรกใช้เฉพาะภายใน American Airlines เท่านั้น แต่ในปี 1976 ได้มีการเปิดให้บริษัททัวร์และเอเจนซี่ท่องเที่ยวเข้าถึงระบบได้ด้วย จนพัฒนามาเป็นระบบการจองที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างที่เห็นในทุกวันนี้

Sabre GDS ดีกว่า Amadeus GDS หรือเปล่า?

Sabre และ Amadeus ทั้งคู่ล้วนมีเครือข่าย GDS ที่ครอบคลุมกว้างขวาง ทำให้บริษัททัวร์และเอเจนซี่ท่องเที่ยวหลายพันแห่งทั่วโลกสามารถเห็นและจองห้องพักของโรงแรมคุณได้อย่างสะดวก โดยที่ไม่มีใครเหนือกว่าใครอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หากคุณใช้บริการ SiteMinder GDS คุณจะได้รับประสบการณ์การจัดจำหน่ายแบบไร้รอยต่อ ที่รวมทั้ง Sabre และ Amadeus เข้าด้วยกัน โดยสามารถจัดการช่องทาง GDS ควบคู่ไปกับช่องทางการขายอื่นๆ เช่น OTA (Online Travel Agencies) ได้ในที่เดียว ช่วยให้การบริหารจัดการห้องพักของคุณทำได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Sabre GDS

วิธีใช้แพลตฟอร์ม Sabre GDS ให้เป็นประโยชน์

มีขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จาก Sabre และระบบ GDS อื่นๆ ได้อย่างเต็มที่

ขั้นตอนที่ 1: เริ่มต้นใช้งานระบบ GDS

หากคุณต้องการความสะดวกในการใช้งานและต้องการเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเห็นโรงแรมของคุณมากที่สุด แนะนำให้ใช้บริการจากตัวกลางอย่าง SiteMinder GDS ซึ่งช่วยเชื่อมต่อโรงแรมของคุณกับทั้ง Sabre, Amadeus และ Travelport ได้ในคราวเดียว เมื่อคุณลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ทางระบบจะออกรหัสพิเศษให้กับโรงแรมของคุณ (เรียกว่า Chain Code) เพื่อใช้เป็นตัวระบุตัวตนในระบบ GDS ทั่วโลก

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าข้อมูลที่พักและห้องพัก

อัพโหลดข้อมูลโรงแรมของคุณเข้าสู่ระบบของ SiteMinder ทั้งประเภทห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก ราคา และเงื่อนไขต่างๆ คุณสามารถอัพเดทข้อมูลห้องว่างแบบเรียลไทม์ได้ครั้งเดียวแล้วกระจายไปยังทุกช่องทาง ทำให้ข้อมูลจำนวนห้องและราคาตรงกันเสมอ

ขั้นตอนที่ 3: ตั้งราคาและเลือกช่องทางการขายให้เหมาะสม

นำ SiteMinder มาช่วยในการจัดการราคาห้องพักให้เท่ากันในทุกช่องทาง ทั้งในระบบ GDS และแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่คุณใช้อยู่ ปรับใช้เทคนิคการตั้งราคาแบบยืดหยุ่น (Dynamic Pricing) เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ และช่วยเพิ่มอัตราการจองและรายได้ให้มากที่สุด

ขั้นตอนที่ 4: ติดตามแนวโน้มการจองและผลประกอบการ

ใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและรายงานโดยละเอียดของ SiteMinder เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของโรงแรมและค้นหาแนวโน้มต่างๆ นำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มาปรับกลยุทธ์การตลาดและการกำหนดราคาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น หากพบว่ามีการจองจากเอเจนซี่ในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น คุณอาจปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดตลาดนี้มากขึ้น

ประโยชน์ของการใช้ Sabre GDS สำหรับกลุ่มโรงแรมและเครือโรงแรม

สำหรับโรงแรมเครือและกลุ่มโรงแรม การเปิดตัวบน Sabre GDS มีประโยชน์อย่างมาก เพราะช่วยเพิ่มยอดเข้าพักได้แบบมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะช่วงวันธรรมดาและช่วงโลว์ซีซั่นที่มักมีห้องว่างเยอะ เนื่องจากนักเดินทางกลุ่มธุรกิจส่วนใหญ่นิยมใช้ระบบนี้ในการจองที่พัก

ข้อดีของการใช้ระบบ Sabre GDS มีดังนี้:

เพิ่มรายได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล

ระบบจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับราคาและพฤติกรรมการจองผ่านระบบจัดการช่องทางขาย คุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวางแผนปรับราคาตามความต้องการของตลาดได้แม่นยำมากขึ้น และยังช่วยให้คุณค้นพบโอกาสใหม่ๆ ในการทำรายได้ เช่น กลุ่มลูกค้าที่คุณอาจมองข้ามไป นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือโปรโมชั่นต่างๆ และเสนอราคาพิเศษเพื่อดึงดูดการจองจากบริษัทและกลุ่มทัวร์ได้ง่ายขึ้น

เปิดประตูสู่ตลาดทั่วโลก

ตัว “G” ใน GDS ย่อมาจาก Global (ทั่วโลก) เพราะ Sabre มีผู้ใช้งานมากกว่าแสนรายใน 160 ประเทศ เป็นเหมือนสะพานเชื่อมโรงแรมของคุณกับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ช่วยให้โรงแรมเครือหรือกลุ่มโรงแรมของคุณสามารถก้าวข้ามพรมแดนเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจาะถึงมาก่อน โดยไม่ต้องลงทุนเปิดสำนักงานขายในต่างประเทศหรือจ้างทีมขายเพิ่ม

บริหารจัดการง่าย ทุกอย่างเชื่อมต่อกันหมด

จุดเด่นของ SiteMinder คือการรวมศูนย์การจัดการระบบ GDS ทั้งหมด และเชื่อมโยงเข้ากับระบบจัดการโรงแรม (PMS) ของคุณ ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาอัพเดทข้อมูลหลายรอบในหลายระบบ แค่อัพเดทที่เดียว ข้อมูลราคาและห้องว่างจะถูกส่งไปยังทุกช่องทางการขายโดยอัตโนมัติแบบทันที ช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานซ้ำซ้อน และทำให้ทีมงานของคุณมีเวลาไปโฟกัสกับการให้บริการลูกค้ามากขึ้น

]]>
Amadeus GDS คืออะไร? ใช้ทำอะไร? https://www.siteminder.com/th/r/amadeus-gds/ Tue, 17 Dec 2024 23:34:43 +0000 https://www.siteminder.com/r/amadeus-gds/ Amadeus GDS คืออะไร?

Amadeus GDS เป็นระบบจัดจำหน่ายบริการท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดระบบหนึ่งในวงการโรงแรมและการท่องเที่ยว ถือเป็นตลาดกลางที่ช่วยให้โรงแรมและบริษัทท่องเที่ยวได้นำเสนอห้องพักและบริการต่างๆ ให้กับเอเจนซี่ทั่วโลกได้เห็นและจองได้ง่าย ด้วยเครือข่ายที่เชื่อมต่อกับสายการบินมากกว่า 400 ราย และผู้ให้บริการรถไฟ เรือสำราญ เรือข้ามฟากอีกกว่า 50 ราย ทำให้ Amadeus เปรียบเสมือนประตูบานใหญ่ที่เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับคุณ
GDS infographic

Amadeus GDS ใช้ทำอะไร?

Amadeus GDS ช่วยให้คุณเข้าถึงเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เป็นจุดพบกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในธุรกิจท่องเที่ยว สำหรับโรงแรม นี่คือโอกาสทองที่จะทำให้ห้องพักของคุณถูกเห็นและถูกจองโดยเอเจนซี่ท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม บริษัททัวร์ หรือผู้ขายแพ็คเกจท่องเที่ยวนับพันรายทั่วโลก

ใครเป็นเจ้าของ Amadeus GDS? 

Amadeus GDS บริหารงานโดยกลุ่มบริษัท Amadeus IT Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน ส่วนศูนย์ข้อมูลหลักนั้นตั้งอยู่ที่ประเทศเยอรมนี Amadeus ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการจำหน่ายบริการด้านการท่องเที่ยวระดับโลกในปี 1998

โรงแรมจำนวนเท่าไหร่ที่อยู่ในระบบ Amadeus GDS?

ปัจจุบัน Amadeus มีโรงแรมในเครือข่ายมากกว่าหนึ่งล้านแห่งทั่วโลกที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของพวกเขา และสร้างยอดจองมหาศาลถึงกว่า 450 ล้านการจองต่อปี

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักความสำคัญของ Amadeus ที่มีต่อโรงแรมของคุณ รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับและวิธีใช้ให้คุ้มค่าที่สุดในแผนการตลาดและการทำรายได้ของคุณ

สารบัญ

ทำไม GDS อย่าง Amadeus จึงสำคัญกับโรงแรมของคุณ?

ระบบ GDS อย่าง Amadeus เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโรงแรมของคุณกับนักเดินทางทั่วโลกที่ปกติคุณอาจเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรงแรมขนาดใหญ่หรือเครือโรงแรม

จุดเด่นของ GDS คือการเชื่อมต่อกับโปรแกรมการเดินทางของบริษัทและองค์กรธุรกิจ ช่วยให้คุณได้ลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง บริษัทใหญ่ๆ มักจะใช้ระบบที่เชื่อมต่อกับ GDS เพื่อจองทั้งที่พักและบางครั้งรวมถึงแพ็คเกจการเดินทางทั้งหมด

ข้อดีอีกอย่างคือโอกาสในการรับจองห้องประชุมและงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของตลาดนักเดินทางเชิงธุรกิจ การเป็นโรงแรมในลิสต์ที่บริษัทเลือกใช้บริการประจำจะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับคุณ

สรุปง่ายๆ การมีชื่ออยู่ใน Amadeus เป็นเหมือนการเปิดช่องทางการขายเพิ่มที่ทรงพลัง ช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรสูงสุด

ประสบความสำเร็จบน GDS ได้อย่างง่ายดายด้วยโซลูชันการจัดจำหน่ายที่ดีที่สุด

ใช้ประโยชน์สูงสุดจากระบบการจัดจำหน่ายทั่วโลกด้วยแพลตฟอร์มโรงแรมชั้นนำของ SiteMinder

เรียนรู้เพิ่มเติม

Amadeus GDS ช่วยเพิ่มช่องทางการขายและรายได้ให้โรงแรมของคุณ

การใช้พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีอย่าง SiteMinder เพื่อเชื่อมต่อกับ Amadeus และ GDS อื่นๆ จะช่วยให้โรงแรมของคุณได้รับการจองและกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

กลยุทธ์การตลาดที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องไม่พึ่งพาช่องทางเดียว แต่ต้องรู้จักกระจายความเสี่ยง นำเสนอบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และพร้อมคว้าโอกาสทางธุรกิจได้ในจังหวะที่เหมาะสม

ด้วยช่องทางอย่าง GDS คุณจะได้ประโยชน์หลักๆ 5 ข้อดังนี้:

  • เข้าถึงนักเดินทางกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่จองในวันธรรมดาและใช้จ่ายสูง: ช่วยลดปัญหาโลว์ซีซั่นและเพิ่มราคาห้องเฉลี่ย (ADR) รวมถึงเพิ่มกำไรจากแต่ละการจอง
  • โอกาสในการต่อรองราคาพิเศษและทำสัญญากับองค์กร: ช่วยให้คุณวางแผนรายได้ล่วงหน้าได้แม่นยำขึ้น มีฐานลูกค้าที่แน่นอน ทำให้ปรับกลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • โอกาสที่จะเป็นโรงแรมพันธมิตรของบริษัทระดับโลก: ได้การจองสม่ำเสมอทั้งรายเดือนและรายปี พร้อมโอกาสในการส่งเสริมโปรแกรมสมาชิกหรือการสะสมแต้มของโรงแรมคุณ
  • รับงานประชุมและอีเวนต์ได้มากขึ้น: ช่วยเพิ่มรายได้รวม ปรับปรุงกระแสเงินสด และเพิ่มกำไร ถ้าควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี อีกทั้งยังช่วยยกระดับชื่อเสียงของโรงแรมคุณในวงการธุรกิจ


เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยวชั้นนำ
ไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ บริษัททัวร์ สายการบิน เรือสำราญ และอื่นๆ: ทำให้โรงแรมคุณเป็นที่รู้จักในระดับโลก ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่ปกติคุณไม่มีทางเข้าถึงได้เลย

amadeus gds

ค่าใช้จ่ายของ Amadeus GDS การเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ และการเทรนนิ่ง

ถ้าคุณกำลังวางแผนที่จะใช้ Amadeus สำหรับโรงแรมของคุณ มีรายละเอียดสำคัญที่คุณควรรู้ เช่น ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียม การเชื่อมต่อกับระบบซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อยู่ และเรื่องการฝึกอบรมหรือการรับรองที่อาจจำเป็น

มาดูรายละเอียดในแต่ละหัวข้อกัน

ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายในการใช้ Amadeus GDS เท่าไหร่? ต้องบอกตรงๆ ว่าเราไม่สามารถระบุตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนได้ เพราะราคาจะขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณเชื่อมต่อกับระบบ GDS การศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบจึงสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ หากคุณสนใจว่า SiteMinder จะช่วยคุณเชื่อมต่อได้อย่างไร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย

การเชื่อมต่อซอฟต์แวร์

โดยทั่วไปแล้ว คุณจะต้องมีการเชื่อมต่อระบบจัดการโรงแรม (PMS) และระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager) เพื่อให้ข้อมูลราคาและจำนวนห้องว่างของคุณถูกส่งไปยัง GDS แบบเรียลไทม์ได้อย่างราบรื่น

ผู้ให้บริการการเชื่อมต่ออย่าง SiteMinder ช่วยทำให้ขั้นตอนทั้งหมดนี้ง่ายและไม่ยุ่งยาก ด้วยระบบเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงและเครือข่ายพันธมิตรที่ครบวงจร

การฝึกอบรม

หากคุณเลือกใช้บริการผ่านพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการเชื่อมต่อ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเรียนรู้วิธีใช้ Amadeus โดยตรง เพราะคุณจะใช้งานผ่านแพลตฟอร์มที่คุณลงทุนไปแล้วนั่นเอง 

เช่นในกรณีของ SiteMinder ทางบริษัทมีทีมงานคอยดูแลตั้งแต่เริ่มต้นการใช้งาน พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้าอย่างครบวงจร คุณจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนรู้ระบบใหม่ทั้งหมด

จะเลือกใช้ Amadeus GDS หรือระบบอื่นดี?

จริงๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกระบบใดระบบหนึ่งเลย เพราะตอนนี้คุณสามารถเชื่อมต่อกับหลายๆ ระบบ GDS พร้อมกันได้ในคราวเดียว ผ่านการเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียว

ทำได้ยังไง? คำตอบคือ SiteMinder GDS นั่นเอง! แพลตฟอร์มเดียวที่ช่วยให้คุณเชื่อมต่อและบริหารจัดการระบบ GDS ชั้นนำทั้งหมดได้แบบครบในที่เดียว นอกจากนี้คุณจะยังได้รับ…

]]>
TRevPAR คืออะไรและคำนวณอย่างไร? https://www.siteminder.com/th/r/trevpar/ Mon, 02 Dec 2024 02:51:56 +0000 https://www.siteminder.com/?p=182601 TRevPAR คืออะไร?

TRevPAR ย่อมาจาก Total Revenue per Available Room หรือรายได้รวมต่อห้องพักที่มี TRevPAR คำนวณจากรายได้ทั้งหมดของโรงแรมเทียบกับจำนวนห้องพักที่มี

ตัวอย่างเช่น โรงแรมของคุณมีรายได้จากหลายแหล่ง ทั้งบาร์ ร้านอาหาร ที่จอดรถ สระว่ายน้ำและสปา มินิบาร์ บริการนวด คลาสออกกำลังกาย ฟิตเนส ร้านค้า การจองกิจกรรมต่างๆ ฯลฯ

จะเห็นว่ามีรายได้เข้ามานอกเหนือจากการจองห้องพักมากมาย แต่การคำนวณรายได้เหล่านี้เทียบกับจำนวนห้องพักยังคงมีความสำคัญ เพราะรายได้เหล่านี้เกิดจากแขกที่เข้าพักในห้องพักนั่นเอง

TRevPAR เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญที่โรงแรมควรติดตามอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ อย่าง RevPAR และ ADR, TRevPAR จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับการสร้างรายได้ของโรงแรมและสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้

TRevPAR เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่สำคัญที่โรงแรมควรติดตามอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ อย่าง RevPAR และ ADR, TRevPAR จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับวิธีการสร้างรายได้ของโรงแรมและแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพ

มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ TRevPAR ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกัน

ทำไมคุณควรใช้สูตร TRevPAR?

เนื่องจาก TRevPAR คำนวณจากรายได้ทั้งหมดของโรงแรมเทียบกับจำนวนห้องพัก จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการคำนวณที่ทำให้เห็นภาพรวมได้ดีกว่าตัวชี้วัดอย่าง RevPAR

โดยเฉพาะสำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ แผนกต่างๆ เช่น ร้านอาหาร บาร์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จโดยรวมของธุรกิจ TRevPAR เป็นวิธีที่ดีในการพิจารณาทุกปัจจัยที่สร้างรายได้จากแขก

การติดตาม TRevPAR ยังช่วยให้คุณพบวิธีสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งหรือเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแขกของคุณ หากคุณเปรียบเทียบโรงแรมของคุณกับคู่แข่งและพบความแตกต่างของราคาระหว่างบริการที่คล้ายกัน คุณอาจมีโอกาสปรับขึ้นราคาบางบริการเพื่อเพิ่มรายได้ โดยที่ลูกค้ายังคงเลือกใช้บริการของคุณเหมือนเดิม

ในทำนองเดียวกัน หากคุณสังเกตว่าแขกนิยมใช้บริการหรือสั่งเมนูใดเป็นพิเศษ คุณสามารถปรับขึ้นราคาได้โดยที่ลูกค้ายังคงนิยมใช้บริการเหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ TRevPAR ของคุณสูงขึ้นด้วย

วิธีคำนวณ TRevPAR

TRevPAR คำนวณโดยหารรายได้ทั้งหมดด้วยจำนวนห้องทั้งหมด สูตรคำนวณ TRevPAR สรุปได้ดังนี้:

TRevPAR = รายได้ทั้งหมด / จำนวนห้องทั้งหมดที่มีไว้ขาย

โดยที่:

  • รายได้ทั้งหมด คือ ผลรวมของรายได้ทุกช่องทางในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น รายวัน รายเดือน) รวมถึงรายได้จากห้องพัก อาหารและเครื่องดื่ม และแหล่งรายได้อื่นๆ
  • จำนวนห้องทั้งหมดที่มีไว้ขาย คือ จำนวนห้องทั้งหมดที่มีไว้ขายในช่วงเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น ถ้ารายได้โรงแรมของคุณในหนึ่งวันคือ 500,000 บาท และโรงแรมของคุณมี 100 ห้อง TRevPAR จะเท่ากับ 5,000 บาท นั่นหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละห้องที่มีไว้ขาย (ไม่ว่าจะมีคนเข้าพักหรือไม่) สร้างรายได้ 5,000 บาทให้กับโรงแรมของคุณในวันนั้น

แน่นอนว่า เป้าหมายของคุณคือการเพิ่ม TRevPAR ให้สูงขึ้น เพราะการเพิ่มขึ้นของ TRevPAR แสดงถึงการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อห้อง อัตราการเข้าพักที่สูงขึ้น หรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน

TRevPAR เทียบกับ RevPAR

ดูผิวเผิน TRevPAR อาจคล้ายกับ RevPAR (รายได้ต่อห้องที่มีไว้ขาย) แต่จริงๆ แล้วเป็นการวัดที่แตกต่างกัน ในขณะที่ RevPAR เกี่ยวข้องกับรายได้จากห้องพักเท่านั้น TRevPAR คำนวณจากรายได้ทั้งหมดของโรงแรมเทียบกับจำนวนห้องพัก

ทั้งสองตัวชี้วัดมีประโยชน์และเหมาะสมในการติดตาม โดย RevPAR เป็นวิธีที่เร็วและง่ายที่สุดในการดูผลการดำเนินงานของโรงแรม

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองตัวชี้วัดนี้ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นหรืออัตราการเข้าพักจริงของโรงแรม

กลยุทธ์เด็ดในการเพิ่ม TRevPAR สำหรับโรงแรมของคุณ

การเพิ่ม TRevPAR ต้องใช้หลายวิธีประกอบกัน ไม่ใช่แค่ดึงดูดให้แขกมาพัก แต่ต้องทำให้พวกเขาใช้จ่ายมากขึ้นด้วย นี่คือกลยุทธ์ที่น่าสนใจที่คุณควรลองนำไปใช้:

แบ่งกลุ่มลูกค้าในการทำการตลาด (Segmented marketing)

การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นขั้นตอนแรกของการตลาดที่มีประสิทธิภาพ แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่างๆ เช่น อายุ รายได้ วัตถุประสงค์การเดินทาง หรือพฤติกรรมการจอง ปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เข้ากับแต่ละกลุ่ม โดยให้โปรโมชันและข้อเสนอสอดคล้องกับความชอบและความต้องการของพวกเขา เช่น นักธุรกิจอาจให้ความสำคัญกับ Wi-Fi ความเร็วสูงและห้องประชุม ในขณะที่ครอบครัวอาจสนใจแพ็คเกจที่รวมมื้ออาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น

ใช้ระบบปรับราคาอัตโนมัติสำหรับการอัพเกรดห้อง

การใช้ระบบปรับราคาอัตโนมัติ (Dynamic pricing) ไม่ใช่แค่ปรับราคาห้องพักธรรมดา แต่ใช้วิธีนี้กับการอัพเกรดห้องด้วย คอยดูความต้องการของตลาดและปรับราคาห้องสวีทหรือห้องที่อัพเกรดตามสถานการณ์ เช่น ช่วงที่มีคนจองเยอะ ฤดูกาลท่องเที่ยว หรือเมื่อมีงานพิเศษในพื้นที่ วิธีนี้จะช่วยดึงดูดให้แขกอยากจ่ายเพิ่มเพื่อห้องที่ดีขึ้น ทำให้โรงแรมมีรายได้เพิ่มจากการจองแต่ละครั้ง

ให้บริการที่ใส่ใจความต้องการของแขกแต่ละคน

การสร้างความประทับใจด้วยบริการที่ปรับให้เหมาะกับแขกแต่ละรายช่วยเพิ่มความพึงพอใจของแขกและนำไปสู่การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ใช้ข้อมูลจากการเข้าพักครั้งก่อนเพื่อปรับบริการสำหรับแขกที่กลับมาพักซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นประเภทห้องที่ชอบ ไวน์ขวดโปรดรอในห้อง หรือคำแนะนำตามกิจกรรมที่เคยทำ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ช่วยให้แขกประทับใจและอยากกลับมาพักซ้ำ รวมทั้งกระตุ้นให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

เพิ่มการจองโดยตรง

แม้ว่า OTA จะช่วยเพิ่มการมองเห็น แต่การจองโดยตรงมักให้อัตรากำไรที่สูงกว่า ลงทุนในเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย ทำโปรโมชั่นพิเศษหรือสิทธิประโยชน์สำหรับการจองโดยตรง และใช้กลยุทธ์การตลาดแบบรีทาร์เก็ตติ้งเพื่อดึงลูกค้าที่มีศักยภาพกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ การเพิ่มการจองโดยตรงช่วยลดค่าคอมมิชชัน และทำให้คุณมีโอกาสในการสร้างความประทับใจให้แขกได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการจอง

เพิ่มตัวเลือกบริการพิเศษ

เพิ่มรายได้โดยเพิ่มตัวเลือกบริการพิเศษให้แขกเลือกเพิ่มเติมระหว่างจองหรือขณะเข้าพัก เช่น แพ็คเกจอาหารเช้า บริการสปา ทัวร์ท่องเที่ยวในท้องถิ่น มื้อค่ำพิเศษ เช่น บุฟเฟ่ต์อาหารท้องถิ่น หรือดินเนอร์ใต้แสงเทียน

การจัดแพ็คเกจบริการหลายอย่างรวมกัน หรือสร้างกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจ จะช่วยให้แขกใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลดีต่อ TRevPAR ของโรงแรมคุณ

เพิ่ม TRevPAR และรายได้รวมของโรงแรมด้วย SiteMinder

การเพิ่ม TRevPAR ไม่ใช่แค่การทำให้ห้องพักเต็ม แต่เป็นการหาวิธีสร้างรายได้เพิ่มจากทุกโอกาสที่ได้ให้บริการแขก ไม่ว่าจะเป็นบริการใดๆ หรือห้องพักแบบไหน SiteMinder ช่วยเปลี่ยนโฉมการทำงานของโรงแรมขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มรายได้ของโรงแรม ปรับปรุงช่องทางรายได้ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อ

  • ระบบปรับราคาอัตโนมัติ แพลตฟอร์มของ SiteMinder รองรับการปรับราคาแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมปรับราคาห้องพักได้ทันทีตามสถานการณ์ตลาด เช่น ช่วงเทศกาล หรือเมื่อมีงานอีเวนต์ใหญ่ วิธีนี้ช่วยให้โรงแรมของคุณตั้งราคาที่แข่งขันได้ตลอดเวลา เพิ่มยอดจองในช่วงไฮซีซั่น และรักษาอัตราการเข้าพักในช่วงโลว์ซีซั่น
  • ระบบจัดการช่องทางขายแบบครบวงจร เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าพบเห็นโรงแรมของคุณด้วยระบบจัดการช่องทางขายแบบครบวงจรของ SiteMinder เชื่อมต่อกับเครือข่ายช่องทางขายขนาดใหญ่ ทั้ง OTA และการจองโดยตรง ช่วยให้โรงแรมของคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยการอัพเดทแบบทันที และการควบคุมจากที่เดียว คุณสามารถจัดการการจองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาการจองเกินและข้อมูลไม่ตรงกัน
  • ระบบวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ข้อมูลคือกุญแจสู่กลยุทธ์ที่ดี แพลตฟอร์มของ SiteMinder ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์อย่างละเอียด ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมเห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินงาน ตั้งแต่เข้าใจพฤติกรรมการจองของลูกค้า ไปจนถึงการติดตามรายได้ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ปรับกลยุทธ์ และมองเห็นโอกาสในการเติบโต

ลองใช้ฟรีหรือชมวิดีโอตัวอย่างเพื่อศึกษาเพิ่มเติม

]]>
วิธีตั้งราคาห้องพักโรงแรมอย่างชาญฉลาด https://www.siteminder.com/th/r/pricing-intelligence/ Mon, 02 Dec 2024 02:33:00 +0000 https://www.siteminder.com/?p=182590 การตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดคืออะไร?

การตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาด หรือที่เรียกว่าการวิเคราะห์อัตราค่าห้องพัก เป็นวิธีที่โรงแรมใช้ในการปรับราคาและเพิ่มผลกำไร เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การบริหารรายได้ที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้ข้อมูลและเครื่องมือวิเคราะห์ราคา

การตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดอาศัยข้อมูลต่างๆ เช่น แนวโน้มตลาด ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ราคาของคู่แข่งในพื้นที่ และรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้า

ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวิเคราะห์สถานการณ์และตัดสินใจเรื่องราคาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเพิ่มการจองและรายได้

บทความนี้จะครอบคลุมทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาด และวิธีนำไปใช้ในโรงแรมของคุณ

เครื่องมือช่วยตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดคืออะไร?

เครื่องมือการตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมปรับกลยุทธ์การตั้งราคาให้ดีขึ้น โดยเพิ่มประสิทธิภาพและชี้ให้เห็นโอกาสในการเพิ่มรายได้

ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของตลาดทำได้ง่าย ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถตั้งราคาห้องพักได้อย่างเหมาะสมที่สุด – ราคาที่ทำให้ได้การจองในมูลค่าสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้

ซอฟต์แวร์นี้ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม เพราะช่วยให้สามารถใช้การตั้งราคาแบบไดนามิก – กลยุทธ์สำคัญในการเอาชนะคู่แข่งและเพิ่มรายได้จากการจองแต่ละครั้งให้สูงสุด

ประโยชน์ที่โรงแรมของคุณจะได้รับจากการใช้ซอฟต์แวร์การตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาด ได้แก่:

  • คาดการณ์อัตราการเข้าพักของโรงแรมคุณล่วงหน้าได้
  • ตั้งราคาห้องพักให้ได้กำไรสูงสุด
  • ตัดสินใจเรื่องราคาได้เร็วขึ้น
  • ลดเวลาและแรงงานในการเช็คราคาคู่แข่ง
  • รู้จุดยืนของโรงแรมคุณในตลาด

ทำไมการใช้เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดจึงสำคัญ?

เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดมีความสำคัญหากคุณต้องการให้โรงแรมของคุณยังคงความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรในตลาดการท่องเที่ยวสมัยใหม่

เครื่องมือเหล่านี้มีความจำเป็นในการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและการวิเคราะห์เชิงลึกในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ช่วยให้สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

นี่คือ 8 เหตุผลสำคัญที่โรงแรมควรใช้เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาด:

1.เข้าใจแนวโน้มการจองห้องพักของคุณ

คุณสามารถเห็นได้ในทันทีว่าช่วงไหนห้องพักของคุณมีการจองสูงสุด และช่วงไหนที่มักมีการจองน้อย ข้อมูลนี้ช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาห้องพักเพื่อเพิ่มผลกำไรได้ตลอดทั้งปี

2. ไม่ตกเทรนด์เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

จุดประสงค์หลักของเครื่องมือวิเคราะห์อัตราค่าห้องพักคือการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าเกี่ยวกับราคาห้องพักของโรงแรมอื่นๆ ในพื้นที่ ด้วยข้อมูลนี้ คุณสามารถปรับราคาเล็กน้อยเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดได้

3. ข้อมูลแม่นยำและเป็นปัจจุบัน

เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดไม่เพียงแสดงข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับราคาห้องพักในบริเวณใกล้เคียง แต่ยังรวบรวมข้อมูลและให้โอกาสคุณในการสร้างรายงาน รายงานเหล่านี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาห้องพักและแนวโน้มการตั้งราคาที่เกิดขึ้นในจุดหมายปลายทางของคุณและทั่วทั้งอุตสาหกรรม

4. การแจ้งเตือนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคา

การแจ้งเตือนทำหน้าที่เป็นตัวเตือนทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในตลาด สิ่งที่ดีที่สุดคือคุณสามารถกำหนดกฎของคุณเองว่าควรได้รับการแจ้งเตือนเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าเครื่องมือของคุณจะทำงานเพื่อประโยชน์ของโรงแรมคุณโดยเฉพาะ ช่วยให้คุณปรับตัวตามอัตราการเข้าพักและการแข่งขันในตลาดของคุณได้

5. ทำให้การคาดการณ์ง่ายขึ้น

การคาดการณ์อาจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและยุ่งยาก แม้แต่สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่มีประสบการณ์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณอาจเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการคาดการณ์เพราะกลัวจะทำผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องมือตั้งราคาที่เหมาะสม การคาดการณ์ระยะยาวจะง่ายขึ้นมาก

6. สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ทันที

ตัวเลขที่คุณได้จากคู่แข่งจะช่วยให้คุณจัดการผลตอบแทนของคุณได้ คุณสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อวัน (ADR) และรายได้ต่อห้องที่มี (RevPAR) โดยเปรียบเทียบอัตราต่ำสุด/สูงสุดแบบเรียลไทม์ของคุณกับคู่แข่ง ตามระยะเวลาการเข้าพัก (LOS) คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ทุกวันหรือแบบเรียลไทม์ตามต้องการ ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณสามารถบรรลุเป้าหมายสำหรับเดือนหรือไตรมาสได้เสมอ

7. การบริหารรายได้ง่ายขึ้น

เมื่อใช้แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่เชี่ยวชาญด้านโรงแรม เช่น SiteMinder’s Insights ข้อมูลถูกแบ่งย่อยในลักษณะที่ทำให้โรงแรมใช้งานและเข้าใจได้ง่าย ช่วยประหยัดเวลาและขจัดความไม่แน่นอน

8. เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้การใช้งานช่องทางจำหน่ายของคุณง่ายขึ้น

ราคาที่คุณตั้งในช่องทางจำหน่ายของคุณต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่งของคุณ การตั้งราคาต่ำเกินไปจะทำให้รายได้ของคุณลดลง ในขณะที่การตั้งราคาสูงเกินไปจะทำให้การจองลดลง การใช้เครื่องมือตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดหมายความว่าคุณสามารถติดตามกิจกรรมด้านราคาของตลาดในพื้นที่ของคุณได้อย่างง่ายดาย รักษาความเท่าเทียมของราคาในทุกช่องทางของคุณ และตัดสินใจปรับเปลี่ยนราคาได้อย่างเหมาะสม

เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากช่องทางจำหน่ายของคุณ คุณจำเป็นต้องมีความคล่องตัวและเปลี่ยนราคาทุกชั่วโมงหากจำเป็น ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวัน เดือน หรือปี

ด้วยข้อมูลล่าสุดที่คุณได้รับจากเครื่องมือตั้งราคา สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณ และรายได้ของคุณจะสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณเสมอ ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ช่องทางจำหน่ายของคุณจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่งขึ้น

วิธีการทำงานของระบบตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาด

ระบบตั้งราคาห้องพักอย่างชาญฉลาดในโรงแรมช่วยให้ข้อมูลที่แม่นยำแบบเรียลไทม์และรวมไว้ในที่เดียว

แทนที่จะต้องจัดการกับข้อมูลที่กระจัดกระจาย และเสียเวลานำมารวมกันในสเปรดชีต ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถดูรายงานข้อมูลได้อย่างรวดเร็วตามต้องการ

ความเร็ว ประสิทธิภาพ และความเรียบง่ายเป็นจุดเด่นของเครื่องมือตั้งราคาอย่างชาญฉลาด ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถนำข้อมูลในอดีตมาผสมผสานกับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของโอกาสในการบริหารรายได้

เครื่องมือวิเคราะห์ราคาห้องพัก เช่น SiteMinder’s Insights เชื่อมต่อกับข้อมูลตลาดในพื้นที่ พร้อมทั้งผสานรวมกับระบบจัดการช่องทางจำหน่ายและระบบจัดการทรัพย์สินของโรงแรม ระบบนี้สามารถทำงานอัตโนมัติในการรวมข้อมูลและสร้างรายงาน แทนที่จะต้องให้พนักงานทำด้วยตนเอง

สิ่งที่ควรมองหาในเครื่องมือวิเคราะห์ราคา

เมื่อมีเครื่องมือวิเคราะห์ราคาหลายตัวในตลาด คุณจะเลือกตัวไหนที่เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณได้อย่างไร?

โดยทั่วไป การเลือกเครื่องมือที่เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอาจมีประโยชน์มากกว่าการเลือกโปรแกรมที่ทำงานแยกเดี่ยว วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน เพิ่มปริมาณข้อมูล และเพิ่มทางเลือกในการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ระบบวิเคราะห์ราคาแบบใด นี่คือ 6 สิ่งที่ควรพิจารณา:

1.ดูราคาได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา

ต้องเข้าถึงราคาห้องพักของคุณได้ง่ายตลอดเวลา ทั้งบนเว็บไซต์ OTA และเว็บไซต์ของคุณเอง โดยดูได้จากที่เดียว

2. คุ้มค่ากับการลงทุน

เครื่องมือวิเคราะห์ราคามักจะคุ้มทุนตัวเอง เพราะช่วยให้จัดการข้อมูลได้อัตโนมัติและง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

3. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

แม้ว่าราคาไม่ใช่วิธีเดียวที่จะทำให้คุณแตกต่างจากคู่แข่ง แต่ราคาก็มีบทบาทสำคัญ การรู้ว่าคู่แข่งตั้งอัตราราคาห้องพักโรงแรมอย่างไรจะช่วยให้คุณตั้งราคาแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. มีระบบรายงานที่ละเอียด

ควรสร้างรายงานได้ทันที และดึงข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงได้ง่าย เพื่อให้ตัดสินใจได้เร็วและส่งผลต่อรายได้ทันที

5. คาดการณ์แนวโน้มได้แม่นยำ

คุณต้องรู้ว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่และเมื่อไหร่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยวและนอกฤดูท่องเที่ยว ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์จะช่วยให้คุณคาดการณ์อัตราการเข้าพักได้แม่นยำ

6. ใช้งานง่าย

เครื่องมือจัดการราคาหลายตัวซับซ้อนเกินไปสำหรับโรงแรม ทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรเลือกเครื่องมือที่ใช้งานง่ายเป็นหลัก

เครื่องมือวิเคราะห์ราคาที่ได้รับความนิยม

หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือวิเคราะห์ราคาที่ได้รับความนิยม SiteMinder’s Insights เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

SiteMinder’s Insights มีจุดเด่นดังนี้:

  • ข้อมูลเชิงลึกแบบทันที
  • ข้อมูลที่แม่นยำ
  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
  • ระบบที่ทำงานร่วมกันได้อย่างครบวงจร
  • การรายงานและวิเคราะห์ขั้นสูง

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มของ SiteMinder ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบบริหารรายได้อื่นๆ ในตลาดได้อย่างราบรื่น ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมทุกขนาดสามารถเข้าถึงระบบวิเคราะห์ราคาได้

สำหรับที่พักขนาดเล็กที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ยังอยากตั้งราคาอย่างมืออาชีพ Little Hotelier’s Insights เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีจาก SiteMinder แต่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรมและที่พักขนาดเล็ก

]]>
ROI โรงแรม: วิธีเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้สูงสุด https://www.siteminder.com/th/r/hotel-roi/ Tue, 19 Nov 2024 05:02:14 +0000 https://www.siteminder.com/r/hotel-roi/ ROI โรงแรมคืออะไร?

ROI หรือผลตอบแทนจากการลงทุน เป็นการวัดว่าเราได้กำไรกลับมาเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนไป เป้าหมายคือการทำให้ได้กำไรมากกว่าต้นทุน ซึ่งเราสามารถนำกำไรนี้ไปพัฒนาธุรกิจต่อหรือเก็บเป็นรายได้ไป โดยปกติเราจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องคอยติดตามเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปตามเป้า

ROI โรงแรมที่ดีควรเป็นเท่าไหร่?

ไม่มีตัวเลขตายตัวว่า ROI ที่ดีของการลงทุนในโรงแรมควรเป็นเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับหลายอย่าง เช่น ขนาดและประเภทโรงแรม ทำเลที่ตั้ง เป้าหมายของเจ้าของหรือผู้บริหาร การทำการตลาด สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น

ROI ที่ดีของโรงแรมคุณนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณตั้งเป้าหมายอะไรไว้ กำลังวัดผลส่วนไหนของธุรกิจ และมีทางเลือกอื่นๆ อะไรบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณอาจจะคำนวณ ROI เฉพาะของแผนกแม่บ้านในครั้งหนึ่ง แล้วคำนวณ ROI ของแผนกอาหารและเครื่องดื่มแยกอีกครั้งหนึ่ง เพราะแต่ละส่วนมีต้นทุนและรายได้ที่แตกต่างกัน

ROI เฉลี่ยของธุรกิจโรงแรม

ในวงการโรงแรมโดยทั่วไป ROI ประมาณ 6-12% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ตัวเลขนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมถึงสภาพเศรษฐกิจในแต่ละประเทศด้วย ถ้าคุณสามารถทำให้ ROI เพิ่มขึ้นทุกปี แสดงว่าธุรกิจของคุณกำลังอยู่ในทิศทางที่จะทำกำไรได้ดี

ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าจะสร้าง ROI ที่ดีให้กับโรงแรมได้อย่างไร และมีเครื่องมืออะไรบ้างที่จะช่วยเพิ่ม ROI ให้สูงขึ้น

สารบัญ

ทำไม ROI ของโรงแรมถึงสำคัญ?

ROI ของโรงแรมมีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือวัดที่ทั้งเข้าใจง่ายและมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าธุรกิจโรงแรมของคุณเป็นอย่างไร หรือแม้แต่ดูลึกลงไปในแต่ละส่วนที่คุณลงทุนไป

ประโยชน์ของการใช้ ROI ในโรงแรมมีหลายอย่าง เช่น:

  • การตัดสินใจลงทุน: ช่วยให้คุณตัดสินใจว่าควรลงทุนเมื่อไหร่และควรลงทุนกับอะไร
  • การวิเคราะห์ประสิทธิภาพ: ROI ช่วยให้คุณมองเห็นว่ากลยุทธ์ต่างๆ ที่คุณใช้อยู่นั้นได้ผลดีแค่ไหน และธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ทำให้เห็นภาพรวมว่าสิ่งที่คุณทำอยู่สร้างผลกำไรคุ้มค่ากับการลงทุนจริงหรือเปล่า
  • การเทียบเคียงกับมาตรฐานในธุรกิจ: คุณสามารถนำ ROI ของคุณไปเทียบกับตัวเลขมาตรฐานของธุรกิจโรงแรมในพื้นที่เดียวกัน หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง ทำให้รู้ว่าธุรกิจของคุณยืนอยู่ตรงไหนในตลาด
  • การวางแผนการเงิน: ให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับการตัดสินใจลงทุนในอนาคตและการทำงบประมาณ
  • ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ: ROI จะเปิดเผยให้เห็นว่าส่วนไหนของธุรกิจคุณกำลังทำกำไรได้ดี และส่วนไหนที่ยังต้องปรับปรุง ถ้าอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในภาพรวม คุณจำเป็นต้องไม่ปล่อยให้หลายๆ ส่วนของธุรกิจมีผลประกอบการที่แย่ เพราะจะฉุดให้ภาพรวมทั้งหมดแย่ตามไปด้วย

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อช่วยดึงดูดและหาลูกค้าใหม่ การคำนวณ ROI จะทำให้คุณรู้ว่าระบบนั้นทำงานได้ตามที่คาดไว้หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของคุณ เช่น การตรวจสอบว่าคุณใช้มันเต็มประสิทธิภาพแล้วหรือยัง หรือคุณอาจต้องเปลี่ยนไปใช้บริการจากที่อื่น

สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีให้กับโรงแรมของคุณด้วย SiteMinder

ดูวิธีเพิ่มรายได้สูงสุดในทุกจุดสัมผัสของประสบการณ์แขก ด้วยแพลตฟอร์มโรงแรมชั้นนำของ SiteMinder

ชมเดโม

วิธีคำนวณ ROI ของโรงแรม

ในการคำนวณ ROI ของโรงแรม คุณต้องรู้:

  • กำไรสุทธิ: คำนวณกำไรสุทธิของโรงแรมโดยเอารายได้ทั้งหมดลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  • ต้นทุนการลงทุน: คือจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณใช้ลงทุนไปกับโรงแรมทั้งหมด หรือกับส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น เงินที่จ่ายเป็นค่าซอฟต์แวร์โรงแรมแบบรายเดือน

หลังจากนั้น คุณสามารถเอากำไรสุทธิหารด้วยต้นทุนการลงทุน แล้วคูณด้วย 100 เพื่อให้ได้ ROI เป็นเปอร์เซ็นต์

สูตรคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน

ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น สูตร ROI คือ ROI = (กำไรสุทธิ / จำนวนเงินที่ลงทุน) x 100

ตัวอย่างการคำนวณ ROI สำหรับโรงแรมเป็นดังนี้:

  • โรงแรมสร้างกำไรสุทธิ 3,500,000 บาทจากการลงทุน 17,500,000 บาท
  • ROI = (3,500,000 / 17,500,000) x 100 = 20%

นั่นหมายความว่าโรงแรมกำลังสร้างผลตอบแทน 20% จากการลงทุน

hotel ROI

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกัน ROI ติดลบ

แม้ว่าคุณอาจกำลังพยายามทำให้ ROI เป็นบวก แต่การป้องกันไม่ให้ ROI ติดลบก็คือเรื่องเดียวกัน เพียงแต่เราเปลี่ยนมุมมองในการแก้ปัญหาเท่านั้น

บางจุดในโรงแรมของคุณอาจมีปัญหาที่มองไม่เห็น หรือกำลังสร้างอุปสรรคที่ขวางความสำเร็จของคุณอยู่ หลายปัญหาอาจแก้ได้ง่ายๆ แต่กลับช่วยให้การทำ ROI เป็นบวกง่ายขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น:

1. ต้นทุนคงที่สูงเกินไป

แน่นอนว่าต้นทุนที่สูงคือศัตรูตัวฉกาจของกำไร ลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้จริงๆ หรือไม่ มีส่วนไหนบ้างที่คุณปรับเปลี่ยนได้ เช่น เปลี่ยนซัพพลายเออร์ใหม่ หรือปรับปรุงระบบจัดการขยะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจช่วยลดต้นทุนคงที่ของโรงแรมลงได้มาก

2. กลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่มีประสิทธิภาพ

การตั้งราคามีผลอย่างมากต่อรายได้และกำไรในแต่ละปี ถ้าคุณตั้งราคาต่ำเกินไป คุณก็จะเสียเม็ดเงินไปฟรีๆ แต่ถ้าตั้งราคาสูงเกินไป นักท่องเที่ยวก็อาจหันไปพักที่อื่น

การตั้งราคาที่ไม่ได้คำนึงถึงอุปสงค์อุปทานและความผันผวนของตลาด ทำให้คุณไม่สามารถหาจุดที่เหมาะสมได้ การใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย ระบบจองห้องพัก และเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจ จะช่วยให้คุณตั้งราคาห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น และปรับกลยุทธ์ได้ง่าย

3. การฝึกอบรมพนักงานที่ไม่ได้มาตรฐาน

ถ้าพนักงานทำงานไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเพราะการฝึกอบรมไม่ดีหรือจากการรับคนไม่ตรงงาน ทุกด้านของโรงแรมก็จะมีปัญหา การทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าจะไม่พอใจ และคุณจะพลาดโอกาสในการสร้างรายได้

พยายามสร้างทีมพนักงานที่มีแรงจูงใจสูงและมีทักษะดี เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น

4. มองข้ามเทรนด์ตลาด

ตลาดโรงแรมและการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ถ้าคุณไม่จับตาดูและติดตามเทรนด์แบบเรียลไทม์ คุณจะพลาดโอกาสในการเพิ่มรายได้และปรับปรุง ROI ในระยะยาว

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์และแอปมือถือ เช่น ที่ SiteMinder ให้บริการ จะช่วยให้คุณติดตามตลาดในพื้นที่และคู่แข่ง และรับการแจ้งเตือนเมื่อมีอัพเดทสำคัญตามที่คุณตั้งค่าไว้

กลยุทธ์ ROI สำหรับโรงแรม: วิธีเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน

ปัจจุบันทุกคนพูดถึงแต่เรื่อง AI กับการเพิ่มกำไรให้โรงแรม แต่ข่าวดีก็คือ ยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยยกระดับ ROI ให้โรงแรมของคุณประสบความสำเร็จ นี่คือ 5 วิธีเด็ดที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ดีที่สุด:

1. ลงทุนในซอฟต์แวร์โรงแรม

การลงทุนเพื่อทำกำไรเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันบ่อย และสำหรับโรงแรมนั้นจำเป็นมาก อย่างไรก็ตาม วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดำเนินงานและการบริหารรายได้

การเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการดีๆ จะส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณในทุกด้านและช่วยเพิ่มกำไร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้แพลตฟอร์มสำหรับโรงแรมอย่าง SiteMinder คุณจะดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น รายได้ก็จะเพิ่มขึ้น ตั้งราคาได้แม่นยำ ทำให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น เงินสดหมุนเวียนดีขึ้น วิเคราะห์ผลประกอบการได้ละเอียด และยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

2.บริหารรายได้ให้กำไรมากที่สุด

ลองดูว่าจะเพิ่มรายได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำได้อย่างไร เพิ่มมูลค่าจากการจองแต่ละครั้ง และลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง

กลยุทธ์ที่ควรพิจารณา เช่น การใช้ราคาแบบไดนามิกที่ปรับเปลี่ยนตามความต้องการ ให้ความสำคัญกับการจองโดยตรงจากลูกค้า เสนอบริการเสริมและแพ็กเกจพิเศษ รวมถึงเพิ่มช่องทางการจองให้หลากหลายขึ้น

3. สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า

เมื่อลูกค้าประทับใจ ยังไงลูกค้าก็ยอมจ่ายมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะกลับมาพักซ้ำ สุดท้ายแล้วอัตรากำไรและ ROI ของคุณก็จะดีขึ้นไปด้วย ควรปรับปรุงกระบวนการจองและเช็คอินให้รวดเร็ว สื่อสารกับลูกค้าอย่างมีคุณภาพ และจัดทำโปรแกรมสมาชิกที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า

4. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบจัดการโรงแรมหรือเทคโนโลยีครบวงจร การทำงานให้มีประสิทธิภาพทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านจะส่งผลดีต่อผลกำไรของคุณ เมื่อมีเวลาว่างมากขึ้น คุณจะสามารถโฟกัสกับการวางกลยุทธ์ การลงทุน และการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจได้ดีขึ้น

5. ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยข้อมูล

ใช้ข้อมูลทุกอย่างที่มีเพื่อประกอบการตัดสินใจ ทั้งผลงานด้านการขายและการตลาด ตัวชี้วัดด้านรายได้ สัดส่วนช่องทางการจอง ตัวชี้วัดการจองโดยตรง ประสิทธิภาพของพนักงาน อัตราการใช้โปรส่วนลด และอื่นๆ

โรงแรมของคุณมีข้อมูลที่มีค่ามากมาย ซึ่งคุณสามารถดึงมาใช้ได้ง่ายๆ จากรายงานในระบบซอฟต์แวร์หรือจากข้อมูลที่ผู้จัดการแต่ละแผนกรวบรวมไว้ เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ คุณจะวางแผนงานได้ดีขึ้นและการมีข้อมูลทำให้แต่ละแผนประสบความสำเร็จมากกว่าครั้งก่อนๆ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น เมื่อคุณใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย (channel manager) และระบบการจองออนไลน์ (booking engine) คุณจะเห็นได้ว่าเว็บไซต์จองที่พักตัวไหนสร้างรายได้ให้คุณมากที่สุด และลูกค้าจองผ่านช่องทางตรงของคุณเองอย่างเว็บไซต์โรงแรม โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา คิดเป็นสัดส่วนเท่าไรของรายได้ทั้งหมด

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ ROI ของโรงแรมใหม่

หากคุณกำลังวางแผนเปิดโรงแรมใหม่และต้องการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างรวดเร็ว มีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้

  • ทำเลที่ตั้ง: โรงแรมของคุณตั้งอยู่ที่ไหน (หรือคุณวางแผนจะสร้างที่ไหน)? ย่านนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไหม และมีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน? พยายามเลือกทำเลที่มีความต้องการสูงแต่ยังไม่มีที่พักล้นตลาดจนเกินไป
  • กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย: คุณต้องรู้ชัดเจนว่าโรงแรมของคุณสร้างขึ้นมาเพื่อใคร และมีแผนดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้อย่างไร
  • พนักงาน: การจ้าง พัฒนา และบริหารทีมงานอาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลหากทำไม่ถูกวิธี คุณต้องการคนที่มีใจรักงานบริการเป็นและมีมาตรฐานการบริการสูง
  • การบริหารจัดการ: วางแผนล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา การจัดการขยะ งานเอกสาร และอื่นๆ
  • ช่องทางสร้างรายได้: คุณสามารถเสนอบริการเสริมอะไรได้บ้างตอนลูกค้าจองห้องพัก? มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรที่หารายได้เพิ่มให้โรงแรมได้? และจะหารายได้จากคนที่ไม่ได้เข้าพักได้อย่างไร?
  • สร้างความประทับใจให้ลูกค้า: คุณต้องทำให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาใช้บริการ เพื่อทำให้อยากมาพักซ้ำและการบอกต่อ ซึ่งจะช่วยให้โรงแรมใหม่ของคุณเป็นที่รู้จักในตลาดได้เร็วขึ้น
  • หาพันธมิตร: ในฐานะโรงแรมเปิดใหม่ การอยู่เดียวๆ ไม่ใช่เรื่องดี ลองร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่นอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้
  • จุดเด่นที่แตกต่าง: สิ่งที่ทำให้โรงแรมคุณไม่เหมือนใคร ควรมีอย่างน้อย 2-3 อย่าง แล้วนำไปทำการตลาดอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นยอดจอง บางครั้งอาจได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่นด้วย
  • การทำงบประมาณและการคาดการณ์การเข้าพัก: เข้าใจว่าคุณมีเงินทุนเท่าไหร่และต้องทำรายได้เท่าไหร่เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว ตั้งเป้าหมายและทำให้สำเร็จเพื่อสร้างเงินสำรองให้ธุรกิจ
  • เทคโนโลยี: สิ่งนี้จะช่วยให้การจัดการปัจจัยอื่นๆ ง่ายขึ้นและนำไปสู่ ROI ที่ดี ตั้งแต่การทำระบบอัตโนมัติสำหรับการกระจายห้องพัก การจอง และการชำระเงิน ไปจนถึงการจัดการรายได้และการทำรายงาน มีบริษัทเฉพาะทางที่ช่วยให้คุณทำทุกอย่างได้เพียงคลิกเดียว

การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในธุรกิจ คุณสามารถมั่นใจได้ว่า ROI ของคุณจะเติบโตและโรงแรมของคุณจะประสบความสำเร็จในระยะยาว

]]>
คู่มือสรุป SEO สำหรับโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/hotel-seo-ultimate-guide/ Wed, 13 Nov 2024 05:22:18 +0000 https://www.siteminder.com/?p=181777 SEO สำหรับโรงแรมคืออะไร?

SEO สำหรับโรงแรม คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีเป้าหมายเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์โรงแรมของคุณจากผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (ไม่เสียเงิน) SEO ย่อมาจาก ‘Search Engine Optimization’ หรือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน เช่น Google

SEO สำหรับโรงแรมรวมหลายเทคนิคเข้าด้วยกัน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า SERPs

ตัวอย่างของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง:

Image of Hotel SEO: Example of Google serp

เวลาที่เราพูดถึงเสิร์ชเอนจินในบทความนี้ คุณเข้าใจได้เลยว่าเรากำลังพูดถึง Google เพราะคนกว่า 90% ทั่วโลกใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล

คนที่เข้ามาเว็บไซต์คุณจากผลการค้นหา อาจเรียกว่าเป็น ‘การเข้าชมจากการค้นหา’ ‘การเข้าชมจาก Google’ ‘การเข้าชมแบบออร์แกนิก (organic traffic)’ หรือ ‘การค้นหาแบบออร์แกนิก (organic search)’

เรียนรู้พื้นฐาน SEO สำหรับโรงแรม

ถ้าคุณทำธุรกิจโรงแรม คุณคงเคยได้ยินคำว่า SEO มาบ้างแล้ว ใครๆ ก็พูดกันว่า SEO สำคัญ แต่จริงๆ แล้ว มีกี่คนที่เข้าใจและทำ SEO ได้ถูกต้อง?

ปัญหาคือ วิธีทำ SEO ที่ได้ผลนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันยาก แต่อย่าเพิ่งท้อ SEO เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องให้ความสนใจ เพราะไม่ว่าเว็บไซต์โรงแรมของคุณจะสวยแค่ไหน ถ้าไม่มีใครเจอ มันก็ไม่มีประโยชน์

นี่แหละคือเหตุผลที่คุณต้องทำ SEO ให้ดี บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีปรับปรุง SEO สำหรับโรงแรมของคุณแบบง่ายๆ แต่ครบถ้วน ตามแนวทางที่ใช้ได้ผลในปัจจุบัน

สารบัญ

ทำไม SEO ถึงสำคัญมากสำหรับโรงแรม?

SEO สำคัญมากสำหรับธุรกิจที่ต้องการยอดขาย ถ้าคุณอยากได้การจองห้องพักโดยตรงผ่านเว็บไซต์โรงแรม คุณต้องดึงดูดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการติดอันดับต้นๆ บนเสิร์ชเอนจินอย่าง Google

รู้ไหมว่า เว็บไซต์ที่ปรากฏในหน้าแรกของ Google ได้รับการคลิกมากกว่า 90% ของผู้ใช้ทั้งหมด นั่นแหละคือเหตุผลที่คุณต้องมีกลยุทธ์ SEO ที่แข็งแกร่ง เพื่อพาเว็บไซต์ของคุณไปอยู่ตรงนั้นให้ได้ ประโยชน์ของการทำ SEO สำหรับโรงแรมมีมากมาย เช่น:

  • การเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิกจาก SEO นั้นฟรีและได้ผลในระยะยาว
  • SEO ช่วยให้คุณเจอลูกค้าที่กำลังมองหาที่พักจริงๆ เช่น คนที่กำลังค้นหาโรงแรมในพื้นที่ สถานที่ท่องเที่ยว หรือร้านอาหารในเมืองของคุณ
  • SEO อาจสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีรายงานว่าการค้นหาเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ทสูงกว่าที่เคยเป็นมาในทศวรรษที่ผ่านมา
  • SEO ช่วยให้คุณได้รับการจองโดยตรงจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจาก Google โดยไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชัน

การเอาชนะคู่แข่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณทำถูกวิธี คุณจะได้รับการจองมากกว่าคู่แข่ง โดยใช้งบการตลาดน้อยกว่า

วิธีทำ SEO สำหรับโรงแรม

กลยุทธ์ SEO สำหรับโรงแรมนั้นค่อนข้างเฉพาะเจาะจง อาจแตกต่างจากเทคนิคที่ใช้กับธุรกิจประเภทอื่น

SEO ที่ทำได้ดีหมายความว่า เมื่อคนค้นหาคำหรือวลีที่เกี่ยวข้อง โรงแรมของคุณจะปรากฏเป็นหนึ่งในผลลัพธ์แรกๆ ที่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ซึ่งเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของคุณ และนำไปสู่การจองห้องพักในที่สุด

สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ คุณไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์แบบข้ามคืนจากการทำ SEO การทำ SEO ต้องใช้เวลาและต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานาน

ถึงแม้จะใช้เวลา แต่การลงทุนทำ SEO นั้นคุ้มค่าในระยะยาว เพราะจะช่วยให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้รับการจองโดยตรงมากขึ้น และลดการพึ่งพา OTA ลงได้ในที่สุด

วิธีหาคีย์เวิร์ดและทำ SEO สำหรับโรงแรม

ถึงเวลาเริ่มต้นปรับปรุง SEO ของคุณแล้ว การเน้นที่คีย์เวิร์ดและวางแผนกลยุทธ์คีย์เวิร์ดเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และจะช่วยกำหนดเนื้อหาส่วนใหญ่ที่คุณจะใส่ลงในเว็บไซต์

คีย์เวิร์ด คือ คำหรือวลีที่คนมักพิมพ์ค้นหาในกูเกิล เมื่อคุณรู้ว่าคนค้นหาอะไร ก็จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรในเว็บไซต์โรงแรมของคุณ

ยกตัวอย่างเช่น คุณรู้ว่าแขกมักมองหาประสบการณ์ที่ดี คุณก็อาจจะเขียนบทความเรื่อง “โรงแรมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกดีที่สุดใน…” ลงในเว็บไซต์ของคุณ

แน่นอนว่ามีคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับโรงแรมและทำเลของคุณอีกมากมาย สิ่งสำคัญคือคุณต้องเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหาจริงๆ

คุณควรสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหา ถ้าเนื้อหาของคุณไม่มีประโยชน์ ผู้ใช้ก็จะกลับไปค้นหาใหม่โดยไม่คลิกเข้าเว็บคุณ และกูเกิลก็จะมองว่าเว็บของคุณไม่น่าสนใจ

ผู้เชี่ยวชาญ SEO ชั้นนำในวงการ SEO แบ่งเหตุผลที่คนค้นหาในกูเกิลออกเป็น 4 แบบ ดังนี้:

1. หาข้อมูลทั่วไป (Informational)

คนกลุ่มนี้กำลังหาข้อมูลแบบกว้างๆ สำหรับโรงแรม มักเป็นช่วงเริ่มวางแผนทริป เช่น ค้นหาว่า “เที่ยวกรุงเทพ 3 วัน 2 คืน”

2. เปรียบเทียบตัวเลือก (Commercial)

คนกลุ่มนี้จะหาข้อมูลละเอียดขึ้นก่อนตัดสินใจ อาจค้นหาว่า “ร้านอาหารอร่อยๆ ใกล้สยาม” หรือ “รีวิวโรงแรมย่านประตูน้ำ”

3. พร้อมจะจอง (Transactional)

คนกลุ่มนี้รู้แล้วว่าต้องการอะไรและพร้อมจะจ่ายเงิน อาจค้นหาว่า “โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา” หรือ “โรงแรมใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ”

4. หาข้อมูลเฉพาะ (Navigational)

คนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลเฉพาะเจาะจงจากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง การค้นหาในกูเกิลทำให้ง่ายขึ้น เช่น “โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เช็คอิน กี่โมง” หรือ “[ชื่อโรงแรม] นโยบายยกเลิกการจอง”

คีย์เวิร์ดแบบกว้างกับแบบเฉพาะเจาะจง (Broad vs long-tail keywords)

โดยทั่วไป เราแบ่งคีย์เวิร์ดเป็น 2 แบบ คือ แบบกว้างและแบบเฉพาะเจาะจง (หรือที่เรียกว่า “long-tail keywords”)

คีย์เวิร์ดแบบกว้าง เช่น “โรงแรมในกรุงเทพ”

คีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจง เช่น “โรงแรมสำหรับครอบครัวใกล้รถไฟฟ้า BTS อโศก”

กูเกิลฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น ทำให้คีย์เวิร์ดแบบเฉพาะเจาะจงมากๆ มีความสำคัญน้อยลง แต่คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงพอประมาณ (แบบกลางๆ หรือ medium-tail keywords) กลับมีความสำคัญมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้ “โรงแรมสำหรับครอบครัวใกล้รถไฟฟ้า BTS อโศก” คุณอาจใช้แค่ “โรงแรมครอบครัว ใกล้ BTS” ก็ได้ผลการค้นหาออกมาดีพอๆ กัน

เมื่อคุณเข้าใจเรื่องคีย์เวิร์ดแล้ว ลองนำไปใช้ในการสร้างเนื้อหาเว็บไซต์และบล็อกของโรงแรมคุณ แต่จำไว้ว่าต้องเขียนให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์เวิร์ดมากเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือต้องมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านจริงๆ

Image representing seo search volume

วิธีหาคีย์เวิร์ดสำหรับทำ SEO โรงแรม

ในการวางแผนกลยุทธ์คีย์เวิร์ดสำหรับ SEO ให้เน้นที่จุดเด่นและลักษณะเฉพาะของโรงแรมคุณ เช่น:

  • คำที่นักท่องเที่ยวใช้อธิบายโรงแรมของคุณ
  • เหตุผลที่คนเดินทางมาที่นี่
  • สิ่งที่พวกเขาอยากทำ
  • สิ่งที่พวกเขาน่าจะชอบเกี่ยวกับโรงแรมของคุณ
  • บริการเสริมที่โรงแรมคุณมี เช่น จัดงานแต่งงาน การประชุม หรืออีเวนต์ต่างๆ

เมื่อคุณเริ่มระบุคำและวลีที่คิดว่าอยากใช้เป็นเป้าหมายแล้ว ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อตรวจสอบความนิยม

เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจะบอกคุณว่าแต่ละคีย์เวิร์ดมีคนค้นหากี่ครั้งต่อเดือนโดยเฉลี่ย

ถ้าคุณเห็น 0/เดือน ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครสนใจหัวข้อนั้น อาจเป็นเพราะคุณใช้คำต่างจากที่คนส่วนใหญ่ใช้ ดังนั้นให้ลองหาคำอื่นๆ ดูด้วย

ตัวอย่างเช่น ตามข้อมูลจาก Ahrefs คำว่า ‘ร้านอาหารในกรุงเทพ’ มีคนค้นหา 40,000 ครั้งต่อเดือน

เมื่อคุณมีรายการคีย์เวิร์ดพร้อมแล้ว ให้แบ่งเป็นคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง

คีย์เวิร์ดหลัก

คีย์เวิร์ดหลักคือหัวข้อหรือคำสำคัญที่คุณต้องการให้หน้าเว็บนั้นๆ ติดอันดับ คีย์เวิร์ดเหล่านี้มักจะมีการแข่งขันสูง แต่ถ้าโรงแรมคุณเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง คุณก็ควรมีเนื้อหาในเว็บไซต์ที่สนับสนุนคีย์เวิร์ดนี้

ตัวอย่างคีย์เวิร์ดหลัก:

  • โรงแรม
  • โรงแรมใกล้ฉัน
  • โรงแรมในกรุงเทพ
  • ที่พักราคาถูก
  • โรงแรมติดทะเล

คีย์เวิร์ดรองหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

คีย์เวิร์ดเหล่านี้มีรายละเอียดมากขึ้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก ส่วนใหญ่มักเป็นคำที่คนใช้ตอนหาข้อมูลก่อนตัดสินใจจอง

ตัวอย่างเช่น แขกที่สนใจอาจอยากรู้ว่าโรงแรมคุณรับสัตว์เลี้ยงหรือมี Wi-Fi หรือไม่ ดังนั้นคุณควรเน้นย้ำจุดเด่นเหล่านี้ในเว็บไซต์ของคุณ

ตัวอย่างคีย์เวิร์ดรอง:

  • โรงแรมสัตว์เลี้ยงเข้าได้
  • โรงแรมสัตว์เลี้ยงเข้าได้ ใกล้ฉัน
  • ที่พัก สุนัขเข้าได้ ติดทะเล

ระวังอย่ายัดคีย์เวิร์ดเข้าไปในเนื้อหาเพื่อหวังติดอันดับ กูเกิลรู้ทันจุดนี้ เนื้อหาของคุณต้องมีประโยชน์และให้ข้อมูลที่ดีเสมอ กูเกิลชอบเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ดังนั้นถ้าอยากให้เว็บคุณติดอันดับดีๆ ให้คิดว่าจะสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ได้อย่างไร

Image explaining hotel SEO

การสร้างเนื้อหาเว็บไซต์โรงแรมให้ติดอันดับ Google และถูกใจผู้ใช้

อย่างที่มักพูดกันว่า “เนื้อหาสำคัญที่สุด” ถ้าคุณอยากติดอันดับในการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด สิ่งสำคัญคือต้องมีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพรองรับ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางชนะคู่แข่งได้เลย

การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ต้องมีลักษณะดังนี้:

1. ตรงประเด็น

คอนเทนต์ของคุณตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้ต้องการหรือไม่? เพื่อช่วยให้ตรงจุด ให้ใช้คีย์เวิร์ดที่คุณเลือกเป็นหัวข้อหรือคอนเซปหลัก แล้วขยายความจากตรงนั้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณครอบคลุมทุกแง่มุมและตรงประเด็นมาก (และเป็นที่รักของกูเกิลด้วย)

2. น่าเชื่อถือ

คอนเทนต์ของคุณต้องมีรายละเอียดเชิงลึก มีข้อมูลที่น่าสนใจ และผ่านการค้นคว้ามาอย่างดี คุณต้องแน่ใจว่าคอนเทนต์ของคุณตอบคำถามทั้งหมดที่ผู้ใช้มีตอนที่เขาค้นหา แน่นอนว่าบางคำถามอาจต้องการคำตอบที่ยาวกว่าคำถามอื่นๆ

3. เชื่อถือได้

สำคัญมากที่กูเกิลต้องเห็นว่าข้อมูลของคุณน่าเชื่อถือ อ้างอิงแหล่งที่มาเมื่อจำเป็น และอย่าลืมปรับปรุงคอนเทนต์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีบล็อกเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นทุกปี อย่าลืมอัพเดทข้อมูลในบล็อกทุกครั้งที่มีงาน

4. ไม่ซ้ำใคร

ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่าก๊อปปี้คอนเทนต์จากเว็บอื่นหรือจากที่อื่นในเว็บของคุณเองมาวางเป็นจำนวนมาก กูเกิลมักจะลงโทษคอนเทนต์ที่ซ้ำกัน

5. เป็นมิตรกับผู้ใช้

เนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณควรอ่านง่าย ใช้งานสะดวก และดูสบายตา นอกจากนี้ เว็บไซต์ควรโหลดเร็วด้วย เพราะนี่เป็นสิ่งที่ทั้งผู้ใช้และกูเกิลให้ความสำคัญมาก

สรุปง่ายๆ คือ ให้สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และนำเสนอในรูปแบบที่เป็นกันเอง เท่านี้คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำ SEO แล้ว

SEO ภายในเว็บไซต์สำหรับโรงแรม

SEO ภายในเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า On-site SEO หรือ On-page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ในเว็บไซต์ (ทั้งเนื้อหาและโค้ด HTML) เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา และดึงดูดผู้เข้าชมจากการค้นหาแบบออร์แกนิกให้มากขึ้น

องค์ประกอบที่คุณสามารถปรับแต่งได้ เช่น:

  • ชื่อหน้าเว็บ (Page titles)
  • คำอธิบายเมตา (Meta descriptions)
  • แท็กหัวข้อ (Heading tags)
  • โครงสร้าง URL
  • เนื้อหาในเว็บไซต์ – รูปภาพ, ข้อความ, วิดีโอ และเสียง
  • คำอธิบายภาพ (Image alt text)

คำว่า “site” หมายถึงเว็บไซต์ทั้งหมดของโรงแรมคุณ ส่วน “page” หมายถึงหน้าเว็บเดี่ยวๆ เช่น บทความในบล็อก เป้าหมายของการใช้กลยุทธ์ SEO ภายในเว็บไซต์ของโรงแรมคุณ คือทำให้ทั้งเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่า:

  • เว็บไซต์นี้เกี่ยวกับอะไร
  • แต่ละหน้าในเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร
  • หน้านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าค้นหาหรือไม่
  • หน้านี้มีคุณค่าสำหรับผู้อ่านหรือไม่
  • เว็บไซต์นี้มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนี้แค่ไหน

ชื่อหน้าเว็บ, คำอธิบายเมตา, และ URL

ในการปรับแต่งเนื้อหาให้ติดอันดับดีในกูเกิล เราจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดทางเทคนิคมากขึ้น และพิจารณาเรื่องชื่อหน้าเว็บ, คำอธิบายเมตา, แท็กหัวข้อ, URL, ลิงก์ และอื่นๆ

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ทั้งเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของคุณมากขึ้น และช่วยให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา

แท็กชื่อเรื่อง หรือชื่อ SEO เป็นสิ่งแรกที่ผู้เยี่ยมชมที่อาจเป็นลูกค้าจะเห็นเมื่อค้นหา และแสดงในหน้าผลการค้นหาเป็นหัวข้อที่คลิกได้สำหรับหน้านั้นๆ

คำอธิบายเมตาเป็นข้อความสรุปสั้นๆ ของเนื้อหาในหน้านั้น และแสดงในผลการค้นหาใต้แท็กชื่อเรื่อง

Image showing example of page title in serp

URL คือที่อยู่ของแต่ละหน้าในเว็บไซต์ของคุณ

เคล็ดลับการทำ SEO สำหรับการเขียนเนื้อหาในเว็บไซต์โรงแรม

  • แท็กชื่อเรื่องควรอธิบายเนื้อหาของหน้าอย่างถูกต้องและกระชับ
  • ใช้คีย์เวิร์ดหลักเป็นหัวข้อหลัก (H1)
  • ใส่คีย์เวิร์ดหลักในย่อหน้าแรกของเนื้อหา
  • ใช้คีย์เวิร์ดหลักและรองตลอดทั้งเนื้อหา
  • ใช้แท็กหัวข้อรอง (H2) สำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
  • สร้าง URL ที่สั้น เข้าใจง่าย และมีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ด้วย
  • เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่าน

วิธีจัดการรูปภาพให้ติดอันดับ SEO

รูปภาพมีบทบาทสำคัญมากใน SEO โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรม เพราะคนมักตัดสินใจจองโรงแรมจากความรู้สึก ดังนั้นการมีรูปภาพที่สวยงามในเว็บไซต์จึงสำคัญมาก ตามข้อมูลจาก Hoosh มีผู้ใช้กูเกิลเพียง 17% ที่เลื่อนดูผลการค้นหาแบบข้อความ แต่มีถึง 35% ที่เลื่อนดูผลการค้นหารูปภาพ และ 63% ของผู้ที่คลิกที่รูปภาพจะเข้าชมเว็บไซต์นั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ปรับแต่งรูปภาพให้ดี อาจส่งผลเสียต่อ SEO ได้ เช่น ทำให้เว็บไซต์โหลดช้า หรือสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้

ปัจจัยสำคัญที่คุณต้องให้ความสนใจคือ คุณภาพของรูปภาพ ขนาดไฟล์ และข้อความอธิบายรูปภาพ (alt text) มาดูแต่ละอย่างกัน

คุณภาพของรูปภาพ

การใช้รูปภาพของคุณเองดีกว่าการใช้รูปจากสต็อก เพราะมันจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณมากกว่า และดูเป็นธรรมชาติกว่า

การใส่รูปลงเว็บไซต์แบบขอไปที เพื่อให้ผ่านข้อกำหนด SEO ของระบบจัดการเนื้อหา ไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะไม่เป็นผลดีทั้งกับกูเกิลและผู้ใช้

แต่ถ้าคุณใช้รูปของตัวเอง ต้องแน่ใจว่าคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ใช้อยากคลิกเข้าชม นี่เป็นพื้นฐานสำคัญของการออกแบบเว็บไซต์และการทำการตลาดเนื้อหาโรงแรมที่ดี

ขนาดของรูปภาพ

นอกจากคุณภาพแล้ว ขนาดไฟล์ก็สำคัญ แม้คุณไม่อยากลดคุณภาพ แต่ไฟล์ก็ต้องไม่ใหญ่เกินไป เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็ว เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะกระทบต่อการแสดงผลบนหน้าค้นหา เพราะทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลง โดยเฉพาะผู้เข้าชมจากมือถือจะไม่รอนานก่อนไปดูเว็บโรงแรมอื่น คุณสามารถติดตามจำนวนผู้เข้าชมจากมือถือได้ผ่าน Google Analytics

ข้อความอธิบายรูปภาพ (Alt text)

Alt text คือข้อความที่จะแสดงแทนเมื่อรูปภาพไม่สามารถแสดงผลได้ มันอธิบายว่าในรูปกำลังแสดงอะไร

สิ่งนี้สำคัญในกรณีที่รูปหาย อินเทอร์เน็ตช้า อุปกรณ์บางอย่างไม่สามารถโหลดรูปได้ หรือเมื่อผู้พิการทางสายตาใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ

นอกจากนี้ alt text ยังให้ข้อมูลกับกูเกิลเพื่อให้จัดหมวดหมู่หน้าเว็บของคุณได้แม่นยำขึ้น

ชื่อไฟล์รูปภาพ

เชื่อหรือไม่ว่าเสิร์ชเอนจินใช้ชื่อไฟล์รูปภาพเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาของรูปด้วย

ถ้าคุณมีรูปโรงแรมหรือห้องพัก ตั้งชื่อไฟล์ให้สะท้อนสิ่งนั้น เช่น ห้องดีลักซ์-ชื่อโรงแรม.jpg หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์แบบ 1234abcd.jpg

นอกจากนี้ ให้ระวังเรื่องรูปขนาดย่อ (thumbnail) และรูปตกแต่ง ทำให้ไฟล์รูปขนาดย่อเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ รูปขนาดย่อที่มากเกินไปหรือใหญ่เกินไปจะทำให้เว็บโหลดช้าลงอย่างมาก

รูปตกแต่งรวมถึงรูปพื้นหลัง, ฟอร์ม, รูปสินค้า, ปุ่ม และกรอบต่างๆ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีผลต่อเวลาโหลด ควรพิจารณาว่าจะลดหรือจำกัดสิ่งเหล่านี้อย่างไร พยายามรักษาความสวยและดีไซน์ของเว็บไซต์ไว้ให้ได้มากที่สุด

ลองทดสอบดูว่าแบบไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ

ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง (Structured data)

ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า schema markup คือโค้ดที่ช่วยให้กูเกิลเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บของคุณได้ดีขึ้น และเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณตอบสนองการค้นหาและความต้องการของผู้ใช้อย่างไร

ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ schema ของคุณ เช่น ชื่อโรงแรม ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลติดต่อต้องเหมือนกันในทุกหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน วิธีนี้จะช่วยให้กูเกิลแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีข้อมูลครบถ้วน

คุณอาจต้องการความช่วยเหลือจากนักพัฒนาเว็บไซต์ในการใส่ข้อมูลแบบมีโครงสร้างลงในเว็บไซต์โรงแรมของคุณ หรือคุณอาจใช้ปลั๊กอินที่มีอยู่สำหรับแพลตฟอร์มของคุณ

ทางเลือกที่ดีที่สุดอาจเป็นการลงทุนในโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรม ซึ่งจะปรับแต่งเนื้อหาของคุณโดยอัตโนมัติ

ข้อควรพิจารณาหลักเมื่อทำ schema สำหรับโรงแรม มี 3 ส่วนหลัก:

  • ธุรกิจ – โรงแรม, โฮสเทล, รีสอร์ท ฯลฯ: สถานที่และธุรกิจท้องถิ่นที่มีห้องพัก
  • ที่พัก – หน่วยที่เกี่ยวข้องของสถานประกอบการ (เช่น ห้องพักโรงแรม, ห้องสวีท, อพาร์ตเมนต์, ห้องประชุม ฯลฯ) สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณเสนอขาย
  • โปรโมชั่น – การให้เช่าห้องพักในราคาหนึ่ง สำหรับการใช้งานประเภทหนึ่ง (เช่น จำนวนผู้เข้าพัก) และระยะเวลาหนึ่ง

หากคุณไม่เข้าใจคอนเซปของ Schema markup ให้ศึกษา Google Search Console มีเครื่องมือช่วยทำ Structured Data Markup และมีคู่มือสำหรับทำความเข้าใจเพิ่มเติม

การปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บ

ประสบการณ์ที่แย่ที่สุดสำหรับผู้ใช้คือเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่โหลดไม่ได้หรือโหลดช้ามาก

ไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้าแน่นอน และไม่นานมานี้ กูเกิลให้ความสำคัญกับเว็บที่ใช้งานง่ายและสะดวกสำหรับผู้ใช้มากขึ้น ดังนั้น คุณควรให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการทำให้เว็บโรงแรมของคุณโหลดเร็วขึ้น

ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ลองใช้ Google PageSpeed Insights วิเคราะห์ดู มันจะให้คะแนนเว็บไซต์ของคุณพร้อมคำแนะนำในการปรับปรุงและเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

ยิ่งเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วเท่าไหร่ อัตราการตีกลับ (คนที่ออกจากเว็บไซต์ทันทีที่เข้ามา) ก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น

ยิ่งอัตราการตีกลับต่ำ โอกาสที่คุณจะได้รับการจองก็ยิ่งสูงขึ้น เพราะหมายความว่านักท่องเที่ยวกำลังดูหลายหน้าในเว็บของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่านักเที่ยวเหล่านี้สนใจจริงๆ

บางครั้งอาจไม่ง่ายที่จะรู้ว่าต้องแก้ไขอะไร นี่คือเหตุผลที่ข้อมูลเชิงลึกจากกูเกิลมีค่ามาก บ่อยครั้งคุณจะพบว่าขนาดไฟล์รูปภาพของคุณใหญ่เกินไป หรือคุณใช้วิดีโอมากเกินไปในเว็บไซต์ บางครั้งโค้ดของคุณอาจต้องปรับปรุง

เมื่อรู้ว่าเวลาโหลดเฉลี่ยของเว็บไซต์บนคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาคือ 1.65 วินาที มันคุ้มค่าที่จะพยายามปรับปรุง การทำให้เวลาโหลดต่ำกว่า 2 วินาทีอาจสำคัญมากสำหรับอัตราการตีกลับ

หากเว็บไซต์ของคุณใช้เวลาโหลดนานถึง 10 วินาที คุณอาจสูญเสียผู้เข้าชมไปมากกว่าครึ่ง เพราะพวกเขาจะออกจากเว็บไซต์ก่อนที่มันจะโหลดเสร็จ จำนวนคนที่ออกจากเว็บไซต์อาจเพิ่มขึ้นถึง 120% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วกว่า

เว็บไซต์บนมือถือยิ่งยากที่จะปรับให้เร็วและมักจะช้ากว่า โดยการศึกษาล่าสุดพบว่าเว็บไซต์บนมือถือโดยเฉลี่ยใช้เวลาโหลด 27 วินาที คุณจะเห็นได้ว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณสามารถให้ข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งโรงแรมของคุณได้อย่างชัดเจน

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดสองอย่างของหน้าเว็บที่โหลดช้าคือ: รูปภาพขนาดใหญ่และการเขียนโค้ดที่ไม่ดี จากสิ่งนี้ มีงานทั่วไปบางอย่างที่สามารถช่วยปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ของคุณได้:

1. บีบอัดรูปภาพของคุณ

การลดขนาดไฟล์ของรูปภาพช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นมาก และมีเครื่องมือมากมายที่คุณสามารถใช้ทำสิ่งนี้ได้ มันเป็นเรื่องปกติมากเพราะรูปภาพคุณภาพสูงมักมีขนาดไฟล์ใหญ่ แต่การใช้เครื่องมือเช่น Adobe Photoshop หรือ Squoosh จะช่วยคุณจัดการได้

2. ใช้การแคชของเบราว์เซอร์

การแคชของเบราว์เซอร์เกี่ยวกับการเก็บทรัพยากรที่โหลดไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อที่เว็บไซต์จะไม่ต้องโหลดใหม่ทุกครั้งที่ผู้ใช้คนเดียวกันเข้าชม เมื่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ไปยังหน้าใหม่บนเว็บไซต์ของคุณ สิ่งต่างๆ เช่น โลโก้และส่วนท้ายเว็บไซต์จะไม่จำเป็นต้องโหลดใหม่

3. ย่อ HTML, CSS และ JavaScript ของคุณ

การทำให้โค้ดของเว็บไซต์กินพื้นที่น้อยลงก็เป็นอีกวิธีสำคัญ เราเรียกวิธีนี้ว่าการย่อโค้ด หรือ Minification ซึ่งเป็นการลบหรือแก้ไขส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป โดยไม่ทำให้เว็บไซต์เสียหาย วิธีนี้ช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้น แต่ยังทำงานได้เหมือนเดิม

4. จัดลำดับการโหลดเนื้อหาให้เหมาะสม

บางครั้ง เว็บไซต์อาจโหลดช้าเพราะมีการจัดลำดับการโหลดเนื้อหาไม่เหมาะสม เช่น โหลดสิ่งที่ไม่สำคัญก่อนสิ่งที่สำคัญ

ยกตัวอย่างเช่น สำหรับเว็บไซต์โรงแรม คุณควรให้ความสำคัญกับการโหลดโลโก้ แบนเนอร์ และรูปภาพห้องพักก่อน ส่วนปุ่มแชร์โซเชียลมีเดียหรือสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ควรโหลดทีหลัง

การจัดลำดับแบบนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลสำคัญของโรงแรมคุณได้เร็วขึ้น แม้ว่าหน้าเว็บจะยังโหลดไม่เสร็จสมบูรณ์

ดังนั้น คุณควรตรวจสอบโค้ดเว็บไซต์และปรับแต่งให้โหลดเนื้อหาตามลำดับความสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลที่จำเป็นได้เร็วที่สุด

ปรับเว็บให้เหมาะกับมือถือ

เมื่อต้องการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับ SEO และมือถือหรือไม่ สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่คุณใช้ ปัจจุบัน CMS ส่วนใหญ่มีปลั๊กอินหรือส่วนเสริมที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น

สำหรับโรงแรมของคุณ อาจเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะใช้ตัวสร้างเว็บไซต์โรงแรมโดยเฉพาะ ซึ่งจัดการเรื่องเหล่านี้ให้โดยอัตโนมัติและอัปเดตทุกครั้งที่กูเกิลเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม

ลองดูเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ของ SiteMinder เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

พิจารณาสิ่งต่อไปนี้เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองต่อมือถือ:

  • ตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์บนอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
  • ใส่ ‘Viewport Meta Tag’ (ช่วยให้เว็บปรับขนาดตามหน้าจอ)
  • ทำให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอที่จะใช้งานบนมือถือได้
  • ใช้ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่พอ
  • บีบอัดขนาดรูปภาพและ CSS
  • ทดสอบการใช้งานบนมือถือ
  • เพิ่มฟีเจอร์โทรออกด้วยการคลิก (Click-to-call)

ปรับปรุงเนื้อหาที่มีอยู่

แม้ว่าเนื้อหาใหม่จะดีเสมอและเป็นปัจจัยสำคัญใน SEO แต่การปรับปรุงสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าคุณมีเว็บไซต์อยู่แล้ว คุณน่าจะมีเนื้อหาบางส่วนที่สามารถปรับปรุงหรือรีเฟรชได้

คุณสามารถทำได้โดยวิเคราะห์เนื้อหาปัจจุบันของคุณด้วย:

    • เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ – เครื่องมืออย่าง Hotjar ช่วยให้คุณเห็นภาพว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ทำอะไรบ้าง เช่น พวกเขาคลิกตรงไหนบ่อย เลื่อนหน้าเว็บลงไปถึงไหน หรือสนใจดูส่วนไหนนานเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่เลื่อนลงไปดูโปรโมชันพิเศษที่อยู่ด้านล่างของหน้าเว็บเลย ข้อมูลแบบนี้ช่วยให้คุณรู้ว่าควรย้ายโปรโมชันขึ้นมาไว้ด้านบน หรือควรปรับการนำเสนอให้น่าสนใจมากขึ้น ด้วยข้อมูลพวกนี้ คุณจะเห็นว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ดึงดูดความสนใจได้ดี และส่วนไหนที่ควรปรับปรุงเพื่อให้คนเห็นและใช้งานมากขึ้น
  • การบันทึกเซสชัน – Google Analytics จะช่วยให้คุณเห็นว่าหน้าไหนบนเว็บไซต์ของคุณมีการบันทึกเซสชันและการเยี่ยมชมมากที่สุด คุณจึงสามารถเน้นเนื้อหาที่ดีและปรับปรุงเนื้อหาที่ไม่ได้ผล
  • ตรวจสอบการมองเห็น – ใช้ Google Search Console เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดไหนที่เนื้อหาของคุณทำได้ดี คีย์เวิร์ดไหนที่ทำให้เว็บคุณปรากฏในผลการค้นหาและได้รับคลิกเยอะ สังเกตว่า ถ้าคีย์เวิร์ดหรือหัวข้อไหนมีคนเห็นเยอะ (impressions สูง) แต่คลิกน้อย อาจหมายความว่าเนื้อหาส่วนนั้นยังไม่น่าสนใจพอ ลองตรวจสอบดูว่าคุณอาจต้องเพิ่มเติมหรือปรับปรุงอะไรบ้าง

เมื่อคุณวิเคราะห์เนื้อหาปัจจุบันของคุณอย่างถี่ถ้วนแล้ว คุณสามารถเริ่มสร้างหัวข้อใหม่ๆ ขยายเนื้อหาที่มีอยู่ หรือเพียงแค่ปรับแต่งสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วด้วยคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด

การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์สำหรับโรงแรม

การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์ หมายถึงการทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและมีความสำคัญในสายตาของกูเกิล โดยใช้วิธีการต่างๆ นอกเว็บไซต์ของคุณเอง สิ่งเหล่านี้คุณอาจควบคุมโดยตรงไม่ได้ แต่สามารถมีส่วนช่วยได้แน่นอน

ตัวอย่างที่สำคัญคือการสร้างลิงก์ (link building) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ SEO กูเกิลจะดูว่ามีกี่เว็บไซต์ลิงก์มาที่หน้าเว็บของคุณ และพิจารณาว่าลิงก์เหล่านั้นมีคุณค่าและเกี่ยวข้องแค่ไหน คล้ายๆ กับการโหวตให้เว็บคุณนั่นเอง

ลิงก์ภายในเว็บ ช่วยบอกกูเกิลว่าเนื้อหาในเว็บคุณเชื่อมโยงกันยังไง และหน้าไหนสำคัญที่สุด ส่วนลิงก์ที่ชี้ออกไปเว็บอื่น ก็มีประโยชน์เช่นกัน เพราะช่วยยืนยันข้อมูลที่คุณนำเสนอ อาจทำให้เว็บอื่นลิงก์กลับมาหาคุณบ้าง สร้างความไว้ใจกับลูกค้า เพราะคุณแนะนำข้อมูลที่มีประโยชน์ ทำให้เนื้อหาของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เชื่อมโยงเว็บคุณกับเว็บดีๆ อื่นๆ

Backlinks คือลิงก์จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บคุณ

เคล็ดลับในการสร้างลิงก์จากผู้เชี่ยวชาญ SEO มีดังนี้:

1. ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และหน้าเว็บ

กูเกิลแจ้งว่า การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือในวงการของคุณ สำคัญมากสำหรับ SEO วัดได้จากจำนวนและคุณภาพของ backlinks ที่เว็บคุณได้รับ

สำคัญมากที่เว็บที่ลิงก์มาหาคุณต้องเป็นเว็บที่น่าเชื่อถือ ไม่งั้นอาจไม่ได้คนเข้าเว็บเยอะ หรือไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย และยังช่วยให้เว็บคุณดูน่าเชื่อถือตามไปด้วย

ถ้ากูเกิลเห็นว่าหน้าเว็บคุณมีค่าในสายตาของเว็บที่น่าเชื่อถือ มันก็จะชอบเว็บคุณด้วย คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs เพื่อเช็คว่าเว็บไหนน่าเชื่อถือ

2. เนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกัน

แม้จะได้ลิงก์จากเว็บดังๆ แต่ถ้าเนื้อหาไม่เกี่ยวกับเว็บคุณเลย อาจไม่ช่วย SEO เท่าไหร่

3. ตำแหน่งของลิงก์

อย่าซ่อนลิงก์ในที่ที่มองเห็นยากหรือล่างสุดของหน้าเว็บ ลิงก์จะมีค่ามากกว่าถ้าอยู่ในเนื้อหาหลักของบทความ

4. ข้อความที่ฝังลิงก์ (Anchor text)

กูเกิลให้ความสำคัญกับข้อความที่คุณใช้ทำลิงก์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสร้างลิงก์โดยใช้คำว่า ‘โรงแรมติดทะเลในภูเก็ต’ กูเกิลจะเข้าใจว่าเว็บไซต์ปลายทางน่าจะเกี่ยวข้องกับโรงแรมริมทะเลในจังหวัดภูเก็ต

5. รูปภาพและกราฟิก

รูปภาพ อินโฟกราฟิก และแผนภูมิ มักจะดึงดูดให้คนอยากแชร์และลิงก์ถึง เพราะสื่อเหล่านี้มักจะให้ข้อมูลที่เข้าใจง่ายและมีประโยชน์ ลองสร้างสื่อภาพที่น่าสนใจสำหรับเว็บไซต์ของคุณ มันอาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

6. การติดต่อและสร้างเครือข่าย (Outreach)

การสร้างความสัมพันธ์กับนักเขียนและอินฟลูเอนเซอร์ที่จะลิงก์มาที่เว็บคุณเป็นเรื่องสำคัญมาก ลองติดต่อบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวแล้วชวนเขามาพักที่โรงแรมคุณดู

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ นอกเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อ SEO ของคุณ เช่น:

  • การทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
  • การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (Pay-Per-Click)
  • รีวิวออนไลน์
  • เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเอง (User-generated content)
  • แคมเปญโฆษณาทางทีวี ป้ายกลางแจ้ง และวิทยุ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ ยิ่งคนรู้จักแบรนด์คุณมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งค้นหาคุณ พูดถึงคุณออนไลน์ และลิงก์ถึงคุณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้ SEO ของคุณดีขึ้นด้วย

Technical SEO สำหรับโรงแรม

Technical SEO สำหรับโรงแรม คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการเข้าถึงและดึงข้อมูลสำหรับกูเกิลและเสิร์ชเอนจินอื่นๆ เรื่องนี้เป็นหัวข้อการตลาด SEO สำหรับโรงแรมที่ลึกกว่าเทคนิค SEO พื้นฐาน และเหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคดี

แม้ว่า SEO เชิงเทคนิคจะซับซ้อน แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงแรมควรรู้ เพราะมันอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณติดอันดับต้นๆ ในหน้าแรกของกูเกิลสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง หรือหล่นไปอยู่หน้าสองและหน้าถัดๆ ไป

แล้ว SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO) คืออะไรกันแน่?

กูเกิลทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต โดยเริ่มจากการส่ง “โปรแกรมอัตโนมัติ” ที่เรียกว่าบอทหรือเว็บครอวเลอร์ ออกไปสำรวจเว็บไซต์ทั่วโลก โปรแกรมเหล่านี้จะทำหน้าที่อ่านและบันทึกข้อมูลสำคัญจากทุกเว็บไซต์ที่พบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา รูปภาพ หรือลิงก์ต่างๆ

หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว กูเกิลจะนำข้อมูลทั้งหมดมาจัดเก็บอย่างเป็นระบบ เรียกว่า การทำ ‘index’ ซึ่งคล้ายกับการสร้างสารบัญของหนังสือขนาดใหญ่มาก เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิล ระบบจะใช้ข้อมูลในดัชนีนี้เพื่อแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ที่สุดสำหรับผู้ใช้

ด้วยเหตุนี้ การทำ SEO เชิงเทคนิคจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นการช่วยให้โปรแกรมของกูเกิลเข้าใจและอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

SEO เชิงเทคนิคคือกระบวนการทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการครอวล์และอินเด็กซ์สำหรับบอทของกูเกิล เป็นหัวข้อที่ลึกและซับซ้อน แต่ในท้ายที่สุดคุณภาพของ SEO เชิงเทคนิคขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ:

  • เว็บไซต์ของคุณสร้างมาได้ดีแค่ไหน: โครงสร้างเว็บไซต์และโครงสร้างหน้าเว็บที่ดีจะทำให้บอทนำทางได้ง่ายขึ้นมาก
  • ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ: เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็วและปลอดภัยกว่า บอทก็จะทำงานได้ง่ายและปลอดภัยกว่า

ในขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่บางแห่งอาจมีทักษะและความเชี่ยวชาญภายในองค์กร โรงแรมส่วนใหญ่มักจะจ้างบุคคลภายนอกทำ SEO เชิงเทคนิค

SEO ท้องถิ่นสำหรับโรงแรม (Local SEO)

SEO ท้องถิ่น เป็นวิธีการทำให้โรงแรมของคุณปรากฏในผลการค้นหาออนไลน์สำหรับคนในพื้นที่หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาที่พักในละแวกนั้น นอกจากกูเกิลแล้ว ยังมี Bing, Yelp, Apple Maps และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ที่มีบทบาทด้วย

SEO ท้องถิ่นเน้นที่การใช้ตำแหน่งที่ตั้งของคุณเพื่อจัดอันดับสูงสำหรับการค้นหาเฉพาะ เพราะนักท่องเที่ยวมักไม่ค้นหาแค่ “โรงแรม” แต่จะค้นหา “โรงแรมใน[สถานที่]” หรือ “โรงแรมใกล้ฉัน”

ตั้งแต่โควิด-19 และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นการค้นหาคำว่า “โรงแรมใกล้ฉัน” เพิ่มขึ้น รวมถึงการค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะของโรงแรม เช่น “โรงแรมที่รับสัตว์เลี้ยงใกล้ฉัน” และ “บ้านพักตากอากาศใกล้ฉัน” เห็นได้ชัดว่านักท่องเที่ยวกำลังมองหาที่พักในท้องถิ่นมากขึ้น ดังนั้นการทำ SEO ท้องถิ่นจึงสำคัญมาก

วิธีที่ง่ายที่สุดและควรเป็นขั้นตอนแรกของคุณคือการลงทะเบียนธุรกิจบน Google My Business นี่เป็นบัญชีฟรีที่คุณสามารถสร้างขึ้นเพื่อจัดการข้อมูลธุรกิจของคุณบนกูเกิล ข้อมูลธุรกิจของคุณจะปรากฏทั้งในผลการค้นหาปกติและบน Google Maps

Image representing a hotel result from a google search

โปรไฟล์จะแสดงรายละเอียดสำคัญ เช่น ที่อยู่ ข้อมูลติดต่อ เว็บไซต์ เวลาทำการ และอื่นๆ การสร้างบัญชี Google My Business ช่วยให้คุณปรับแต่งข้อมูลทั้งหมดนี้ได้

เมื่อคุณมีบัญชีแล้ว คุณสามารถทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าได้:

  • ตอบรีวิว
  • ตอบคำถาม
  • เปิดใช้งานการส่งข้อความ
  • แสดงรูปภาพ
  • โพสต์ข้อความคล้ายกับโพสต์บนเฟซบุ๊ก
  • เน้นจุดเด่นของธุรกิจคุณ
  • จัดลำดับความสำคัญของข้อมูลที่คุณต้องการแสดง
  • ลิงก์ไปยังหน้าที่แขกสามารถทำการจองได้
  • ใส่คีย์เวิร์ดเพื่อช่วยในการจัดอันดับสำหรับ SEO ท้องถิ่น!

กูเกิลจะแสดงข้อมูลในโปรไฟล์ของคุณตามสิ่งที่คนค้นหา แต่คุณต้องใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อให้กูเกิลทำงานได้เต็มที่ เหมือนกับที่คุณทำกับเว็บไซต์หลักของคุณ

เลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เหมาะสม ใส่ข้อมูลที่มีประโยชน์ และบอกเหตุผลว่าทำไมลูกค้าควรเชื่อใจคุณ อย่าลืมว่ารีวิวและการตอบกลับของคุณจะแสดงในโปรไฟล์ด้วย ดังนั้นต้องดูแลให้ดีเพื่อสร้างความประทับใจที่ดี

การทำ SEO ท้องถิ่นให้เก่งนั้น ใช้หลักการ SEO ทั่วไปที่เราคุยกันมาได้เลย แต่ต้องคิดให้ดีว่าจะใช้คีย์เวิร์ดอะไร และจะตอบโจทย์การค้นหาของคนในพื้นที่ได้อย่างไร

เวลาคนค้นหาข้อมูลท้องถิ่นในกูเกิล ผลการค้นหาจะแบ่งเป็นสองส่วนที่แตกต่างกัน:

  • ผลการค้นหาแบบ ‘แพ็คขนมขบเคี้ยว’ (Snack Pack)
  • ผลการค้นหาแบบปกติ

 

  1. ผลการค้นหาแบบ ‘สแน็คแพ็ค’ (Snack Pack): เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อธุรกิจท้องถิ่น 3 อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด จะปรากฏในพื้นที่พิเศษบนหน้าผลการค้นหาแรก
  2. ผลการค้นหาออร์แกนิคปกติ

ซึ่งผลการค้นหาแบบ ‘snack pack’ เป็นส่วนที่แสดงรายชื่อธุรกิจท้องถิ่น 3 อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับการค้นหามากที่สุด จะปรากฏในพื้นที่พิเศษบนหน้าผลการค้นหาแรก

คนมักจะคลิกดูทั้งสองส่วนนี้พอๆ กัน ดังนั้นการติดอันดับในทั้งสองส่วนจึงสำคัญ นี่คือจุดที่ SEO ท้องถิ่นของคุณต้องทำให้ได้ดี จำไว้ว่า ไม่มีอะไรจะช่วยให้คุณชนะใจลูกค้าได้ดีไปกว่าการช่วยให้พวกเขาหาสิ่งที่ต้องการเจอจริงๆ

ไอเดียที่อาจใช้ได้ดีสำหรับโรงแรมของคุณคือการสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘สิ่งที่ดีที่สุด’ ในพื้นที่ของคุณ เช่น “ร้านอาหารอร่อยใกล้[ชื่อโรงแรมหรือสถานที่]” “ที่เที่ยวใกล้[ชื่อโรงแรมหรือสถานที่]” “กิจกรรมน่าสนใจใกล้[ชื่อโรงแรม]”

อย่าลืมพูดถึงงานหรือกิจกรรมท้องถิ่นที่จัดเป็นประจำด้วย

 

วิธีวัดผลงาน SEO ของโรงแรม

การนำแผนและกลยุทธ์ SEO ใหม่ๆ มาใช้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ในจุดหนึ่งคุณต้องรู้ว่ามันสร้างความแตกต่างและให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ คุณจำเป็นต้องติดตามและวัดผลการพัฒนาโดยดูจากตัวชี้วัด SEO ที่สำคัญ

ตัวชี้วัดที่คุณควรพิจารณา ได้แก่:

1. รายได้

สิ่งสำคัญที่สุดในการติดตามงาน SEO คือรายได้ ทราฟฟิกแบบออร์แกนิกช่วยเพิ่มการจองห้องพักโดยตรงของโรงแรมคุณหรือไม่? คุณสามารถวัดผลนี้ได้ใน Google Analytics

2. เป้าหมายและคอนเวอร์ชั่น

นอกจากรายได้ คุณควรตั้งเป้าหมายสำหรับเว็บไซต์ของคุณ เช่น การจองห้องพัก การกรอกแบบฟอร์มติดต่อ หรือแม้แต่การสมัครรับข่าวสารทางบล็อก

3. การเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาแบบออแกนิค (Organic traffic)

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะ SEO เกี่ยวกับการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหา คุณเห็นยอดผู้เข้าชมหน้าเว็บสำคัญของคุณเพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่?

4. อันดับคำค้นหา

หากคุณกำลังเน้นคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงในเนื้อหาของคุณ คุณควรตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีแค่ไหนสำหรับคำค้นหาเหล่านั้น คุณได้อันดับติดท็อป 10 บ้างหรือไม่?

เครื่องมือ SEO ที่จำเป็นสำหรับโรงแรม

แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือ SEO ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรม แต่เราสามารถใช้เครื่องมือ SEO ทั่วไปกับธุรกิจโรงแรมได้เช่นกัน

เครื่องมือที่จะช่วยในการทำ SEO ของคุณ มีดังนี้:

1. Google Analytics (GA)

GA เหมาะสำหรับการตั้งค่าและติดตามตัวชี้วัดและเป้าหมายสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะโรงแรม คุณจะต้องสามารถติดตามธุรกรรมและรายได้ รวมถึงดูว่าห้องพักหรือโรงแรมสาขาไหนสร้างรายได้ให้คุณ ดังนั้นการตั้งค่า eCommerce ใน Google Analytics จึงสำคัญมาก

2. Google Search Console

ช่วยให้คุณวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ แก้ไขปัญหา และเห็นว่า Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณอย่างไร

3. SEMRush

เป็นชุดเครื่องมือครบวงจรที่มีฟีเจอร์สำหรับวิเคราะห์คู่แข่ง ค้นหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์ backlink ติดตามอันดับ และดูข้อมูล PPC

4. Ahrefs

Ahrefs เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือครบวงจรที่มีฟีเจอร์สำหรับค้นหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์ backlink วิเคราะห์เนื้อหา และ SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO)

5. Screaming Frog

เป็นเครื่องมือที่จะตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณโดยละเอียด เพื่อหาจุดที่ควรปรับปรุงด้าน SEO

6. Accuranker

ช่วยติดตามอันดับคีย์เวิร์ดของคุณ เพื่อดูว่าเว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นหรือไม่ และเปรียบเทียบกับคู่แข่ง

7. Google My Business

ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏในการค้นหาในพื้นที่ได้ดีขึ้น

8. Keyword Planner

เป็นเครื่องมือของ Google สำหรับหาไอเดียคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

สิ่งที่ควรทำในการวางกลยุทธ์ SEO สำหรับโรงแรม

  • SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับดีในการค้นหา เพื่อให้มีคนเข้าเว็บไซต์โรงแรมของคุณมากขึ้น
  • ข้อดีของ SEO คือ ไม่ต้องจ่ายเงินโฆษณา และได้ผลในระยะยาว ช่วยเพิ่มการจองโดยตรงได้
  • คีย์เวิร์ด คือคำหรือวลีที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาโรงแรม คุณควรสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับคำเหล่านี้
  • SEO บนเว็บไซต์ (on-page SEO) คือการปรับแต่งสิ่งที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณ ทั้งส่วนที่ผู้ใช้เห็นและส่วนที่ Google เห็น
  • SEO นอกเว็บไซต์ (Off-site SEO) คือการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์จากภายนอก
  • เขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ น่าเชื่อถือ ไม่ซ้ำใคร และมีรายละเอียดครบถ้วน
  • ปรับแต่งรูปภาพและองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ให้เหมาะกับ SEO
  • การสร้างลิงก์ (Link building) ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มการเข้าชมและอันดับได้ดี
  • ใช้ schema markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
  • พยายามทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บนานขึ้น
  • ให้ความสำคัญกับ SEO ในพื้นที่และโปรไฟล์ธุรกิจบน Google ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสการจองผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา
  • ติดตามผลลัพธ์ SEO อย่างสม่ำเสมอ และใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวิเคราะห์และปรับปรุง
]]>
การบริหารราคาห้องพักโรงแรม: ซอฟต์แวร์ที่ควรใช้ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-rate-management/ Fri, 08 Nov 2024 05:46:09 +0000 https://www.siteminder.com/?p=180760 การบริหารราคาห้องพักโรงแรมคืออะไร?

การบริหารราคาห้องพักโรงแรม คือการตั้งราคาห้องพักอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดแขกและทำรายได้ให้มากที่สุด วิธีนี้ต้องวิเคราะห์แนวโน้มตลาด พฤติกรรมการจอง และกลยุทธ์ของคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การตั้งราคาให้ถูกต้อง แต่ต้องปรับราคาตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วย

กลยุทธ์นี้สำคัญมากต่อการเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (ADR) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการของโรงแรม

สารบัญ

ทำไมการบริหารราคาห้องพักถึงสำคัญ?

การเชี่ยวชาญในการบริหารราคาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโต (ไม่ใช่แค่อยู่รอด) ในธุรกิจโรงแรมที่แข่งขันสูง แต่ทำไมมันถึงสำคัญนัก? นี่คือสิ่งที่โรงแรมที่บริหารราคาอย่างดีจะได้รับ:

  • เพิ่มรายได้สูงสุด: ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดของการบริหารราคาที่ดีคือกำไรที่เพิ่มขึ้น การปรับราคาห้องพักแบบไดนามิกตามความต้องการ ฤดูกาล และแนวโน้มตลาด ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสทำเงินในช่วงไฮซีซั่น และไม่ตั้งราคาสูงเกินไปจนขายไม่ออกในช่วงโลว์ซีซั่น
  • เพิ่มอัตราการเข้าพัก: การตั้งราคาที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อการเพิ่มอัตราการเข้าพัก ราคาที่แพงเกินไปจะไล่แขกหนี ในขณะที่ราคาที่ถูกเกินไปก็ทำให้เสียรายได้ การหาจุดที่พอดีคือกุญแจสำคัญในการรักษาอัตราการเข้าพักให้สูงตลอดทั้งปี
  • ปรับตัวได้ตามสภาพตลาด: ตลาดโรงแรมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น งานอีเวนต์ในพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่สภาพอากาศ การบริหารราคาที่ดีหมายถึงการปรับราคาได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
  • สร้างการรับรู้คุณค่าให้กับแขก: ราคาห้องพักไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นสัญญาณบอกคุณค่าให้กับแขก การบริหารราคาที่ชาญฉลาดช่วยให้คุณวางตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมได้อย่างเหมาะสม ทำให้แขกรู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่าตามเงินที่จ่ายไป
  • ได้ข้อมูลดีๆ สำหรับตัดสินใจเชิงกลยุทธ์: ด้วยความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์จัดการโรงแรม การบริหารราคาไม่ใช่การเดาสุ่มอีกต่อไป การใช้การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลรองรับ สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงแรม
  • แซงหน้าคู่แข่ง: ในตลาดที่แขกมีตัวเลือกมากมาย การรักษาความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญ การบริหารราคาที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ราคาของคุณสอดคล้องหรือล้ำหน้ากว่าคู่แข่งเสมอ ทำให้คุณโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

โดยสรุป การบริหารราคาห้องพักโรงแรมคือการเข้าใจตลาด รู้จักแขกของคุณ และใช้ความรู้นี้เพื่อเพิ่มกำไรโดยที่แขกยังพอใจ

กลยุทธ์การบริหารราคาห้องพักโรงแรม

อย่างที่เราเห็นกันมา มีหลายปัจจัยที่ส่งผลและช่วยให้คุณกำหนดราคาห้องพัก

  • ปัจจัยภายใน เช่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างภาษี ค่าจ้างพนักงาน วัสดุสิ้นเปลือง ค่าทำความสะอาด และค่าปรับปรุงโรงแรม ทำให้คุณต้องกำหนดราคาห้องพักขั้นต่ำเพื่อให้ธุรกิจไม่ขาดทุนในแต่ละเดือน ไตรมาส หรือปี
  • ปัจจัยภายนอก เช่น ฤดูกาล คู่แข่ง และกิจกรรมต่างๆ ทำให้คุณต้องปรับราคาอยู่เสมอ

แต่บางครั้ง แนวโน้มของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมอาจส่งผลมากกว่าปัจจัยที่กล่าวมา ลองสังเกตดู เมื่อเราค้นหาในกูเกิลว่า “ท่องเที่ยวแพงขึ้นไหม” จะเจอผลลัพธ์มากถึง 500 ล้านรายการ

ไม่น่าแปลกใจที่ 10 อันดับแรกจะพูดถึงราคาตั๋วเครื่องบินเป็นหลัก สื่อทั่วโลกพากันพาดหัวข่าวเตือนนักท่องเที่ยวว่าค่าเดินทางจะแพงขึ้น สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นและกระทบต่อกำไรของสายการบิน

สายการบินเองก็เจอปัญหาหนักในการรับมือกับต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น พวกเขามีทางเลือกไม่มาก นอกจากผลักภาระให้ผู้โดยสารด้วยการขึ้นราคาตั๋ว

ทั้งนี้ ราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวและการเลือกที่พัก ผู้ประกอบการโรงแรมจึงควรติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ราคาและการตลาดให้เหมาะสม

อะไรทำให้ราคาห้องพักโรงแรมเปลี่ยนแปลง?

แม้ว่าการบริหารราคาห้องพักจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาน้ำมันดิบ แต่ราคาตั๋วเครื่องบินก็อาจส่งผลต่อจำนวนคนที่ต้องการเข้าพัก (อุปสงค์) และจำนวนห้องพักที่มี (อุปทาน) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาห้องพักขึ้นลง

ง่ายๆ คือ อุปทานคือจำนวนห้องพักที่โรงแรมมีให้บริการ ส่วนอุปสงค์คือจำนวนคนที่ต้องการเข้าพักและยินดีจ่าย

การเปลี่ยนแปลงของราคาห้องพักไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องอุปสงค์-อุปทานเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการคิดเรื่องราคา นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าการปล่อยให้อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวกำหนดราคาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดสรรทรัพยากร ในที่นี้คือห้องพักของคุณ

นอกจากทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงออนไลน์แล้ว ราคาห้องพักของคุณยังขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักนี้:

1. ช่วงเวลาของปี

ต้องดูว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นหรือโลว์ซีซั่น ถ้าเป็นช่วงเงียบ คุณอาจลดราคาลงเพื่อดึงดูดแขกให้เข้าพักมากขึ้น แต่ถ้าเป็นช่วงพีคและโรงแรมในละแวกเดียวกันเริ่มเต็ม คุณก็สามารถขึ้นราคาได้ อย่าลืมจับตาดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าด้วยในการวางแผนราคา

2. ประเภทห้องพักที่มีให้บริการ

ห้องแต่ละแบบควรมีราคาต่างกัน และตรงนี้แหละที่คุณจะสร้างสรรค์แพ็คเกจและโปรโมชั่นสุดพิเศษได้เต็มที่

ระบบจัดการช่องทางการขายที่ดี (channel manager) จะช่วยให้คุณขายห้องเดียวกันในหลายรูปแบบผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้ เช่น “ห้องสวีทพร้อมอาหารเช้าและทัวร์เดินเที่ยวในย่านเก่า” เทียบกับ “ห้องสวีทเฉพาะห้องพัก” โอกาสในการสร้างสรรค์แพ็คเกจมีเยอะมาก ไม่มีที่สิ้นสุดเลย

3. กิจกรรมสำคัญในบริเวณใกล้เคียง

การรับรู้ถึงกิจกรรมและเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นรอบๆ โรงแรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดราคาห้องพักอย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากโรงแรมของคุณตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและทราบว่าจะมีการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติในเดือนหน้า ควรเริ่มวิเคราะห์ราคาของคู่แข่งตั้งแต่เนิ่นๆ

การติดตามแนวโน้มการบริหารราคาห้องพักและการวางแผนอย่างมีกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ การดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพอาจนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง แต่หากละเลยอาจทำให้สูญเสียรายได้ที่มีค่าไป

เคล็ดลับการบริหารราคาห้องพักโรงแรม

โรงแรมแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีจุดขายที่แตกต่างกัน และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น กลยุทธ์การจัดการราคาที่เหมาะสมกับโรงแรมหนึ่ง อาจไม่เหมาะกับโรงแรมของคุณ แต่เราขอแนะนำวิธีการดีๆ ที่จะช่วยให้คุณตั้งราคาห้องพักได้อย่างชาญฉลาด

วงการโรงแรมใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการวัดประสิทธิภาพการบริหารราคาห้องพัก?

ไม่มีตัวชี้วัดเดียวที่สามารถบอกได้ว่าการบริหารราคาของคุณมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่มีหลายตัวชี้วัดที่ช่วยบอกความสำเร็จของกลยุทธ์ในแง่มุมต่างๆ ได้:

  • ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR): ตัวชี้วัดนี้บอกรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่มีคนเข้าพักในช่วงเวลาหนึ่ง คำนวณโดยเอารายได้รวมจากห้องพักหารด้วยจำนวนห้องที่ขายได้ ADR เป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าโรงแรมตั้งราคาห้องได้ดีแค่ไหน
  • อัตราการเข้าพัก (Occupancy rate): คือเปอร์เซ็นต์ของห้องที่มีคนเข้าพักเทียบกับจำนวนห้องทั้งหมดที่เปิดให้บริการในช่วงเวลาหนึ่ง คำนวณโดยเอาจำนวนห้องที่มีคนเข้าพักหารด้วยจำนวนห้องทั้งหมดที่เปิดให้บริการ แม้จะไม่ได้วัดการบริหารราคาโดยตรง แต่อัตราการเข้าพักก็บ่งบอกได้ว่ากลยุทธ์การตั้งราคาดึงดูดลูกค้าได้ดีแค่ไหน
  • รายได้ต่อห้องว่าง (RevPAR): RevPAR รวมเอาทั้ง ADR และอัตราการเข้าพักมาคำนวณ เพื่อให้เห็นภาพรวมของผลประกอบการโรงแรม คำนวณโดยเอา ADR คูณกับอัตราการเข้าพัก หรือเอารายได้รวมจากห้องพักหารด้วยจำนวนห้องทั้งหมดที่เปิดให้บริการ RevPAR ช่วยให้ผู้บริหารโรงแรมเข้าใจว่าโรงแรมสามารถขายห้องได้ดีแค่ไหน และทำรายได้จากแต่ละห้องได้มากน้อยเพียงใด
  • ระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ย (LOS): ตัวชี้วัดนี้บอกจำนวนคืนเฉลี่ยที่แขกพักในโรงแรม ถ้า LOS สูง อาจบ่งชี้ว่ากลยุทธ์การจัดการราคามีประสิทธิภาพ เช่น การเสนอส่วนลดสำหรับการพักระยะยาว
  • ดัชนีเปรียบเทียบกับคู่แข่ง: ได้แก่ ดัชนีการเจาะตลาด (MPI), ดัชนีราคาเฉลี่ย (ARI), และดัชนีการสร้างรายได้ (RGI) ตัวชี้วัดเหล่านี้ใช้เปรียบเทียบผลงานของโรงแรมกับคู่แข่งหรือตลาดโดยรวม MPI เปรียบเทียบอัตราการเข้าพัก, ARI เปรียบเทียบ ADR, และ RGI เปรียบเทียบ RevPAR
  • การวิเคราะห์ช่องทางการขาย: การเข้าใจว่าช่องทางการขายไหน (เช่น OTA, การจองโดยตรง, บริษัทนำเที่ยว) สร้างรายได้มากที่สุดและมีต้นทุนเท่าไหร่ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการราคา การวิเคราะห์นี้ช่วยให้คุณปรับสัดส่วนช่องทางการขายเพื่อเพิ่มกำไรได้

เงื่อนไขราคาห้องพัก (Rate Fences) ในธุรกิจโรงแรมคืออะไร?

เงื่อนไขราคาห้องพัก หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า “Rate Fences” คือกฎเกณฑ์ที่ใช้กับราคาห้องพัก หมายความว่า เพื่อให้ได้ราคาห้องพักในระดับหนึ่ง แขกจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเฉพาะบางอย่าง

ยกตัวอย่างเช่น เงื่อนไขการเข้าพักขั้นต่ำ ถ้าแขกต้องการราคาห้องพักที่ถูกลง พวกเขาอาจจะต้องพักอย่างน้อยสองคืน จากตัวอย่างนี้ ราคาที่ถูกลงจะถูก ‘กั้น’ (fenced) ไว้สำหรับแขกที่พักเพียงคืนเดียว

สิ่งสำคัญคือ แขกต้องรู้สึกว่าพวกเขากำลังซื้อบริการที่แตกต่างกันเมื่อจ่ายในราคาที่ต่างกัน เงื่อนไขราคาห้องพักช่วยสร้างความแตกต่างนี้ได้ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันไม่ให้ลูกค้าที่ยินดีจ่ายในราคาสูงกว่า มาใช้ส่วนลดที่ไม่ได้ตั้งใจให้

เงื่อนไขราคาห้องพักที่พบบ่อยมีดังนี้:

  • เงื่อนไขทางกายภาพ – รวมถึงลักษณะต่างๆ เช่น ตำแหน่งของห้อง วิว เฟอร์นิเจอร์ สิ่งอำนวยความสะดวก ขนาด ฯลฯ ลูกค้าบางกลุ่มยินดีจ่ายแพงขึ้นเพื่อห้องที่มีวิวสวย ในขณะที่บางกลุ่มยอมสละวิวสวยเพื่อราคาที่ถูกลง
  • เงื่อนไขการทำธุรกรรม – เกี่ยวข้องกับเวลา สถานที่ จำนวนการซื้อ และความยืดหยุ่นในการใช้งาน ตัวอย่างเช่น อัตราที่ไม่สามารถขอคืนเงินได้ ซึ่งอาจไม่ดึงดูดลูกค้าที่เดินทางเพื่อธุรกิจ แต่นักท่องเที่ยวที่สนใจเรื่องราคาอาจชอบตัวเลือกนี้หากได้ราคาที่ถูกลง
  • เงื่อนไขตามลักษณะของลูกค้า – พิจารณาจากอายุ การเป็นสมาชิก หรือความถี่ในการใช้บริการ เช่น ส่วนลดสำหรับผู้สูงอายุ หรือแขกประจำ
  • เงื่อนไขตามช่องทางการจอง – กำหนดราคาต่างกันตามว่าลูกค้าจองผ่านช่องทางไหน หรือมาจากที่ไหน เช่น ราคาพิเศษสำหรับการจองผ่านเว็บไซต์โรงแรมโดยตรง

การใช้เงื่อนไขราคาห้องพักอย่างเหมาะสมสามารถทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้นและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ตัวอย่างการใช้เงื่อนไขราคาห้องพัก โรงแรมอาจทำแพ็คเกจพิเศษที่รวมอาหารเช้าและรถรับส่งสนามบิน สำหรับการเข้าพักอย่างน้อย 3 คืน

Image representing hotel rate management

ซอฟต์แวร์ช่วยปรับปรุงการบริหารราคาห้องพักได้อย่างไร

ตั้งราคาพื้นฐาน

ซอฟต์แวร์ช่วยกำหนดราคาเริ่มต้นโดยวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้าน เช่น ประวัติการขาย ประเภทห้องพัก และราคาตลาดทั่วไป ราคาพื้นฐานนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ช่วยให้คุณปรับราคาในภายหลังได้อย่างมั่นใจ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และอ้างอิงจากข้อมูลจริง วิธีนี้ช่วยให้คุณปรับราคาได้อย่างมีกลยุทธ์ แต่ยังคงความสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้

สร้างเงื่อนไขการจองที่ยืดหยุ่น

ซอฟต์แวร์ช่วยให้คุณตั้งเงื่อนไขการจองได้ง่ายขึ้น เช่น กำหนดจำนวนคืนขั้นต่ำ จำกัดการจองล่วงหน้า หรือปิดรับการเข้าพักในวันที่กำหนด (closed-to-arrival หรือ CTA) เงื่อนไขเหล่านี้ช่วยจัดการห้องพักให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงเทศกาล

ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดให้พักอย่างน้อย 3 คืนในช่วงสงกรานต์ ช่วยให้คุณทำรายได้สูงสุดจากการจองแต่ละครั้ง ส่วนการจำกัดการจองล่วงหน้าไม่เกิน 6 เดือน อาจช่วยกระตุ้นให้คนจองเร็วขึ้น ทำให้คุณบริหารห้องพักได้ง่ายขึ้น

ใช้ระบบปรับราคาอัตโนมัติ

ซอฟต์แวร์มีระบบที่ปรับราคาห้องพักแบบอัตโนมัติตามสถานการณ์จริง โดยดูจากความต้องการของตลาด คู่แข่ง และปัจจัยภายนอกอื่นๆ วิธีนี้ช่วยให้ราคาห้องพักของคุณเหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา ทำให้คุณทำกำไรได้มากขึ้นในช่วงที่คนต้องการห้องพักเยอะ และรักษาอัตราการเข้าพักในช่วงที่คนน้อย

วิเคราะห์เทรนด์ตลาดและข้อมูล

ซอฟต์แวร์มีเครื่องมือวิเคราะห์เทรนด์ตลาด รูปแบบการจอง และพฤติกรรมของแขก การวิเคราะห์นี้ช่วยให้คุณรู้ว่าควรปรับราคาขึ้นหรือลงเมื่อไหร่ การใช้ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องราคาได้อย่างชาญฉลาด ตรงกับความต้องการของตลาดและทำรายได้ได้มากที่สุด

รวมช่องทางขายอยู่ในที่เดียว

ซอฟต์แวร์เชื่อมต่อกับช่องทางขายต่างๆ ทำให้ราคาห้องพักเหมือนกันทุกแพลตฟอร์ม โดยโปรแกรมซอฟต์แวร์จะอัพเดทราคาให้อัตโนมัติ ทั้งใน OTA (เช่น Agoda, Booking.com), GDS และช่องทางจองโดยตรงของคุณ การแสดงราคาที่สอดคล้องกันช่วยไม่ให้เกิดความสับสน ทำให้แขกมีประสบการณ์การจองที่ดี และลดความเสี่ยงที่จะจองเกินหรือราคาไม่ตรงกัน

]]>
การบริหารโรงแรม: คืออะไร ประเภท และการดำเนินงาน https://www.siteminder.com/th/r/hotel-management-strategies/ Thu, 31 Oct 2024 06:14:30 +0000 https://www.siteminder.com/?p=180046 การบริหารโรงแรมคืออะไร?

การบริหารโรงแรมคือการดูแลและจัดการทุกภาคส่วนของธุรกิจ เพื่อให้โรงแรมเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโรงแรม เช่น การจัดการการขายห้องพัก การเงินและบัญชี การบริการลูกค้า การบริหารพนักงาน การตลาด การจัดการอาหารและเครื่องดื่ม และการดูแลระบบภายในโรงแรม

การทำให้ทุกอย่างลงตัวอาจต้องใช้เวลา เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องใส่ใจ แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น บางทักษะคุณอาจมีอยู่แล้ว บางอย่างเรียนรู้ไปพร้อมกับการทำงาน หรืออาจจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยก็ได้ แม้จะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก ก็สามารถบริหารให้ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

การบริหารโรงแรมให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความท้าทายต่าง ๆ ผู้บริหารโรงแรมต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะมีทั้งกลยุทธ์ใหม่ ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งและหน้าที่ใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อการบริหารโรงแรม ดังนั้น การติดตามข่าวสารและแนวโน้มในอุตสาหกรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ

บทความนี้จะช่วยชี้ให้เห็นประเด็นหลักๆ ที่ควรคำนึงถึงในการบริหารโรงแรม

สารบัญ

ความสำคัญของการบริหารจัดการโรงแรม

จุดประสงค์หลักของการบริหารโรงแรมคือการทำให้มีลูกค้าให้เข้าพักอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี พร้อมทั้งนำเสนอบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย

ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ดี คุณสามารถโชว์จุดเด่นที่จะดึงดูดแขกให้มาพัก ส่วนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ทันสมัยจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มจะใช้บริการซ้ำ

การบริหารโรงแรมที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด แต่ยังทำกำไรและเติบโตได้ในระยะยาว ลองนึกภาพโรงแรมเป็นเหมือนระบบนิเวศ ยิ่งคุณดูแลได้ดี มันก็จะยิ่งแข็งแรง

เมื่อโรงแรมของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น คุณก็สามารถยกระดับบริการและขึ้นราคาห้องพัก จ่ายเงินเดือนพนักงานได้สูงขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ทำให้แขกอยากกลับมาพักซ้ำ

ความแตกต่างระหว่างการบริหารโรงแรมและการบริหารงานบริการ

การบริหารโรงแรมและการบริหารงานบริการอาจหมายถึงสิ่งเดียวกัน นั่นคือการดูแลโรงแรม แต่การบริหารงานบริการเป็นคำที่กว้างกว่า ครอบคลุมธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการทั้งหมด ไม่ใช่แค่โรงแรม แต่รวมถึงร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ บริษัททัวร์ และอื่นๆ

ส่วนต่างๆ ของการบริหารธุรกิจบริการ

ธุรกิจบริการเป็นคำรวมของหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงการเดินทางและการท่องเที่ยว ทุกตำแหน่งในภาคบริการต้องให้บริการลูกค้าเป็นหลัก

การจัดการการดำเนินงานในอุตสาหกรรมบริการเป็นเรื่องกว้าง แม้ว่าการบริการลูกค้าจะสำคัญที่สุด แต่แต่ละส่วนก็ต้องจัดการแตกต่างกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลตอบแทนสูงสุด

1. อาหารและเครื่องดื่ม

ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครองส่วนแบ่งใหญ่ที่สุดในวงการบริการ และเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ มากมาย

ลองนึกถึงตอนที่เราออกไปกินข้าวนอกบ้าน เรามีตัวเลือกมากมาย ตั้งแต่ร้านฟาสต์ฟู้ดที่เน้นขายของกินเล่นรวดเร็ว ไปจนถึงร้านอาหารทั่วไปที่เราสามารถสั่งกลับบ้านหรือนั่งทานในร้านได้ แม้แต่ตอนไปเล่นโบว์ลิ่ง ดูหนัง หรือพักโรงแรม เราก็ยังเจอบริการอาหารและเครื่องดื่มเสมอ

ปัจจุบัน เวลาจองโรงแรม เราคาดหวังว่าต้องมีร้านอาหารให้บริการ มันกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว

การที่โรงแรมมีร้านอาหารดีๆ ไม่เพียงแต่ทำให้แขกที่มาพักรู้สึกประทับใจ แต่ยังดึงดูดคนภายนอกให้แวะมาทานอาหารได้ด้วย โดยเฉพาะถ้าร้านอาหารนั้นมีชื่อเสียงและการบริหารร้านอาหารแยกจากตัวโรงแรม

2. การท่องเที่ยวและการเดินทาง

ลองนึกถึงตอนที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เราต้องใช้บริการหลายอย่าง ตั้งแต่ขึ้นรถทัวร์ นั่งแท็กซี่ บินเครื่องบิน หรือนั่งรถไฟ พวกนี้เรียกว่าธุรกิจท่องเที่ยวและเดินทาง ซึ่งช่วยให้เราไปถึงที่หมายได้

ถ้าคุณทำโรงแรม ลองคิดถึงการจัดทัวร์พาแขกไปเที่ยวแถวๆ โรงแรม เช่น พาไปตลาดน้ำ หรือวัดดังๆ แขกจะได้สะดวกไม่ต้องหาเองและอยากมาพักที่โรงแรมคุณมากขึ้น

3. ที่พักและโรงแรม

ธุรกิจที่พักมีหลากหลายแบบ ตั้งแต่โฮสเทลสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้ ไปจนถึงโรงแรมหรูสำหรับนักธุรกิจ หรือรีสอร์ทติดทะเลสำหรับครอบครัว แต่ละที่ก็มีกลุ่มลูกค้าต่างกัน

เช่น ถ้าโรงแรมคุณอยู่ในเมืองใหญ่ อาจเน้นบริการสำหรับนักธุรกิจ มีห้องประชุม อินเทอร์เน็ตเร็ว แต่ถ้าอยู่ติดทะเล อาจเน้นบริการสำหรับครอบครัว มีสระว่ายน้ำ กิจกรรมสำหรับเด็ก

4. ความบันเทิงและนันทนาการ

ธุรกิจนี้เกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำให้ผู้คนได้พักผ่อน ผ่อนคลาย หรือสนุกสนาน เช่น สถานที่ท่องเที่ยว สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ สวนสนุก หรือการแสดงคอนเสิร์ต ละครเวที ไม่ก็กีฬา การแข่งขันฟุตบอล มวย ธุรกิจเหล่านี้มักจะเติบโตดีเมื่อคนมีเงินเหลือใช้

สำหรับโรงแรม อาจเพิ่มบริการเพื่อความบันเทิงภายใน เช่น ห้องเกม ฟิตเนส สปา

วิธีนี้จะช่วยให้แขกอยู่ในโรงแรมนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ซื้อเครื่องดื่มหรือใช้บริการสปา

ประเภทของการบริหารโรงแรม

เมื่อมองลึกลงไปในการบริหารจัดการที่พัก เราสามารถแบ่งออกเป็นหลายส่วน ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของงานและความท้าทายในการบริหารโรงแรม:

  • การจัดการทั่วไป: ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมมีหน้าที่ดูแลภาพรวมทั้งหมดของการจัดการในส่วนต่างๆ
  • การจัดการรายได้: ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงแรม อาจเป็นหน้าที่ของผู้จัดการทั่วไปหรือเจ้าหน้าที่การเงินโดยเฉพาะ
  • การจัดการฝ่ายขาย: การขายเป็นหัวใจของธุรกิจ บางโรงแรมอาจมีทีมขายโดยเฉพาะเพื่อหาลูกค้าเพิ่ม
  • การจัดการการตลาด: คู่กับฝ่ายขาย การตลาดช่วยให้โรงแรมมีกระแสลูกค้าที่สนใจอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดการการจอง: เมื่อมีการจองห้องพัก งานบริหารจัดการการจองก็เริ่มขึ้น
  • การจัดการแผนกต้อนรับ: เป็นด่านแรกที่พบลูกค้า สำคัญมากในการสร้างชื่อเสียงให้โรงแรม
  • การจัดการทรัพย์สิน: ตั้งแต่งานสวนไปจนถึงการซ่อมแซม การดูแลรักษาทรัพย์สินเป็นงานสำคัญของทุกโรงแรม
  • การจัดการแม่บ้าน: การจัดตารางงานพนักงานทำความสะอาด และกำหนดเวลา-สถานที่ทำความสะอาด เป็นงานที่ซับซ้อนและใช้เวลามากกว่าที่คิด
  • การจัดการอาหารและเครื่องดื่ม: โรงแรมที่มีร้านอาหารและบาร์ เหมือนต้องบริหารธุรกิจซ้อนธุรกิจ
  • การจัดการทรัพยากรบุคคล: สำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมาก ฝ่าย HR มีความสำคัญมาก

การบริหารการดำเนินงานโรงแรมคืออะไร?

การบริหารการดำเนินงานโรงแรมเน้นที่งานประจำวันในการบริหารโรงแรม

งานประจำวันเหล่านี้มีหลากหลายมาก ในแต่ละวันคุณอาจต้องดูแลหลายด้าน ส่วนสำคัญของการบริหารโรงแรมคือการจัดการห้องพักที่มีและพยายามให้มีอัตราการเข้าพักตามเป้า นอกจากนี้ คุณยังต้องดูแลให้ทุกอย่างพร้อมสำหรับแขก จัดการพนักงาน และกำหนดตารางทำความสะอาด การสร้างขั้นตอนการทำงานมาตรฐาน (SOP) ที่ละเอียดจะช่วยให้พนักงานทำงานได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ แม้ในยามที่คุณต้องไปดูแลเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า

ทักษะที่จำเป็นสำหรับการบริหารโรงแรม

 

การบริหารโรงแรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คนที่มีทักษะที่เหมาะสมจะรู้สึกว่างานนี้ไม่ยากเกินไป ต่างจากคนที่ไม่มีประสบการณ์เลย

ทักษะสำคัญที่สุดคือการสื่อสาร คุณต้องติดต่อกับคนหลากหลาย ทั้งพนักงาน แขก และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ คุณต้องทำให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจบทบาทของตัวเอง รู้เป้าหมายร่วมกัน และมีแรงจูงใจในการทำงาน

ทักษะอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่:

  • การแก้ปัญหา
  • การบริการลูกค้า
  • การจัดการการเงิน
  • ภาวะผู้นำ
  • การบริหารเวลา
  • การคิดวิเคราะห์
  • ความเห็นอกเห็นใจ
  • การมอบหมายงาน

หลักการบริหารจัดการห้องพักโรงแรมเบื้องต้น

การบริหารโรงแรมที่มีประสิทธิภาพนั้นมีเป้าหมายหลักคือการทำกำไรให้ได้มากที่สุด ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการห้องพัก การขายห้องพักอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด

ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการวางกลยุทธ์การบริหารโรงแรมในส่วนห้องพักและรายได้:

1. การกำหนดราคา

การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรขึ้นราคาในช่วงไฮซีซั่น และเมื่อไหร่ควรลดราคาเพื่อให้มีคนจองในช่วงโลว์ซีซั่น จะช่วยให้โรงแรมทำกำไรได้มากที่สุด

2. ช่องทางการขาย

โรงแรมส่วนใหญ่มักโฆษณาห้องพักผ่านหลายช่องทาง เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุดและกระตุ้นยอดขาย เช่น เว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์ต่างๆ (OTA)

3. การแบ่งกลุ่มตลาด

การเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความชอบ ความต้องการ และกำลังซื้อของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้คุณกำหนดราคาและเลือกช่องทางขายได้อย่างเหมาะสม

การบริหารรายได้เป็นอีกส่วนสำคัญในการดำเนินงานของโรงแรม โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น

คุณจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การบริหารรายได้และการกำหนดราคาที่ชาญฉลาด หากต้องการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (ADR)

การวิเคราะห์รายได้รวมต่อห้องพักที่มี (TrevPAR) อย่างละเอียด จะช่วยให้คุณไม่เพียงแค่รู้ว่าโรงแรมของคุณทำเงินได้อย่างไร แต่ยังช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าของคุณมากขึ้นด้วย

การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณวางแผนธุรกิจได้ดีขึ้น โดยดูจากลักษณะของลูกค้า: เช่น อายุ เพศ อาชีพ รายได้ พฤติกรรมการจอง เช่น จองล่วงหน้านานแค่ไหน ชอบห้องแบบไหน ที่มาของลูกค้า มาจากจังหวัดไหน หรือประเทศอะไร

เมื่อเข้าใจลูกค้าดีขึ้น คุณสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น จัดโปรโมชั่นที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา เตรียมบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

วิธีนี้จะช่วยให้คุณบริหารโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้ที่ดีขึ้นในระยะยาว

กลยุทธ์การบริหารโรงแรมเพื่อเพิ่มรายได้

นอกจากการจัดการห้องพัก ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่คุณสามารถใช้เพื่อเพิ่มรายได้ให้โรงแรม

ต่อไปนี้คือแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนกลยุทธ์บริหารรายได้ของโรงแรมคุณ:

1. แพ็กเกจ โปรโมชั่น และบริการเสริม

แพ็กเกจรวมห้องพักกับบริการเสริม เช่น อาหารเช้าฟรี ที่จอดรถฟรี ตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น ตั๋วเครื่องบิน สิ่งสำคัญคือต้องสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

โปรโมชั่นราคาพิเศษที่อาจเปลี่ยนแปลงตาม

– ฤดูกาลหรือช่วงเทศกาล
– สำหรับแขกวีไอพี
– เพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงมีงานอีเวนต์
– อาจทำโปรโมชั่นเฉพาะสำหรับการจองผ่านมือถือ

บริการเสริมต่างๆ ซึ่งสิ่งที่แขกอาจต้องการเพิ่มระหว่างกระบวนการจอง เช่นแชมเปญและช็อกโกแลตในห้องพัก บริการรถรับ-ส่งสนามบิน คลาสออกกำลังกาย

2. งานอีเวนต์และทัวร์ท่องเที่ยว

ขายตั๋วงานเทศกาลต่างๆ ทัวร์สถานที่ท่องเที่ยว หรือบริการเช่ารถ นอกจากเพิ่มรายได้ต่อลูกค้าแล้ว ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แขกด้วย

3. ขายสินค้าของโรงแรม

หากคุณเปิดโอกาสให้แขกซื้อผลิตภัณฑ์ขนาดจริงของสิ่งอำนวยความสะดวกที่คุณจัดเตรียมไว้ให้ฟรี เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่ก้อน หรือแม้แต่เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัวสำหรับชายหาด งานศิลปะ ผ้าปูที่นอน และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้สามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับโรงแรมของคุณได้

4. การแนะนำบอกต่อและการกลับมาใช้บริการซ้ำ

เมื่อแขกให้คำติชมเชิงบวกหลังจากเข้าพัก อาจขอให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์กับครอบครัวและเพื่อน บนเว็บไซต์รีวิว และโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดการจองเพิ่มและสร้างการรับรู้แบรนด์

นอกจากนี้ คุณอาจมอบโค้ดส่วนลดสำหรับการจองครั้งต่อไปให้กับแขก วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ แต่ยังช่วยให้โรงแรมของคุณรักษาอัตราการเข้าพักให้คงที่อีกด้วย

5. รองรับนักเดินทางที่ต้องการความยืดหยุ่น

นักเดินทางบางคนไม่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอน หรือพยายามรักษาความยืดหยุ่นในตารางเวลา คุณสามารถใช้โอกาสนี้โดยเสนอส่วนลดสำหรับการเข้าพักคืนเพิ่ม เพื่อกระตุ้นให้แขกพักนานขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้เสริมของโรงแรม

ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการบริหารจัดการโรงแรม

ทุกคนย่อมทำผิดพลาดได้ เพราะเราเป็นมนุษย์ แต่บางความผิดพลาดก็ส่งผลร้ายแรงกว่าความผิดพลาดอื่นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ ผลกระทบอาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคุณเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อลูกค้าของคุณด้วย

ในธุรกิจโรงแรม เกือบทุกอย่างเกี่ยวข้องกับลูกค้า และมักเป็นลูกค้านี่แหละที่จะสังเกตเห็นข้อบกพร่องได้เร็วที่สุด นอกจากนี้ บ่อยครั้งที่เราอาจไม่ได้ปรับปรุงการบริหารจัดการโรงแรมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ไม่สามารถดึงศักยภาพของธุรกิจออกมาได้อย่างเต็มที่

เรารวบรวม 10 ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงมาให้คุณ ดังนี้

1. ไม่แสดงข้อมูลการติดต่อพื้นฐาน

เว็บไซต์สวยหรู ดีไซน์ล้ำ มีฟีเจอร์น่าทึ่ง แต่ไม่มีประโยชน์สำหรับลูกค้าเลยถ้าหาข้อมูลติดต่อไม่เจอ เช่น ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์บนหน้าแรก

นักท่องเที่ยวมักมีคำถามมากมาย บางเรื่องก็คุยทางโทรศัพท์ได้ง่ายกว่าเพื่อความชัดเจนและรวดเร็ว บางคนก็ชอบจองห้องพักทางโทรศัพท์ ดังนั้นการแสดงข้อมูลติดต่อให้เห็นชัดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

2. สิ่งที่ทำให้คนเบือนหน้าหนีจากเว็บไซต์ – วิดีโอและเพลงที่เล่นอัตโนมัติ

คนส่วนใหญ่จองที่พักในเวลาทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการคือคอมพิวเตอร์ที่เปิดโฆษณาหรือเพลงดังลั่นออฟฟิศ สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือปิดเว็บไซต์ของคุณทันที และคงไม่กลับมาอีก

3. ใช้โซเชียลมีเดียไม่เป็น

การใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการตลาดนั้นดี แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี คุณควรใช้แพลตฟอร์มพวกนี้เพื่อดึงคนเข้าเว็บไซต์และหน้าจองห้องพักของคุณ ไม่ใช่พาคนออกไปจากเว็บ ที่เห็นบ่อยๆ คือผู้ประกอบการโรงแรมมักทำพลาดด้วยการลิงก์โซเชียลมีเดียไว้ที่หน้าแรกของเว็บ พอคนเข้ามาปุ๊บก็คลิกออกไปเลย

ลองคิดดูสิว่า ถ้าคนคลิกไปดู YouTube แล้ว จะมีสักกี่คนที่จะกลับมาที่เว็บเราอีก

4. รูปภาพคุณภาพต่ำ

การลงทุนกับการออกแบบเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมไม่มีประโยชน์เลยถ้ารูปภาพที่ใช้มีคุณภาพต่ำ นักท่องเที่ยวอยากเห็นสิ่งที่พวกเขาจะจ่ายเงินซื้อ ถ้าภาพมัว ไม่คมชัด หรือจัดองค์ประกอบไม่ดี พวกเขาก็จะไม่รีบจองแน่นอน

การจ้างช่างภาพมืออาชีพนั้นคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ และคุณควรอัปเดตภาพทุกๆ สองปี (หรือทุกครั้งที่ปรับปรุงเว็บไซต์)

5. ต้องดาวน์โหลดไฟล์เพื่อดูข้อมูลพื้นฐาน

ไม่มีใครชอบดาวน์โหลด PDF เข้าโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ มันทำให้ประสบการณ์การใช้งานแย่ลง ถ้านักท่องเที่ยวอยากดูเมนูของร้านอาหารในโรงแรม พวกเขาควรดูได้บนเว็บไซต์เลย การบังคับให้ดาวน์โหลดเอกสารอาจทำให้ผู้ใช้ไม่อยากจองห้องพักกับคุณ

6. เชื่อมต่อกับช่องทางจัดจำหน่ายที่ไม่เหมาะสม

เมื่อคุณเชื่อมต่อกับ OTA ไม่ว่าจะด้วยตัวเองหรือผ่าน Channel Manager คุณก็ยังต้องทำการบ้านอยู่ดี อย่าสนใจแค่ช่องทางใหญ่ๆ 4-5 ช่องทาง แต่ต้องหาพาร์ทเนอร์ที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและภาพลักษณ์ของโรงแรมคุณด้วย

7. มองข้ามศักยภาพของพื้นที่โดยรอบ

สำหรับแขก การจองโรงแรมไม่ใช่แค่การจองห้องพัก แต่พวกเขากำลังจ่ายเงินเพื่อประสบการณ์ที่จะได้รับจากสถานที่นั้นๆ ด้วย การไม่ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ถือเป็นความผิดพลาด ควรจับมือกับธุรกิจในท้องถิ่นและจัดโปรโมชั่นหรือแพ็คเกจที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่

8. เพิกเฉยต่อคำติชมทั้งด้านบวกและลบ

รีวิวเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในการบริหารโรงแรม ความพึงพอใจของลูกค้าและชื่อเสียงของแบรนด์มีความสำคัญอย่างยิ่งหากคุณต้องการให้มีการจองเข้ามาอย่างต่อเนื่องและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

สิ่งที่แย่ที่สุดคือการไม่ตอบกลับเมื่อมีคนมารีวิวหรือแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์อย่าง TripAdvisor หรือโซเชียลมีเดียของคุณ คุณควรใส่ใจตอบกลับทั้งรีวิวในแง่บวกและแง่ลบอย่างจริงจัง

9. ไม่คำนึงถึงฤดูกาล

ราคาห้องพักที่ลูกค้ายอมจ่ายนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและปริมาณห้องที่มีในแต่ละช่วง ฤดูกาลมีผลอย่างมาก คุณจำเป็นต้องปรับราคาหลายครั้งตลอดปีเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการจองและสภาพตลาด การปรับราคาตามฤดูกาลนี้เป็นส่วนสำคัญในแผนการขายและการตลาด โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการวางแผนช่วงเวลาในการออกแพ็กเกจและโปรโมชั่นต่างๆ

10. มาตรฐานการทำความสะอาดที่ไม่ดี

หนึ่งในปัญหาที่ลูกค้าไม่พอใจที่พบบ่อยที่สุดจากแขกคือเรื่องห้องพักสกปรกหรือโรงแรมไม่สะอาด ไม่ควรมีการลัดขั้นตอนในการทำความสะอาดเด็ดขาด นอกจากจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยแล้ว ยังเสี่ยงต่อการได้รับรีวิวเชิงลบอีกด้วย

แน่นอนว่ายังมีข้อผิดพลาดอื่นๆ อีกมากมายที่โรงแรมของคุณอาจเผชิญ คุณต้องระมัดระวังอยู่เสมอและหาวิธีปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจทำให้คุณสูญเสียรายได้

รวมกลยุทธ์การดำเนินงานเข้ากับการตลาดของโรงแรม

การบริหารโรงแรมที่มีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการประเมินทุกด้านของธุรกิจ และค้นหาจุดที่สามารถปรับปรุงได้ เพื่อประหยัดเวลาและเงิน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่วางแผนมาอย่างดีในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ตลอดปี

ทีมการตลาดและทีมปฏิบัติการต้องทำงานร่วมกันเพื่อระบุกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาด ไม่ว่าจะแบ่งตามประเทศ/จังหวัดลูกค้า ประเภทกลุ่มลูกค้า หรือพฤติกรรมของผู้บริโภค

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ช่วยให้คาดการณ์ความต้องการตามปัจจัยภายนอกได้ ทีมของคุณจะสามารถวางกลยุทธ์เพื่อนำเสนอสินค้าและโปรโมชั่นที่เหมาะสมให้กับแขกเฉพาะกลุ่มในเวลาที่เหมาะสม การนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้อย่างประสบความสำเร็จสามารถสร้างรายได้สูงสุดและความพึงพอใจของแขกได้

ดังนั้น ทั้งสองทีมควรทำงานร่วมกันเพื่อประสานกลยุทธ์ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และสร้างกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การบริหารโรงแรมที่ดีอยู่ที่การระบุแนวโน้มสำคัญจากข้อมูลและนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ

เมื่อมีข้อมูลพร้อมแล้ว กลยุทธ์การตลาดของคุณควรมุ่งเน้นที่การลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มรายได้

แม้ว่า RevPAR จะเป็นตัวชี้วัดที่มีคุณค่าในการประเมินผลการดำเนินงานของโรงแรม แต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยคุณปรับปรุงการดำเนินงานของโรงแรมได้ ตรงนี้เองที่ GOPPAR เข้ามาช่วย โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่มีอยู่ด้วยปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ค่าแรง ค่าสิ่งอำนวยความสะดวก และค่าอาหาร GOPPAR แสดงผลการดำเนินงานขั้นสุดท้ายของโรงแรมและช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจได้กว้างขึ้น ด้วยการให้ภาพที่ลึกซึ้งของสุขภาพทางธุรกิจ คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นในอนาคตได้ สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  • วิเคราะห์ข้อมูล – หากข้อมูลของคุณแสดงว่าบางช่วงตามฤดูกาลต้องการพนักงานมากขึ้น ให้พิจารณาลดจำนวนพนักงานในช่วงโลว์ซีซั่น
  • ศึกษาพฤติกรรมของแขก – หากคุณสังเกตว่าลูกค้าผู้หญิงทำให้รายได้จากการขายปลีกในโรงแรมสูงขึ้น ให้พิจารณาจัดโปรโมชั่นในช่วงเวลาเหล่านี้เพื่อกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้นไปอีก
  • นำกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งไปใช้ – การทำงานด้านปฏิบัติการของอุตสาหกรรมโรงแรมสามารถได้รับการเสริมแรงอย่างมากด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ปรับแต่งมาอย่างดีและสอดคล้องกัน

วิธีปรับปรุงการดำเนินงานโรงแรมและสร้างชื่อเสียงให้ดียิ่งขึ้น

การบริหารโรงแรมไม่ใช่แค่การจัดการทรัพย์สินที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างชื่อเสียงด้วย ซึ่งชื่อเสียงนี้ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการจองเริ่มแรกไปจนถึงการรีวิวหลังการเข้าพัก

ต่อไปนี้คือวิธีปรับปรุงการดำเนินงานโรงแรมที่จะช่วยยกระดับความประทับใจของแขกที่มีต่อโรงแรมของคุณ

1. สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจแขกแต่ละคน

ในโรงแรม แขกมักจะต้องพบปะกับพนักงานหลายคนตลอดการเข้าพัก ทำให้ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับใครเป็นพิเศษ บางครั้งอาจต้องรอนานขึ้นเพื่อรับบริการ และอาจรู้สึกหงุดหงิดเมื่อพนักงานจำความต้องการของตนไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ การสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจแขกแต่ละคนจึงเป็นเรื่องสำคัญ

เทคโนโลยีสามารถช่วยโรงแรมในทุกด้านเมื่อพูดถึงการสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจแขก ไม่ว่าจะเป็นการจัดการการดำเนินงาน การยกระดับประสบการณ์ในห้องพัก โดยเฉพาะการเร่งกระบวนการรูมเซอร์วิสหรือการทำความสะอาด ในส่วนของระบบหลังบ้าน การจัดการการจองและช่องทางการขายก็ทำได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณมีเวลาทุ่มเทให้กับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แขกมากขึ้น

พยายามตอบสนองความต้องการของแขกแต่ละคน แม้ว่าบางครั้งอาจต้องนำระบบเช็คอินผ่านมือถือมาใช้ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการก็ตาม แขกบางคนอาจต้องการการติดต่อน้อยที่สุด เหนื่อยล้าจากการเดินทางและแค่อยากเข้าห้องพักให้เร็วที่สุด ในขณะที่แขกบางคนชอบพูดคุยกับพนักงาน สิ่งสำคัญคือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แขกแต่ละคน

คุณควรศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งส่วนหน้าบ้านและหลังบ้าน หากต้องการยกระดับการบริการลูกค้า นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจโรงแรมโดยรวมอีกด้วย

2. การบริการลูกค้า

ไม่มีอะไรทำให้ลูกค้าหงุดหงิดมากไปกว่าการที่พนักงานต้องขออนุญาตผู้จัดการทุกครั้งก่อนให้คำตอบที่เป็นประโยชน์ นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังทำให้พนักงานดูไม่มีความสามารถอีกด้วย ให้อำนาจพนักงานทุกคนในการแก้ปัญหาให้ลูกค้า เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในทันทีที่เกิดปัญหา และรักษาชื่อเสียงในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที

ตัวอย่างที่ดีคือ โรงแรม The Ritz-Carlton ที่อนุญาตให้แม้แต่พนักงานรายชั่วโมงสามารถใช้เงินได้ถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อแขกหนึ่งคน เพื่อแก้ไขปัญหาหรือความไม่พอใจที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่ต้องขออนุมัติหรือแจ้งผู้บริหาร คุณไม่จำเป็นต้องเน้นที่จำนวนเงิน แต่สิ่งสำคัญคือความรู้และความมั่นใจที่พนักงานมี ซึ่งช่วยให้สามารถแก้ปัญหาให้แขกได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อต้องการยกระดับการบริการลูกค้าในโรงแรม สิ่งสำคัญคือการคัดสรรพนักงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม พนักงานที่เป็นเลิศจะมีใจรักในงานและความใส่ใจจริงที่จะสร้างความสุขให้ผู้อื่น แม้ว่าวงการโรงแรมจะขึ้นชื่อเรื่องการเรียนรู้ทักษะผ่านประสบการณ์การทำงาน แต่กระบวนการคัดเลือกพนักงานก็ต้องทำอย่างรอบคอบและจริงจัง หากคุณจ้างคนที่ไม่มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม พวกเขาจะรับมือกับแขกที่อาจมีปัญหาได้อย่างไรล่ะ?

 

คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับพนักงานโรงแรมมีหลายอย่าง เช่น:

  • ความเห็นอกเห็นใจ
  • ความอบอุ่น
  • ความใส่ใจในรายละเอียด
  • ความกระตือรือร้น
  • บุคลิกที่ดูดี

3. รีวิวออนไลน์

ธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะโรงแรม อาจเสี่ยงต่อความล้มเหลวหากไม่ให้ความสำคัญกับรีวิวและการจัดการชื่อเสียงในโลกออนไลน์

การไม่ใส่ใจติดตาม จัดการ และตอบสนองต่อความคิดเห็นของลูกค้า อาจทำให้กลยุทธ์การบริหารโรงแรมของคุณไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดช่องให้ลูกค้าที่ไม่พอใจนำไปเขียนรีวิวในแง่ลบบนเว็บไซต์ท่องเที่ยวและโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้

ในยุคที่การจองออนไลน์และความคิดเห็นในโซเชียลมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ การจัดการชื่อเสียงจึงทวีความสำคัญตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ผู้ประกอบการโรงแรมจำนวนมากยังทำได้ไม่ดีนัก เนื่องจากไม่แน่ใจว่าควรจัดการกับความคิดเห็นออนไลน์อย่างไร

ต่อไปนี้คือวิธีมาตรฐานที่ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถจัดการกับรีวิวออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวในเชิงบวกหรือเชิงลบ:

รับทราบและลงมือแก้ไข

สำหรับความคิดเห็นเชิงลบที่มีเหตุผลเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้า วิธีที่ดีที่สุดคือการตอบกลับอย่างรวดเร็วภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่ลูกค้าโพสต์ โดยรับทราบปัญหาและอธิบายว่าจะแก้ไขอย่างไร หลังจากดำเนินการแก้ไขแล้ว ควรโพสต์ตามอีกครั้งเพื่อแจ้งว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งสอบถามว่าลูกค้าพอใจกับบริการหรือไม่

วิธีนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อความคิดเห็นเชิงลบที่ดีที่สุด เพราะผู้อ่านออนไลน์มักให้คุณค่ากับการลงมือแก้ไขและการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มากกว่าการมองว่าประสบการณ์ที่ไม่ดีในครั้งแรกเป็นเรื่องแย่

ขอโทษและชดเชย

สำหรับความคิดเห็นเชิงลบที่เกิดจากประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ ควรตอบกลับด้วยการขอโทษสำหรับประสบการณ์ที่ไม่ดีและเสนอการชดเชยเป็นการส่วนตัว อาจเป็นเงินคืนหรือส่วนลดสำหรับการจองครั้งต่อไป

แม้ว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ทำให้ลูกค้าที่มีประสบการณ์ไม่ดีพอใจได้ทั้งหมด แต่ก็จะแสดงให้ลูกค้าคนอื่นๆ เห็นว่าโรงแรมให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า ทั้งนี้ ควรเสนอการชดเชยเป็นการส่วนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเชิญชวนให้คนมาร้องเรียนเพื่อรับของฟรี

ขอโทษและขอบคุณ

สำหรับความคิดเห็นเชิงลบที่เน้นไปที่รายละเอียดปลีกย่อย วิธีตอบที่เหมาะสมคือการขอโทษสำหรับประสบการณ์ที่ไม่ดีและแจ้งว่าจะนำความคิดเห็นนี้ไปปรับปรุงกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าในอนาคต

วิธีนี้มีประโยชน์มากกว่าการตอบว่าจะส่งความคิดเห็นไปยังทีมบริการลูกค้า เพราะลูกค้าเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่การบริการของโรงแรมอยู่แล้ว

แม้ว่าหลายองค์กรจะดีใจกับรีวิวเชิงบวก แต่ก็ไม่ควรลืมที่จะตอบกลับรีวิวเหล่านี้ด้วย นอกจากจะช่วยรักษาลูกค้าที่ชื่นชอบโรงแรมและชอบใจในบริการแล้ว ยังเป็นโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยการเผยแพร่รีวิวที่ดีเยี่ยมและแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ของคุณมุ่งมั่นที่จะรักษาช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า

ถ่อมตัว

เมื่อได้รับรีวิวเชิงบวกที่ชื่นชมอย่างล้นหลาม ควรขอบคุณลูกค้าสำหรับความกระตือรือร้น แต่ก็ควรกล่าวถึงจุดที่กำลังพยายามปรับปรุงด้วย วิธีนี้จะช่วยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้า

แสดงความยินดี

สำหรับความคิดเห็นเชิงบวกที่จริงใจและมีเหตุผล วิธีตอบที่ดีที่สุดคือการแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความคิดเห็น พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าจะได้ให้บริการอีกในอนาคต แม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่กลับเป็นวิธีที่ถูกละเลยบ่อยที่สุด

แสดงความขอบคุณ

สำหรับความคิดเห็นที่เป็นกลางเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการชื่นชมบางจุดเป็นพิเศษ ผู้จัดการโรงแรมควรแสดงความขอบคุณสำหรับความคิดเห็นและขอคำแนะนำเพิ่มเติมว่าจะปรับปรุงในด้านใดได้อีกบ้าง

ในบางกรณี อาจเป็นการดีกว่าที่จะติดต่อลูกค้าเป็นการส่วนตัวทางอีเมลหรือโทรศัพท์ วิธีนี้จะช่วยให้ได้รับข้อเสนอแนะที่ละเอียดกว่าการตอบกลับบนโพสต์เดิม

วิธีการทำรายงานสำหรับการบริหารโรงแรม

การรายงานผลการดำเนินงานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารโรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าส่วนไหนของธุรกิจที่ทำได้ดีและส่วนไหนที่ต้องปรับปรุง

มีหลายส่วนของธุรกิจที่คุณจำเป็นต้องทำรายงาน เพื่อนำไปใช้วางแผนกลยุทธ์การบริหารโรงแรมโดยรวม ข้อมูลส่วนใหญ่สามารถดึงได้จากระบบที่คุณใช้อยู่ เช่น ระบบจัดการทรัพย์สิน (Property Management System หรือ PMS) และระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager)

ข้อมูลสำคัญที่คุณควรติดตามในการบริหารโรงแรม ได้แก่:

1. ผลการดำเนินงานของช่องทางการขาย

การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของช่องทางการขายช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการจอง เช่น ช่องทางไหนที่สร้างการจองมากที่สุด ช่องทางไหนที่สร้างรายได้รวมมากที่สุด ช่องทางไหนที่มีอัตราการยกเลิกสูงที่สุด ช่องทางไหนที่มีช่วงเวลาระหว่างวันที่ลูกค้าทำการจองและวันที่เข้าพักจริง (lead time) มากที่สุดหรือน้อยที่สุด

ยิ่งคุณมีข้อมูลมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการจำหน่ายได้มากขึ้นเท่านั้น คุณอาจตัดบางช่องทางออก เพิ่มช่องทางใหม่ หรือแม้แต่หยุดทุกช่องทางชั่วคราวเพื่อเพิ่มรายได้ให้สูงสุด

ทั้งนี้ การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อาจยุ่งยาก ดังนั้นควรเลือกใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager) ที่สามารถสร้างรายงานที่อ่านและเข้าใจง่าย

2. ประสิทธิภาพของเว็บไซต์

ประสิทธิภาพของเว็บไซต์มีความสำคัญมากสำหรับการจองโดยตรง ระบบจัดการช่องทางการขายควรติดตามข้อมูลของระบบจองออนไลน์ของคุณด้วย เพื่อให้คุณเห็นได้ว่าการจองโดยตรงลดลงหรือไม่

การวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์ช่วยให้คุณทราบว่า คุณสร้างการเข้าชมเว็บไซต์ผ่านการเข้าชมแบบออร์แกนิก (Organic traffic) และการเข้าชมแบบมีค่าใช้จ่าย (Paid traffic) มากแค่ไหน หน้าไหนของเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุด อัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า (conversion rate) เป็นอย่างไร มีคนเริ่มทำการจองแล้วยกเลิกกลางคันมากแค่ไหน

3. แผนกแม่บ้าน

การติดตามข้อมูลของแผนกแม่บ้านมีความสำคัญมาก ควรบันทึกข้อมูลดังนี้ เวลาเฉลี่ยในการทำความสะอาดห้องพักแต่ละห้อง จำนวนแขกที่มาถึงเมื่อห้องยังไม่พร้อม อุปกรณ์ในการทำความสะอาดเพียงพอหรือไม่ ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ข้อมูลเหล่านี้ควรรายงานทุกเดือนเพื่อติดตามว่าผลการดำเนินงานของโรงแรมกำลังดีขึ้นหรือแย่ลง

ผ่านระบบจัดการโรงแรมและระบบบริหารรายได้ คุณสามารถติดตามอัตราการเข้าพัก (Occupancy), รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (ADR) และตัวชี้วัดอื่นๆ ได้อีกมากมาย

ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโรงแรม

ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโรงแรมเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของโรงแรมสามารถจัดการงานบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเพิ่มยอดการจองทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ระบบบริหารจัดการโรงแรม (Hotel Management System หรือ HMS) ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานประจำวันของโรงแรมเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับประสบการณ์โดยรวมของแขกที่มาพักอีกด้วย

 

ตั้งแต่เริ่มต้นการจองออนไลน์ของแขก ไปจนถึงการเข้าพักเสร็จสิ้นและการให้ข้อเสนอแนะหลังกลับบ้าน HMS ช่วยยกระดับประสบการณ์ของแขกได้ตลอดการเดินทาง

การเลือกเทคโนโลยีบริหารโรงแรมที่มีฟีเจอร์ตรงกับความต้องการของคุณเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารโรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพในสภาพเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน

การใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์ในการบริหารโรงแรม

เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโรงแรมยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารโรงแรมจะช่วยปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของคุณและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างแท้จริง

กุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเครื่องมือบริหารโรงแรมคือการเลือกระบบที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีการจัดการโรงแรมที่ดีควรเป็นอย่างไร และทำไมการนำมาใช้ในโรงแรมของคุณจึงมีความสำคัญ

ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโรงแรม

ทำไมถึงควรลงทุนในเทคโนโลยีสำหรับบริหารโรงแรม? นี่คือเหตุผลที่น่าสนใจดังนี้:

1. ประหยัดเวลาในงานบริหารจัดการ

ระบบบริหารโรงแรมที่ดีควรทำงานส่วนใหญ่แทนคุณได้ ช่วยลดเวลาที่ต้องเสียไปกับงานบริหารจัดการ และให้คุณมีเวลามากขึ้นในการโฟกัสกับภาพรวมที่สำคัญกว่า นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ยังควรให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในการทำงาน

ในยุคที่การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ การทำให้งานต่างๆ เป็นระบบอัตโนมัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ระบบจัดการโรงแรม (PMS) สามารถช่วยคุณในเรื่องนี้ได้อย่างมาก

การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกค้าและพัฒนาธุรกิจโรงแรมของคุณ แทนที่จะต้องเสียเวลาไปกับงานเอกสารและการจัดการข้อมูลที่ซ้ำซากจำเจ

2. เพิ่มโอกาสให้คนเห็นโรงแรมคุณในโลกออนไลน์

ซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมที่มาพร้อมกับระบบสร้างเว็บไซต์ ช่วยให้คุณรับจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของคุณเองได้ และยังช่วยสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย ผลที่ตามมาคือ เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับในกูเกิลมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสเจอโรงแรมของคุณตอนค้นหาที่พักออนไลน์

3. สร้างความประทับใจให้แขกกลับมาพักซ้ำ

ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้คุณดูแลลูกค้าได้ดีขึ้น โดยเฉพาะแขกประจำที่เคยมาพักหลายครั้งจะรู้สึกได้ถึงบริการที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ยังช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยรู้จักโรงแรมของคุณมาก่อน

4. จัดการช่องทางขายห้องพักได้ง่ายขึ้น

เมื่อคุณใช้ระบบจัดการโรงแรม (PMS) ที่เชื่อมต่อกับระบบจัดการช่องทางขาย คุณสามารถโฆษณาห้องพักผ่านหลายช่องทางพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บจองห้องพักออนไลน์ (OTA) ยอดนิยมอย่าง Agoda, Booking.com หรือแม้แต่ Global Distribution Systems (GDS) โดยที่ราคาห้องพักในทุกช่องทางจะเท่ากันเสมอ ระบบนี้จะอัพเดทข้อมูลห้องว่างและราคาให้ทุกช่องทางทันที ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสขายห้องพัก

5. บริหารรายได้ให้คุณ

ซอฟต์แวร์มีเครื่องมือตั้งราคาที่ทันสมัย ช่วยให้คุณปรับราคาห้องพักได้ยืดหยุ่น เพื่อทำรายได้สูงสุดในแต่ละช่วงเวลา

การตั้งราคาห้องพักให้เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญของธุรกิจโรงแรม เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้กลยุทธ์การบริหารรายได้ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

6. เพิ่มยอดจองห้องพัก

ท้ายที่สุดแล้ว ทุกฟีเจอร์ในซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมก็เพื่อช่วยให้คุณได้รับการจองห้องพักมากขึ้นนั่นเอง

มีซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมให้เลือกมากมาย เหมาะกับโรงแรมหลายประเภท หลายขนาด และหลายเป้าหมาย ระบบ GDS ยังคงเป็นซอฟต์แวร์ยอดนิยมที่โรงแรมใช้เพื่อเข้าถึงตลาดนักเดินทางทั่วโลกและดึงดูดนักธุรกิจ โรงแรมส่วนใหญ่ใช้ระบบ PMS ในรูปแบบต่างๆ เพื่อจัดการการจอง เช็คอิน/เช็คเอาต์ ติดต่อกับแขก และสร้างรายงานต่างๆ

ไม่ว่าคุณจะอยากเพิ่มยอดจองในช่วงโลว์ซีซั่น หรือขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้

ตัวอย่างระบบจัดการโรงแรม: เว็บไซต์จองห้องพักโดยตรง

ถ้าคุณอยากให้โรงแรมของคุณประสบความสำเร็จ เทคโนโลยีการจองห้องพักโดยตรงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นหมายถึงการทำให้เว็บไซต์ของคุณและระบบจองออนไลน์ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

ระบบจองออนไลน์

ระบบนี้สำคัญมากถ้าคุณอยากได้การจองโดยตรงและลดการพึ่งพา OTA (เว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์) รวมถึงค่าคอมมิชชันที่ต้องจ่ายให้พวกเขา ความจริงแล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเข้าเว็บไซต์ของโรงแรมคุณ แม้ว่าพวกเขาจะเจอโรงแรมของคุณจาก OTA ก็ตาม

ถ้าคุณอยากใช้ประโยชน์จากคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์ ระบบจองของคุณต้องมีฟีเจอร์เพิ่มเติมนอกเหนือจากแค่ฟังก์ชันการจอง ได้แก่:

  • ประสบการณ์ออนไลน์ที่ราบรื่นสำหรับแขก ด้วยขั้นตอนการจองแบบสองขั้นตอนที่ปรับแต่งได้
  • รองรับหลายภาษาและสกุลเงิน เพื่อดึงดูดแขกจากทั่วโลก
  • ใช้งานง่ายบนมือถือและเชื่อมต่อกับเฟซบุ๊กได้ เพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่ใช้มือถือ
  • มีฟังก์ชันขายเพิ่ม (upselling) เพื่อให้คุณเพิ่มบริการพิเศษที่เหมาะกับความต้องการของแขกแต่ละราย

อย่าลืมว่า ระบบจองนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้โรงแรมของคุณ คุณสามารถปรับแต่งมันให้เข้ากับแผนการตลาดของคุณได้

ลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้ เพื่อให้คุณใช้ประโยชน์จากระบบจองได้คุ้มค่าที่สุด:

1. เชื่อมต่อระบบจองกับเว็บไซต์ให้ลงตัว

การผสานระบบจองเข้ากับเว็บไซต์ของโรงแรมอย่างลงตัว จะช่วยให้แขกจองห้องพักได้สะดวกยิ่งขึ้น ระบบนี้จะรองรับการใช้งานบนมือถือได้อย่างดี ช่วยลดภาระของคุณทั้งในด้านการออกแบบและการรักษาภาพลักษณ์แบรนด์ตลอดกระบวนการจอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อโรงแรมของคุณ

2. วางรากฐาน SEO ให้แข็งแรง

แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบจอง แต่การทำ SEO สำคัญมาก ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ปรับแต่งให้ติดอันดับบนกูเกิล ต่อให้ระบบจองดีแค่ไหน ก็จะไม่มีคนเห็นเว็บของคุณมากพอที่จะดึงดูดให้เกิดการจองได้

3. ใช้ข้อความเร่งรัดการตัดสินใจ

ข้อความเร่งรัดทำหน้าที่ตามชื่อเลย คือกระตุ้นให้ลูกค้ารีบตัดสินใจ การใช้ข้อความแจ้งเตือนหรือเร่งรัดเกี่ยวกับราคา จะทำให้แขกรู้สึกว่าอาจพลาดโอกาสดีๆ หรือสิทธิพิเศษที่คนอื่นไม่ได้ วิธีนี้ช่วยผลักดันให้ลูกค้าตัดสินใจจองเร็วขึ้น และเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าจริง

ตัวอย่างข้อความเร่งรัด เช่น “จองเลย จ่ายทีหลัง!” หรือ “เหลือห้องสุดท้ายแล้ว!”

4. แสดงแบนเนอร์โปรโมชัน

ถ้าคุณกำลังจัดโปรโมชัน ต้องทำให้แขกสังเกตเห็น ใช้ระบบจองแสดงแบนเนอร์โปรโมชันที่โดดเด่นบนเว็บไซต์ เพื่อให้แขกเห็นและเลือกวันที่ใช้โปรโมชันได้ง่าย

5. ตั้งราคาจองล่วงหน้า

การขายห้องพักราคาพิเศษสำหรับจองล่วงหน้า ช่วยเพิ่มเงินสดหมุนเวียนระยะสั้น เพราะเก็บเงินเต็มจำนวนจากผู้จองได้เลย คุณสามารถควบคุมว่าจะเปิดให้จองล่วงหน้าเมื่อไหร่ผ่านระบบจองได้

6. เสนอราคานาทีสุดท้าย

การตั้งราคาที่น่าสนใจสำหรับการจองนาทีสุดท้ายช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักระยะสั้นและขายห้องที่ยังว่างอยู่ได้ดี แต่ควรเก็บเงินมัดจำในอัตราสูงเพื่อลดปัญหาการยกเลิกหรือไม่มาเช็คอิน ทั้งนี้ ควรแสดงราคาพิเศษให้เห็นชัดเจน และใช้ควบคู่กับข้อความที่กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น

7. ดึงดูดด้วยโปร “พักคุ้ม จ่ายน้อย”

รักษาอัตราการเข้าพักด้วยการเสนอส่วนลดให้แขกพักนานขึ้น เช่น ลดราคาให้ 1-2 คืน แสดงส่วนต่างราคาให้ชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้จองคืนเพิ่ม ทั้งนี้ คุณควรควบคุมได้ว่าจะลดราคาคืนไหน เช่น คืนแรก คืนสุดท้าย หรือคืนที่ถูกที่สุดของการเข้าพัก

8. เสนอแพ็คเกจดึงดูดใจ

จัดแพ็คเกจรวมสิ่งอื่นๆ เช่น ตั๋วเข้างาน สถานที่ท่องเที่ยว หรือร้านอาหาร ให้แขกได้จองทุกอย่างในคลิกเดียว เสนอตัวเลือกที่หาไม่ได้ใน OTA เพื่อดึงดูดการจองโดยตรง

ถ้าใช้อย่างชาญฉลาด ระบบจองสามารถเป็นเครื่องมือการตลาดและสร้างแบรนด์ที่จะทำให้แขกอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ ช่วยเพิ่มการจองโดยตรงและรายได้จากลูกค้าประจำ

ระบบบริหารจัดการห้องพักโรงแรม: Channel Manager

ระบบจัดการช่องทางการขาย คือ ซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้คุณขายห้องพักทั้งหมดของคุณบนทุกเว็บไซต์จองห้องพักและช่องทางการจัดจำหน่ายที่คุณเชื่อมต่อไว้ได้พร้อมกัน เมื่อมีการจองเข้ามา หรือเมื่อคุณปิดการขายห้อง หรือเมื่อคุณต้องการเปลี่ยนแปลงจำนวนห้องว่างจำนวนมาก ระบบจะอัพเดทข้อมูลให้ทุกช่องทางแบบเรียลไทม์โดยอัตโนมัติ

ระบบนี้มีประโยชน์มากกว่าแค่ทำให้การอัพเดทราคาและห้องว่างง่ายขึ้น คุณสามารถใช้มันทำงานหลายอย่างในการบริหารโรงแรม ช่วยเพิ่มยอดจองและรายได้ รวมถึงช่วยในการวางแผนธุรกิจระยะยาว

เทคนิคการใช้ OTA ให้เป็นประโยชน์

การปรับแต่งโปรไฟล์บนเว็บไซต์ OTA ให้โดดเด่น

โรงแรมที่ไม่ใช้ OTA (Online Travel Agent หรือเว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์) จะเสียเปรียบในการเพิ่มช่องทางขายและขายห้องพัก การเชื่อมต่อกับ OTA จะช่วยให้โรงแรมเป็นที่รู้จักมากขึ้น รักษาอัตราการเข้าพักให้คงที่ และอาจช่วยให้ติดอันดับในเสิร์ชเอนจินได้ดีขึ้น

OTA อย่าง Agoda และ Booking.com กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นแหล่งข้อมูลยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ใช้ในการค้นหาที่พักหลากหลายรูปแบบ พร้อมราคาที่คุ้มค่าที่สุด โดยสามารถดูข้อมูลทั้งหมดได้ในที่เดียว

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก OTA และเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น คุณควรทำทุกวิถีทางเพื่อปรับแต่งโปรไฟล์โรงแรมของคุณให้โดดเด่น

การตลาดของคุณควรสอดคล้องกันในทุกช่องทาง อย่าเก็บภาพสวยๆ และเนื้อหาดีๆ ไว้แค่ในเว็บไซต์ของคุณ แต่ควรนำไปใส่ในโปรไฟล์บน OTA ด้วย

เช่นเดียวกับ Google, OTA ก็มีอัลกอริทึมในการจัดอันดับที่พักเหมือนกัน

นี่คือ 6 ขั้นตอนง่ายๆ ในการปรับแต่งโปรไฟล์โรงแรมของคุณบน OTA ให้โดดเด่น:

1. จัดการห้องพักให้แม่นยำ

ช่วงไฮซีซั่นหรือเทศกาลต่างๆ จำนวนห้องว่างจะเปลี่ยนแปลงบ่อย คุณต้องอัพเดตข้อมูลห้องพักในทุก OTA ให้ถูกต้องเสมอ เพื่อให้ขายห้องได้เต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Manager) แบบ pooled inventory ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาจองซ้ำหรือข้อมูลผิดพลาด ทำให้แขกไม่ต้องเจอความยุ่งยาก

2. บริหารราคาและโปรโมชั่นอย่างชาญฉลาด

นักท่องเที่ยวใช้ OTA ไม่ใช่แค่หาที่พัก แต่ยังมองหาดีลราคาพิเศษด้วย โดยเฉพาะดีลนาทีสุดท้าย โปรโมชันแบบจำกัดเวลามักได้ผลดี ช่วยให้ขายห้องได้ง่ายขึ้น คุณสามารถปรับราคาใน OTA ได้ง่ายๆ เพื่อดึงดูดแขกในช่วงเทศกาลต่างๆ

3. ตอบรีวิวอย่างใส่ใจ

แม้ว่าแค่ 14% ของผู้บริโภคจะเชื่อโฆษณาแบบดั้งเดิม แต่ 92% เชื่อถือรีวิวบนเว็บไซต์อย่าง TripAdvisor รีวิวบน OTA น่าเชื่อถือมาก เพราะแขกจะรีวิวได้หลังเข้าพักจริงเท่านั้น

แต่น่าแปลกใจที่มีแค่ 36% ของผู้ประกอบการโรงแรมที่ตอบรีวิวบน OTA การตอบรีวิวอย่างดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มโอกาสการจอง และส่งผลดีต่อยอดขาย

4. ลองลงโฆษณาแบบจ่ายเงิน

โฆษณาแบบจ่ายเงินไม่ได้มีไว้สำหรับโรงแรมใหญ่ๆ เท่านั้น โรงแรมอิสระก็ทำได้ โดยจ่ายตามจำนวนคลิก แม้ว่าจะไม่รับประกันว่าจะได้ยอดจองเพิ่ม แต่ก็ช่วยให้โรงแรมคุณไปอยู่ในผลการค้นหาแน่นอน ถ้าเนื้อหาและรูปภาพของคุณดึงดูดใจ คุณน่าจะเห็นรายได้เพิ่มขึ้นและอันดับใน OTA ดีขึ้น

5. มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม

การเจาะกลุ่มเป้าหมายแคบๆ อาจทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าน้อยลง แต่โอกาสปิดการขายจะสูงขึ้น ลองใช้วิธีต่างๆ เช่น เน้นช่วงเวลาเฉพาะ เทศกาลพิเศษ หรือกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

6. รู้จักคู่แข่งให้ดี

สำคัญมากที่คุณต้องรู้ว่าคู่แข่งในตลาดเป็นใคร เพื่อไม่ให้ตั้งราคาต่ำหรือสูงเกินไปจนแข่งขันไม่ได้ การรู้ว่าคู่แข่งทำอะไรอยู่อาจช่วยให้คุณได้จองเพิ่ม เช่น ปรับราคาเพื่อแข่งกับคู่แข่งที่ห้องเต็ม หรือจัดโปรโมชั่นพิเศษ มีระบบข้อมูลเฉพาะที่โรงแรมใช้ติดตามคู่แข่งได้

การทำโปรไฟล์บน OTA ให้โดดเด่นนั้น นอกจากจะช่วยเพิ่มยอดจองผ่าน OTA แล้ว ยังสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณโดยตรงได้มากขึ้นด้วย ซึ่งช่วยชดเชยค่าคอมมิชชันที่ต้องจ่ายให้กับ OTA ได้บางส่วน

]]>
คู่มือสรุปวิธีเพิ่มยอดจองโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/hotel-distribution/hotel-revenue-management/11-ways-boost-hotel-mid-week-occupancy-revenue/ Thu, 31 Oct 2024 06:05:41 +0000 https://www.siteminder.com/?p=180042 ทำไมการเพิ่มยอดจองโรงแรมถึงสำคัญ?

การเพิ่มยอดจองโรงแรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้แล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับธุรกิจโรงแรมของคุณอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดจอง ผู้ประกอบการโรงแรมหลายรายอาจคิดว่าการลดราคาห้องพักอย่างมากจะช่วยดึงดูดแขกให้เข้าพักมากขึ้น แม้วิธีนี้อาจดูเหมือนได้ผลในตอนแรก แต่ความจริงแล้วมักไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด การลดราคาห้องพักอาจช่วยให้ขายห้องได้มากขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะชดเชยรายได้ต่อห้องที่ลดลง

สิ่งสำคัญที่ควรเข้าใจคือ การลดราคาห้องพักไม่ได้ช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวหรือสร้างเหตุผลใหม่ๆ ให้คนมาพักโรงแรมของคุณ แต่กลับอาจส่งผลเสียในระยะยาว เมื่อแขกเห็นราคาห้องพักที่ถูกลงมากผิดปกติ อาจเกิดความสงสัยและคิดในแง่ลบ

ในคู่มือนี้ เราจะแนะนำคุณเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ข้อควรพิจารณา สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ความต้องการของลูกค้า และกลยุทธ์ที่คุณควรรู้ เพื่อช่วยเพิ่มยอดจองโรงแรมของคุณอย่างก้าวกระโดด

สารบัญ

ศาสตร์และศิลป์แห่งการเพิ่มยอดจองโรงแรม

การเพิ่มยอดจองโรงแรมนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความสมดุล ยกตัวอย่างเช่น การตั้งราคาห้องพักที่ต่ำอยู่เสมออาจทำลายความน่าเชื่อถือด้านราคาของโรงแรมคุณ เมื่อแขกคุ้นเคยกับราคาที่ต่ำ การขึ้นราคาในอนาคตก็จะทำได้ยาก สิ่งนี้อาจนำไปสู่วงจรของการลดราคาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลเสียต่อผลกำไรและความยั่งยืนของธุรกิจโรงแรมของคุณ

แทนที่จะลดราคาแบบฮวบฮาบ กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคือการเพิ่มคุณค่าให้กับการเข้าพักของแขก เช่น การนำเสนอแพ็คเกจพิเศษ ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร หรือบริการเสริมต่างๆ การเพิ่มคุณค่าช่วยดึงดูดแขกโดยไม่ต้องลดราคาห้องพัก วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดจอง แต่ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจของแขก นำไปสู่รีวิวที่ดีและการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะลดราคาห้องพักจาก 2,000 บาทเหลือ 1,500 บาท คุณอาจจะคงราคาไว้ที่ 2,000 บาท แต่เพิ่มบริการรับ-ส่งสนามบินฟรี หรือมื้อเช้าสำหรับสองท่าน วิธีนี้ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของโรงแรมและยังเพิ่มความคุ้มค่าให้แขกด้วย

การเพิ่มการมองเห็นของโรงแรมคุณบนช่องทางการจองชั้นนำก็เป็นส่วนสำคัญของสมการนี้ ยิ่งโรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ โอกาสที่แขกจะพบและจองห้องพักก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น คุณสามารถทำได้โดยการทำการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมมือกับเว็บจองท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) และใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการโรงแรมที่ทันสมัย

15 วิธีเพิ่มยอดจองโรงแรมที่เห็นผลจริง

ในโลกของธุรกิจโรงแรมที่แข่งขันสูง การโดดเด่นและดึงดูดแขกไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยการเติบโตของ OTA และความชอบของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไป โรงแรมจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อยู่เสมอเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด

ต่อไปนี้คือ 15 กลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์แขกหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวพักผ่อน และคนท้องถิ่นที่มองหาประสบการณ์ “สเตย์เคชั่น” ที่แปลกใหม่

การนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้จะช่วยเพิ่มการมองเห็นของโรงแรม ดึงดูดแขกให้มากขึ้น และสุดท้ายคือเพิ่มยอดจองของคุณ

1. สร้างและโปรโมทแพ็คเกจพิเศษ

การจัดแพ็คเกจช่วยให้คุณซ่อนราคาห้องพักจริงไว้ในบริการเสริมที่เพิ่มคุณค่าให้กับการเข้าพัก หากโรงแรมของคุณมีบริการเพิ่มเติม เช่น คลาสออกกำลังกายหรือสปา ลองรวมบริการเหล่านี้เข้ากับห้องพักเป็นดีลสุดคุ้ม วิธีนี้จะกระตุ้นให้แขกใช้บริการที่พวกเขาอาจไม่เคยคิดจะใช้มาก่อน

2. เน้นจุดเด่นของสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น

ในด้านการตลาด ให้คิดถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสมาพักในวันธรรมดา และคำนึงถึงว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่ไหน มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าในรัศมีประมาณ 2-3 ชั่วโมงโดยรถยนต์ สำหรับแพ็คเกจพัก 2 คืนกลางสัปดาห์

ลองร่วมมือกับสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น และส่งโฆษณาหรือบทความไปยังหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ในเมืองใหญ่ๆ ใกล้เคียง โดยนำเสนอแพ็คเกจพักกลางสัปดาห์ที่รวมกิจกรรมน่าสนใจ เช่น ทัวร์ชมเมือง ทริปชิมไวน์ หรือการชมคอนเสิร์ต

3. สร้างรายชื่อลูกค้าสำหรับส่งอีเมล

สร้างรายชื่อลูกค้าที่มาพักช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และติดต่อลูกค้าด้วยอีเมลประจำเดือน แจ้งโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษสำหรับวันธรรมดา

แนะนำให้ลูกค้าทราบว่าวันธรรมดาเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเที่ยวชมร้านค้าและสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพราะไม่แออัดเหมือนวันหยุดสุดสัปดาห์ อย่าลืมส่งคูปองส่วนลดสำหรับวันธรรมดาไปด้วย

4. จัดกิจกรรมพิเศษแบบวันเดียว

ใช้ความคิดสร้างสรรค์จัดงานพิเศษในวันธรรมดา เช่น เวิร์คช็อป กิจกรรมเพื่อสุขภาพ นิทรรศการศิลปะ หรืองานด้านวัฒนธรรมอื่นๆ

กิจกรรมเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนอายุ 50-60 ปี ซึ่งมักมีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ ยังอาจจัดแสดงผลงานของนักเรียนนักศึกษาร่วมกับโรงเรียนและวิทยาลัยในท้องถิ่น

5. เปิดพื้นที่ให้ภาคธุรกิจ

ประชาสัมพันธ์พื้นที่ของคุณให้บริษัทในท้องถิ่นสำหรับการประชุมและงานสังสรรค์ เลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างชาญฉลาด โดยมุ่งเน้นบริษัทที่มีสาขาหรือสำนักงานในที่อื่น เพราะอาจมีพนักงานหรือแขกที่ต้องการที่พัก

6. ทำโปรโมชั่นอาหาร ‘ซื้อ 1 แถม 1’

ในธุรกิจโรงแรม การมีโปรโมชั่นที่แปลกใหม่สามารถดึงดูดแขกและกระตุ้นให้พวกเขาใช้จ่ายมากขึ้น หากโรงแรมของคุณมีร้านอาหาร คาเฟ่ บริการอาหารเช้า หรือร้านอาหารอื่นๆ การมีโปรโมชั่น ‘ซื้อ 1 แถม 1’ เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มยอดจองและรายได้โดยรวมได้

คอนเซปของโปรโมชั่น ‘ซื้อ 1 แถม 1’ นั้นก็ตรงตัวเลย: แขกจะได้รับอาหาร 2 ที่ในราคาของ 1 ที่ คุณสามารถปรับโปรโมชั่นนี้ให้เหมาะกับความต้องการของโรงแรม เช่น จำกัดเฉพาะมื้ออาหารบางมื้อหรือเฉพาะวันธรรมดา การเสนอโปรโมชั่นนี้ในช่วงกลางสัปดาห์เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มยอดจองวันธรรมดา หรือคุณอาจเสนอเฉพาะมื้อกลางวันทุกวันเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าในช่วงเวลาที่มักจะเงียบเหงา

หากคุณร่วมมือกับร้านอาหารในท้องถิ่น คุณสามารถนำโปรโมชั่นนี้ไปใช้ในกลยุทธ์การตลาดร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทั้งสองธุรกิจ

7. โปรโมทการจัดงานแต่งงานกลางสัปดาห์

ด้วยคนทำงานฟรีแลนซ์หรือมีเวลาทำงานยืดหยุ่นมากขึ้น งานแต่งงานกลางสัปดาห์กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะสำหรับคู่แต่งงานครั้งที่สองหรือคู่สูงวัยที่ชื่นชอบบรรยากาศเงียบสงบและเป็นส่วนตัว

ควรระวังไม่ให้ตรงกับงานองค์กรหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจรบกวนบรรยากาศงานแต่ง

8. ชวนให้แขกพักนานขึ้น

กระตุ้นให้แขกที่พักช่วงสุดสัปดาห์ขยายเวลาพักผ่อนให้นานขึ้น โดยเสนอส่วนลดพิเศษและแจ้งให้แขกทราบล่วงหน้า ทั้งในอีเมลก่อนเข้าพักและตอนเช็คอิน

9. ติดต่อร้านอาหารใหญ่ๆ ในเมือง

ควรทำในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน โดยเสนอราคาพิเศษสำหรับกลุ่มที่มีแผนจัดงานเลี้ยงคริสต์มาสกลางสัปดาห์ที่ร้านอาหารเหล่านั้น

10. ร่วมมือกับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์

สร้างความสัมพันธ์กับผู้เล่นหลักในวงการอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ เพราะในแต่ละวันมีคนจำนวนมากเดินทางมาดูบ้านใหม่หรือสำรวจพื้นที่สำนักงาน ซึ่งพวกเขาต้องการที่พักระหว่างอยู่ในเมือง

อาจเสนอเรทพิเศษให้กับนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ ให้พื้นที่โฆษณาฟรีในแผ่นพับข้อมูลห้องพัก

11. แจกแพ็กเกจพักกลางสัปดาห์เป็นของรางวัล

โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook เป็นช่องทางพิเศษให้โรงแรมสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายและโปรโมทบริการต่างๆ วิธีที่น่าสนใจคือการจัดแคมเปญแจกแพ็กเกจพักกลางสัปดาห์เป็นของรางวัลบนเฟซบุ๊ก

แคมเปญแบบนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มผู้ติดตามเพจ และกระตุ้นการมีส่วนร่วม ทั้งยังเป็นโอกาสแนะนำจุดเด่นของโรงแรม ตั้งแต่ห้องพักหรูไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกระดับท็อป นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งข้อมูลลูกค้าสำหรับการตลาดในอนาคต ที่สำคัญ ต้นทุนจริงๆ ของการจัดแคมเปญแบบนี้ต่ำมาก แค่สละห้องพักหรูสักหนึ่งหรือสองคืนในช่วงกลางสัปดาห์ซึ่งปกติก็เงียบอยู่แล้ว ผลตอบแทนที่ได้คุ้มค่าเสมอ

การจัดแคมเปญบนเฟซบุ๊กให้ประสบความสำเร็จ ต้องกำหนดกติกาให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย โปรโมทแคมเปญผ่านทุกช่องทางการตลาด และตอบคอมเมนต์หรือข้อความของผู้ร่วมกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น เมื่อจบแคมเปญ ให้ประกาศผู้ชนะบนเพจเฟซบุ๊กเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มเติม

อย่าลืมว่าเฟซบุ๊กมีกฎเกณฑ์เข้มงวดเกี่ยวกับการจัดแคมเปญ ดังนั้นควรศึกษาให้ละเอียดก่อนเริ่มแคมเปญจริง

12. ใช้เสน่ห์ของฤดูกาลให้เป็นประโยชน์

ไม่ว่าโรงแรมของคุณจะตั้งอยู่ที่ไหน แต่ละฤดูกาลก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ลองพิจารณาดูว่าอะไรคือจุดดึงดูดที่จะทำให้แขกอยากมาพักที่โรงแรมของคุณ ถ้าอยู่ติดทะเล กิจกรรมดำน้ำ ชมปะการัง ถ้าอยู่บนดอย ชมทะเลหมอก สัมผัสอากาศเย็นสบาย หรือเก็บสตรอว์เบอร์รี่ ถ้าอยู่ในเมือง ทัวร์วัดเก่าแก่ ช้อปปิ้งตลาดกลางคืน หรือเวิร์คช็อปทำอาหารไทย

ใช้จุดเด่นเหล่านี้ในการสื่อสารการตลาด ให้ลูกค้าเห็นภาพและรู้สึกถึงประสบการณ์ที่พวกเขาจะได้รับ กระตุ้นให้พวกเขาอยากมาสัมผัสบรรยากาศและกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นที่โรงแรมของคุณ

13. กิจกรรมวันหยุด

ลองจับมือกับผู้ให้บริการในท้องถิ่นเพื่อสร้างแพ็กเกจกิจกรรมหลากหลาย ที่สามารถเสนอให้แขกในราคาพิเศษช่วงวันหยุด

การสร้างแพ็กเกจที่ตอบโจทย์ความต้องการของแขก จะช่วยเพิ่มยอดจองในวันหยุดช่วงไฮซีซั่น และสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับโรงแรมไปพร้อมกัน

ที่สำคัญ ไม่มีอะไรเทียบได้กับการพักผ่อนวันหยุดที่ยอดเยี่ยม แขกจะอยากบอกต่อเรื่องราวดีๆ ที่ได้สัมผัสให้คนอื่นรู้อย่างแน่นอน

14. จัดงานตามธีม

ช่วงวันหยุดเทศกาลทำให้คนไทยอยากออกไปฉลอง ทำไมไม่ลองจัดปาร์ตี้สนุกๆ ให้แขกของคุณล่ะ คุณอาจทำแพ็กเกจสุดคุ้มช่วงสุดสัปดาห์ รวมห้องพัก 2 คืนพร้อมบัตรเข้าร่วมปาร์ตี้สุดพิเศษ

อย่าลืมเลือกธีมปาร์ตี้ให้เข้ากับที่ตั้งของโรงแรมและสิ่งที่แขกอยากสัมผัสในช่วงวันหยุด โรงแรมในเมืองร้อนอย่างพัทยาหรือภูเก็ต ลองจัดปาร์ตี้ริมหาดหรือข้างสระ มีบาร์สไตล์ทรอปิคอล ค็อกเทลผลไม้ และโชว์รำไทย ส่วนโรงแรมในที่หนาวๆ อย่างเชียงใหม่หรือเขาค้อ อาจตกแต่งด้วยไฟประดับสวยๆ และเสิร์ฟอาหารเมนูร้อนๆ อย่างต้มยำหรือชาบู

ไอเดียเพิ่มเติม… จัดประชันฝีมือระหว่างเชฟในท้องถิ่นทำเมนูแกงเผ็ดที่อร่อยที่สุด (แน่นอนว่าต้องให้แขกได้ชิมทุกเมนู!) หรือจัดแข่งขันทำเครื่องดื่มอุ่นๆ สไตล์ไทย เช่น ชาไทย กาแฟโบราณ น้ำขิง หรือน้ำเก๊กฮวย ปล่อยให้จินตนาการของคุณโลดแล่นได้เต็มที่!

15. อย่าลืมลูกค้าในพื้นที่

ในช่วงวันหยุดสั้นๆ โรงแรมมักจะมีลูกค้าในท้องถิ่นมาใช้บริการมากขึ้น เพราะพวกเขากำลังมองหาการพักผ่อนแบบ ‘สเตย์เคชั่น’ ในบ้านเกิดของตัวเอง

ลองทำโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนในพื้นที่ เช่น ส่วนลดค่าห้องพัก แพ็กเกจพิเศษที่รวมบริการเสริม จองโต๊ะให้ที่ร้านอาหารดังๆ ที่ปกติคิวยาว หาบัตรคอนเสิร์ตหรือละครที่ขายหมดแล้วมาแถม (ถ้าทำได้)

แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าในท้องถิ่นได้ เช่น ทักทายด้วยภาษาถิ่น หรือแค่กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทั้งกับลูกค้าในประเทศและต่างชาติ

อย่าลืมว่า ลูกค้าที่ประทับใจมักจะกลับมาใช้บริการซ้ำ และยังช่วยบอกต่อให้เพื่อนฝูงหรือครอบครัวมาพักที่โรงแรมของคุณด้วย

วิธีเพิ่มยอดจองโรงแรมผ่านการจองผ่านโทรศัพท์

ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีใหม่ๆ การจองผ่านมือถือ และช่องทางการจองอื่นๆ ที่เข้ามามากมาย โรงแรมหลายแห่งเลิกสนใจสายโทรศัพท์ที่เข้ามาและการจองผ่านทางนี้ไปแล้ว เหตุผลหนึ่งคือพวกเขาคิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ก็ชอบใช้แอพและสมาร์ทโฟนในการจองเหมือนกัน หลายคนอาจคิดว่ามีแต่คนสูงวัยเท่านั้นที่ยังโทรจองโรงแรม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย

การไม่วัดผลหรือติดตามการจองทางโทรศัพท์อาจส่งผลเสียต่อรายได้และกลยุทธ์การตลาดของโรงแรมคุณได้

แม้การจองผ่านมือถือและการเข้าชมเว็บไซต์จะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ฟีเจอร์ ‘คลิกเพื่อโทร’ บนสมาร์ทโฟนก็ทำให้ปริมาณสายที่เข้ามาที่โรงแรมเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นี่คือ 4 เหตุผลที่คุณควรให้ความสำคัญกับสายโทรศัพท์จากลูกค้า:

1. การจองทางโทรศัพท์ส่งผลต่อแคมเปญของคุณ

เมื่อโรงแรมทำการตลาดออนไลน์ มักจะวัดผลเฉพาะยอดจองผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น ทำให้อาจเข้าใจผิดว่าบางช่องทาง เช่น อีเมลมาร์เก็ตติ้ง ไม่ได้ผลและไม่สร้างรายได้

แต่ความจริงแล้ว การจองทางโทรศัพท์จำนวนมากอาจมาจากอีเมลที่คุณส่งไป ไม่ใช่การจองผ่านเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่โรงแรมแห่งหนึ่งในฟลอริดาพบว่า 41% ของการจองที่มาจากแคมเปญการตลาดออนไลน์ เป็นการจองผ่านโทรศัพท์ ถ้าไม่นับยอดนี้ โรงแรมอาจคิดผิดๆ ว่าแคมเปญล้มเหลว

การรู้ที่มาของการจองทางโทรศัพท์สำคัญไม่แพ้การรู้ที่มาของการจองออนไลน์ มันจะช่วยให้คุณเห็นว่าการตลาดแบบไหนได้ผล และช่วยวางแผนสร้างรายได้ในอนาคตได้ดีขึ้น

เมื่อลูกค้าโทรมาจอง คุณควรถามว่าพวกเขารู้จักโรงแรมจากช่องทางไหน เช่น กูเกิล อีเมล โฆษณาออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

2. การจองทางโทรศัพท์ยังคงสำคัญมาก

แม้ว่าแบบสอบถาม รีวิว และแบบฟอร์มความคิดเห็นจะมีประโยชน์ แต่การรับสายโทรศัพท์ก็ช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าที่อาจเข้าพักในอนาคตได้เช่นกัน ข้อมูลที่ได้จากการพูดคุยอาจมีค่ามากกว่า เพราะเป็นการสื่อสารแบบเปิดกว้าง คุณจะได้ยินความกังวลและคำถามของลูกค้าจากน้ำเสียงและคำพูดจริงๆ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าโรงแรมของคุณกำลังเผชิญปัญหาอะไรเกี่ยวกับประสบการณ์ของแขก

นอกจากนี้ คุณยังจะรู้ว่าพนักงานของคุณให้บริการลูกค้าได้ดีแค่ไหน พวกเขาปิดการขายได้ไหม ขายบริการเสริมได้ดีหรือเปล่า หรือให้ข้อมูลครบถ้วนหรือไม่

การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสองส่วนนี้จะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้สนใจเป็นลูกค้าได้

3. การจองทางโทรศัพท์อาจกลับมาได้รับความนิยมมากกว่าที่คิด

หลายคนอาจคิดว่าการจองผ่านโทรศัพท์จะหายไปเมื่อมีช่องทางจองใหม่ๆ และโรงแรมที่ทันสมัยขึ้น แต่ความจริงอาจตรงกันข้าม

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับที่พัก วิธีการเข้าพัก และสิ่งที่อยากทำระหว่างพักผ่อน ข้อมูลที่มากเกินไปอาจทำให้สับสนหรือตัดสินใจยาก ทำให้คนอยากโทรหาโรงแรมหรือตัวแทนท่องเที่ยวมากขึ้น

ถ้าการติดต่อทางโทรศัพท์จะเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ คุณควรให้ความสำคัญกับช่องทางนี้เท่าๆ กับช่องทางอื่นๆ เช่น การขายออนไลน์

4. การจองทางโทรศัพท์ช่วยลดต้นทุนให้โรงแรม

ยิ่งมีการจองทางโทรศัพท์มากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะคุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ Online Travel Agent (OTA) หรือช่องทางอื่นๆ และคุณไม่จำเป็นต้องทำการตลาดแยกสำหรับการจองทางโทรศัพท์ แคมเปญที่คุณทำเพื่อเพิ่มการจองออนไลน์ก็จะช่วยเพิ่มสายโทรศัพท์เข้ามาด้วย

การคุยกับลูกค้าทางโทรศัพท์ยังช่วยลดการยกเลิกการจอง เพราะคุณสามารถเข้าใจปัญหาของลูกค้าและหาทางแก้ไขได้ทันที

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนสำหรับโรงแรมที่ต้องการติดตามสายโทรศัพท์และฟังบันทึกเสียงการสนทนา คุณยังสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์เฉพาะสำหรับแต่ละแคมเปญ เพื่อดูว่าแคมเปญไหนสร้างการโทรเข้ามากที่สุด อย่าลืมว่าเว็บไซต์ของคุณควรมีเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองด้วย เพื่อดูว่ามีสายโทรเข้ามาจากเว็บไซต์เท่าไหร่

วิธีเพิ่มยอดจองโรงแรมผ่านการจองห้องประชุม

หากมีนักเดินทางเพื่อธุรกิจมาที่เมืองคุณ แสดงว่ามีความต้องการใช้ห้องประชุมแน่นอน แต่ในโรงแรมส่วนใหญ่ ห้องประชุมมักถูกใช้งานไม่เต็มศักยภาพ เพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกค้าองค์กรและห้องประชุม คุณต้องดึงดูดให้แขกที่มาทำธุรกิจเลือกพักที่โรงแรมของคุณให้มากขึ้น

ใช้ 5 เคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อเพิ่มรายได้จากการจัดประชุมและกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งปี

1. หาคนที่ใช่และเทคโนโลยีที่เหมาะสม

ไม่ว่าจะเป็นการประชุมเล็กๆ หรืองานใหญ่ ลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและราบรื่น ถ้าคุณทำได้ตามที่สัญญา ลูกค้าจะกลับมาจองอีกและแนะนำธุรกิจอื่นๆ มาหาคุณ จ้างมืออาชีพด้านอีเวนต์ที่รู้วิธีจัดงานประชุมให้สำเร็จ และจัดหาเครื่องมือเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อให้โรงแรมของคุณจัดงานประชุมได้อย่างยอดเยี่ยม

2. สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ

การมีเครือข่ายพันธมิตรที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสในการจองห้องประชุมของคุณ ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ ติดต่อบริษัททัวร์ ผู้จัดงานประชุม และมืออาชีพด้านอีเวนต์ในพื้นที่ แนะนำให้รู้จักห้องประชุมและบริการของโรงแรมคุณ เตรียมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด เช่น ขนาดห้อง อุปกรณ์ที่มี และแพ็กเกจราคา เพื่อให้พันธมิตรแนะนำลูกค้าองค์กรมาหาคุณได้ง่าย พิจารณาให้ค่าคอมมิชชั่นหรือสิทธิพิเศษแก่พันธมิตรที่ส่งลูกค้ามาให้

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเป็นเรื่องของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลองหาวิธีที่คุณจะช่วยธุรกิจของพันธมิตรได้บ้าง เช่น แนะนำลูกค้าให้พวกเขา หรือร่วมจัดโปรโมชั่นพิเศษด้วยกัน เมื่อคุณช่วยเหลือพันธมิตรของคุณ พวกเขาก็จะตอบแทนด้วยการส่งลูกค้ามาให้คุณเช่นกัน

3. แสดงสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจบนเว็บไซต์

ก่อนที่ลูกค้าใหม่จะจองห้องจัดงานของคุณ พวกเขาจะเข้าเว็บไซต์เพื่อดูสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ เมื่อคุณมีเว็บไซต์ที่สมบูรณ์ พร้อมรูปภาพล่าสุด รายการสิ่งอำนวยความสะดวก และแพ็กเกจประชุมองค์กร คุณจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่สนใจได้

เพื่อดึงดูดลูกค้าให้หลากหลายที่สุด ให้แบ่งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการประชุมเป็นแพ็กเกจที่รองรับงานทุกขนาด นอกจากจะช่วยให้คุณได้ลูกค้าองค์กรมากขึ้นแล้ว คุณยังอาจจัดงานขนาดเล็กหลายงานพร้อมกันได้ ซึ่งจะเพิ่มรายได้จากการประชุมแบบทวีคูณ

4. ให้ลูกค้าจองออนไลน์หรือส่งแบบฟอร์มติดต่อ

การไม่ติดตามลูกค้าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โรงแรมเสียโอกาสในการจัดประชุมและอีเวนต์ ทำให้ง่ายสำหรับลูกค้าในการจองห้อง โดยเพิ่มฟังก์ชันการจองออนไลน์ มีแบบฟอร์มติดต่อ หรือทั้งสองอย่าง

การรับจองออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาให้ผู้วางแผนการประชุม แต่อาจไม่เหมาะกับทุกสถานที่ หากคุณไม่รับจองออนไลน์สำหรับห้องประชุม ควรมีขั้นตอนการติดตามลูกค้า

แนวปฏิบัติที่ดีคือติดตามทางอีเมลหรือโทรศัพท์ภายใน 24 ชั่วโมง เพียงแค่ทำตามขั้นตอนนี้ จะช่วยเพิ่มจำนวนการจองประชุมได้อย่างมาก ลองคิดดูว่า นายหน้าจัดประชุมรายหนึ่งบ่นว่า 46% ของลูกค้าไม่เคยได้รับการติดต่อกลับจากโรงแรมที่พวกเขาสอบถามเรื่องการประชุม หรือได้รับการติดต่อกลับช้าเกินไป

5. ทดลองนำเสนอบริการแบบใหม่ๆ

หากห้องประชุมของคุณยังไม่มีคนจอง อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนวิธีการ เนื่องจากปัจจุบันมีคนทำงานนอกออฟฟิศหรือทำงานออนไลน์มากขึ้น จึงมีความต้องการห้องเช่าขนาดเล็กแบบรายชั่วโมง คุณอาจจัดการประชุมเล็กๆ หลายงานพร้อมกัน แต่ละงานมีผู้เข้าร่วม 50 คนหรือน้อยกว่า และเพิ่มบริการอาหารและเครื่องดื่มด้วย

มองห้องประชุมของคุณในมุมมองทางธุรกิจ การนำเสนอทุกสิ่งที่บริษัทต่างๆ ต้องการเพื่อจัดประชุมได้อย่างราบรื่น จะช่วยเพิ่มการจองและรายได้ของคุณ

ใช้เทคโนโลยีเพิ่มยอดจองและรายได้ให้โรงแรม

เทคโนโลยีคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักออนไลน์ในช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยว การนำโรงแรมไปลงในเว็บไซต์จองที่พักออนไลน์ (OTA) ให้มากที่สุด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเห็นและจองโรงแรมของคุณมากขึ้น

แต่การจัดการช่องทางออนไลน์หลายที่พร้อมกันนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือจุดที่เทคโนโลยีจัดการช่องทางการขาย (Channel Management) เข้ามาช่วย

การเชื่อมต่อแบบสองทางและเรียลไทม์ระหว่างระบบจองของโรงแรมและ/หรือระบบจัดการโรงแรม (PMS) กับระบบจัดจำหน่ายทั่วโลก (GDS) จะช่วยให้ทีมบริหารช่องทางการขายและพนักงานรับจอง และจัดการการจองใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

เพราะการจองออนไลน์จะอัพเดทในระบบจองของโรงแรมโดยอัตโนมัติ จึงไม่มีการจองที่ตกหล่นหรือสูญหาย การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์ยังช่วยอัพเดทจำนวนห้องว่างในระบบจองของโรงแรมโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยป้องกันการจองเกิน

SiteMinder มอบประโยชน์เหล่านี้และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยแพลตฟอร์มการจัดการธุรกิจโรงแรมอัจฉริยะที่ครบวงจรและบูรณาการ คุณจะใช้เวลากับงานบริหารโรงแรมน้อยลง และมีเวลาโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจมากขึ้น SiteMinder ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรงแรมขนาดกลางถึงใหญ่ เข้ามาแก้ปัญหางานจำเจในแต่ละวัน และช่วยให้คุณคว้าโอกาสทางธุรกิจที่อาจพลาดไปได้

]]>
วิธีเริ่มต้นทำแผนธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/hotel-business-plan/ Thu, 31 Oct 2024 05:24:19 +0000 https://www.siteminder.com/?p=179979 แผนธุรกิจโรงแรมคืออะไร?

แผนธุรกิจโรงแรม เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางสู่ความสำเร็จของคุณ มันไม่ใช่แค่เอกสารธรรมดา แต่เป็นภาพรวมที่ชัดเจนของเป้าหมาย กลยุทธ์ และการคาดการณ์ทางการเงินของโรงแรม ด้วยแผนที่ดี คุณจะสามารถดึงดูดนักลงทุน ขอสินเชื่อ และตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงานได้อย่างชาญฉลาด

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของโรงแรมมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้น ผู้บริหารที่ต้องการขยายกิจการ หรือนักธุรกิจที่มองหาวิธีปรับปรุงโรงแรมที่มีอยู่ แผนธุรกิจคือเครื่องมือสำคัญที่คุณขาดไม่ได้

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเรียนรู้วิธีสร้างแผนธุรกิจโรงแรมแบบครบวงจร เพื่อให้คุณมีแผนที่ชัดเจนในการนำพาธุรกิจของคุณไปสู่จุดหมาย

สารบัญ

ทำไมคุณถึงต้องมีแผนธุรกิจโรงแรมที่ดี?

แผนธุรกิจโรงแรมที่รอบคอบเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในวงการโรงแรมที่แข่งขันสูง ช่วยนำทางให้คุณรับมือกับทั้งความท้าทายและโอกาสในการบริหารโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • แผนธุรกิจที่ดีช่วยดึงดูดนักลงทุนและแหล่งเงินทุน ช่วยให้นักลงทุนเห็นศักยภาพในวิสัยทัศน์ของคุณทำให้สถาบันการเงินเชื่อมั่นในการคาดการณ์ทางการเงินของคุณ ช่วยในการตัดสินใจเชิงธุรกิจที่นำไปสู่ผลกำไร
  • วางแผนการตลาดได้แม่นยำ ระบุกลุ่มเป้าหมายของโรงแรมได้ชัดเจน ออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้า
  • สร้างความโดดเด่นในตลาด ช่วยให้คุณนำเสนอจุดขายที่แตกต่าง (USP) ของโรงแรมได้อย่างชัดเจน โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งที่มีมากมายในอุตสาหกรรมโรงแรม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้การบริหารจัดการรายวันมีประสิทธิภาพ ช่วยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
  • วางแผนการเติบโตในระยะยาว ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสในการขยายกิจการ วางแผนการเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

วิธีเขียนแผนธุรกิจโรงแรม

โรงแรมแต่ละแห่งอาจมีจุดขายไม่เหมือนกัน แต่แผนธุรกิจโรงแรมที่มีประสิทธิภาพมักมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

บทสรุปสำหรับผู้บริหารคือภาพรวมกระชับของแผนธุรกิจโรงแรมของคุณ ที่มีเป้าหมายสำคัญ กลยุทธ์ และการคาดการณ์ทางการเงิน คุณควรเขียนส่วนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย หลังจากเสร็จสิ้นส่วนอื่นๆ ทั้งหมด โดยต้องเขียนให้เข้าใจง่ายสำหรับผู้อ่านทุกคน

ส่วนประกอบสำคัญของบทสรุปสำหรับผู้บริหาร:

  • คอนเซปโรงแรม: อธิบายจุดเด่นของโรงแรม กลุ่มเป้าหมาย และวิสัยทัศน์โดยรวม
  • เป้าหมายหลัก: ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ เช่น การเพิ่มอัตราการเข้าพัก การเพิ่มรายได้ หรือการขยายเครือโรงแรม
  • กลยุทธ์การตลาด: เน้นแผนการตลาดหลัก เช่น การโฆษณาออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดีย หรือการร่วมมือกับบริษัททัวร์
  • การคาดการณ์ทางการเงิน: สรุปรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
  • ความต้องการด้านเงินทุน: ระบุความต้องการด้านการเงิน เช่น เงินกู้จากธนาคาร นักลงทุน หรือเงินทุนส่วนตัว

รายละเอียดธุรกิจ

ส่วนนี้อธิบายแนวคิดของโรงแรม รวมถึงทำเล กลุ่มเป้าหมาย จุดขายที่โดดเด่น และวิสัยทัศน์โดยรวม

ประเด็นสำคัญที่ควรระบุในรายละเอียดธุรกิจ:

  • ชื่อและแบรนด์โรงแรม: สร้างอัตลักษณ์และแบรนด์ของโรงแรม
  • ทำเล: อธิบายทำเลที่ตั้ง รวมถึงความใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว ระบบขนส่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
  • กลุ่มเป้าหมาย: ระบุลักษณะของลูกค้าในอุดมคติ รวมถึงข้อมูลประชากรศาสตร์ ความสนใจ และพฤติกรรมการท่องเที่ยว
  • จุดขายที่โดดเด่น (USPs): ระบุจุดเด่นและข้อดีที่ทำให้โรงแรมของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ บริการเฉพาะ หรือบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์
  • คอนเซปและวิสัยทัศน์โรงแรม: อธิบายวิสัยทัศน์โดยรวมของโรงแรมและประสบการณ์ที่ต้องการมอบให้แขก
  • สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรม: ระบุรายละเอียดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น จำนวนห้องพัก ประเภทห้อง ร้านอาหาร ห้องประชุม และกิจกรรมนันทนาการ

การวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์

การวางแผนธุรกิจโรงแรมมักจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ตลาดเป็นพื้นฐานสำคัญ เพราะคุณไม่สามารถวางแผนสิ่งที่คุณไม่รู้ได้ ดังนั้น การวิเคราะห์ตลาดจึงมักจะใช้ทรัพยากรและเวลาค่อนข้างมาก กลยุทธ์การตลาดของคุณควรประกอบด้วย:

  • การวางจุดยืนในตลาด: คุณอยากให้ลูกค้ามองโรงแรมคุณยังไงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง?
  • ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย: กลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการจะเข้าถึงคือใคร?
  • ช่องทางการตลาด: คุณจะใช้วิธีไหนบ้างในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย? (เช่น โฆษณาออนไลน์ โซเชียลมีเดีย อีเมลมาร์เก็ตติ้ง ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ จัดอีเวนต์)
  • ข้อความหลักทางการตลาด: คุณจะสื่อสารอะไรกับกลุ่มเป้าหมาย?
  • งบประมาณและการวัดผล: คุณจะทุ่มงบด้านการตลาดเท่าไหร่ และจะวัดความสำเร็จของแคมเปญยังไง?

ในการวิเคราะห์ตลาด ควรระบุรายละเอียดต่อไปนี้:

  • ขนาดตลาดและการเติบโต: วิเคราะห์และประเมินอัตราการเข้าพักโรงแรมในพื้นที่เป้าหมายของคุณ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การเติบโตของประชากร แนวโน้มการท่องเที่ยว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น
  • การแข่งขัน: วิเคราะห์คู่แข่งทั้งทางตรง (โรงแรมอื่นๆ) และทางอ้อม (ที่พักประเภทอื่น เช่น วิลล่า โฮสเทล หรือโฮมสเตย์) ศึกษาราคา บริการ กลยุทธ์การตลาด และรีวิวจากลูกค้าของคู่แข่ง
  • กลุ่มเป้าหมาย: กำหนดลักษณะของลูกค้าในอุดมคติ รวมถึงอายุ รายได้ จุดประสงค์การเดินทาง (เพื่อพักผ่อน ธุรกิจ ครอบครัว) ความสนใจ และความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการ
  • แนวโน้มตลาด: ติดตามเทรนด์การท่องเที่ยวล่าสุดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เช่น การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน การท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ หรือเชิงเวลเนส (wellness)

hotel business plan

แผนการตลาดและการขาย

เมื่อคุณได้วางโครงร่างของโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องวางแผนการตลาดและการขาย ส่วนนี้มีความสำคัญมากเพราะจะแสดงให้นักลงทุนและผู้ให้กู้เห็นว่าคุณมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าและสร้างรายได้ ในส่วนนี้ คุณควรระบุรายละเอียดดังต่อไปนี้:

  • การตลาดออนไลน์: การพัฒนาเว็บไซต์ของโรงแรม กลยุทธ์การใช้โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, LINE OA และแผนการทำ SEO เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ ในกูเกิ้ล
  • การตลาดออฟไลน์: การทำสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น แผ่นพับ นามบัตร การร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น เช่น บริษัททัวร์ ร้านอาหาร การจัดอีเวนต์หรือเข้าร่วมงานท่องเที่ยว
  • ช่องทางการขาย: วิธีกำหนดกลยุทธ์การขายห้องพักของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการจองตรงกับโรงแรม ผ่านเว็บไซต์ตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) หรือใช้ทั้งสองช่องทางร่วมกัน
  • กลยุทธ์การตั้งราคา: การตั้งราคาห้องพักให้จูงใจและแข่งขันได้ การนำกลยุทธ์บริหารรายได้มาใช้เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้

โครงสร้างองค์กร

ส่วนนี้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างการเป็นเจ้าของ ทีมผู้บริหาร และบุคลากรสำคัญของโรงแรมคุณ

ควรมีข้อมูลต่อไปนี้:

  • โครงสร้างการเป็นเจ้าของ: อธิบายรูปแบบทางกฎหมายของโรงแรม (เช่น เจ้าของคนเดียว, ห้างหุ้นส่วน, บริษัทจำกัด, บริษัทมหาชน) และระบุว่าใครเป็นเจ้าของธุรกิจ
  • ทีมผู้บริหาร: แนะนำสมาชิกหลักในทีมผู้บริหาร พร้อมระบุประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และบทบาทในโรงแรม
  • บุคลากรสำคัญ: ระบุบุคลากรสำคัญอื่นๆ เช่น ผู้จัดการทั่วไป หัวหน้าเชฟ หัวหน้าแผนกแม่บ้าน และผู้จัดการฝ่ายขาย
  • คณะที่ปรึกษา (ถ้ามี): หากมีคณะที่ปรึกษา ให้แนะนำพวกเขาและเน้นย้ำความเชี่ยวชาญและการมีส่วนร่วมในธุรกิจ

แผนการดำเนินงาน

แผนการดำเนินงานเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจ เพราะอธิบายการทำงานประจำวันของโรงแรม ส่วนสำคัญที่สุดสองส่วนของแผนการดำเนินงานคือ:

1. การจัดการและการจ้างงาน

อธิบายโครงสร้างการจัดการ ความต้องการด้านบุคลากร และแผนการฝึกอบรม

ประเด็นสำคัญที่ควรครอบคลุม:

  • โครงสร้างการจัดการ: แสดงวิธีการจัดการทีมบริหาร รวมถึงสายการรายงานและความรับผิดชอบ
  • ความต้องการด้านบุคลากร: กำหนดจำนวนพนักงานที่ต้องการในแต่ละแผนก (ต้อนรับ แม่บ้าน ซ่อมบำรุง อาหารและเครื่องดื่ม ฯลฯ) ตามการคาดการณ์อัตราการเข้าพักและระดับการบริการ
  • การฝึกอบรมพนักงาน: ระบุแผนการฝึกอบรมสำหรับพนักงานใหม่และพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะและความรู้ในการให้บริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม

2. งบประมาณ

ในส่วนนี้ ควรระบุค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของโรงแรม รวมถึงค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าบำรุงรักษา ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ

เมื่อทำงบประมาณ ให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้:

  • ต้นทุนคงที่: ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างคงที่ เช่น ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ค่าประกันภัย และเงินเดือน
  • ต้นทุนผันแปร: ค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามอัตราการเข้าพักหรือการใช้งาน เช่น ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ค่าผ้าปูที่นอน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และต้นทุนอาหารและเครื่องดื่ม
  • การตลาดและการโฆษณา: จัดสรรงบประมาณสำหรับกิจกรรมการตลาดเพื่อดึงดูดแขกและโปรโมทโรงแรม
  • เงินสำรองฉุกเฉิน: กันเงินไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือเหตุฉุกเฉิน
  • การคาดการณ์ทางการเงิน: ใช้งบประมาณเพื่อสร้างการคาดการณ์ทางการเงิน รวมถึงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

งบประมาณที่วางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ให้กู้ว่าคุณเข้าใจต้นทุนและความเป็นไปได้ทางการเงินของธุรกิจอย่างแท้จริง

รายได้และการตั้งราคา

ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก! ตรงนี้คุณจะได้วางแผนแหล่งรายได้ของโรงแรม ทั้งจากค่าห้องพัก ยอดขายอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงรายได้เสริมอื่นๆ นี่เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้อธิบายกลยุทธ์การตั้งราคาและวิธีการที่จะทำให้โรงแรมของคุณอยู่รอดได้ทางการเงิน

ในส่วนของรายได้และการกำหนดราคา ควรมีข้อมูลดังต่อไปนี้:

  • แหล่งที่มาของรายได้: ระบุแหล่งรายได้ที่เป็นไปได้ทั้งหมด เช่น ค่าห้องพัก ยอดขายอาหารและเครื่องดื่ม ค่าเช่าห้องประชุม บริการสปา และบริการซักรีด
  • กลยุทธ์การกำหนดราคา: อธิบายวิธีการกำหนดราคาห้องพัก รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การแข่งขันในตลาด ช่วงเทศกาล และบริการเสริมที่ช่วยเพิ่มมูลค่าา
  • การคาดการณ์รายได้: ประมาณการรายได้ที่คาดว่าจะได้รับจากแต่ละแหล่งรายได้ โดยอิงจากการคาดการณ์อัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่มี (RevPAR)
  • การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน: คำนวณจุดที่โรงแรมของคุณจะเริ่มทำกำไรได้

ส่วนนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพในการทำกำไรของโรงแรมคุณ และทำให้นักลงทุนและผู้ให้กู้มั่นใจในการวางแผนทางการเงินของคุณ

การวิเคราะห์คู่แข่ง

ส่วนนี้เป็นการต่อยอดจากการสำรวจตลาดที่คุณได้ทำไว้ก่อนหน้า โดยจะช่วยให้คุณเข้าใจตำแหน่งของโรงแรมในตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ คุณจะได้เปรียบเทียบบริการและกลยุทธ์ของโรงแรมคุณกับคู่แข่ง รวมถึงค้นหาจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ และวิธีที่จะทำให้โรงแรมของคุณแตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้า

ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์คู่แข่งอย่างละเอียดสำหรับแผนธุรกิจของคุณ:

  • ระบุคู่แข่งของคุณ: ศึกษาคู่แข่งทางตรง (โรงแรมในกลุ่มตลาดเดียวกัน) ศึกษาคู่แข่งทางอ้อม (ที่พักรูปแบบอื่น เช่น บ้านพักตากอากาศ โฮสเทล หรือโฮมสเตย์)
  • วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง: ประเมินบริการ ราคา ทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก การตลาด การบริการลูกค้า และชื่อเสียงออนไลน์
  • ระบุจุดขายที่โดดเด่นของคุณ (USPs): หาสิ่งที่ทำให้โรงแรมคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ บริการเฉพาะตัว หรือบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์
  • หาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของคุณ: วิธีที่คุณจะใช้ USPs เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
  • ติดตามคู่แข่ง: อธิบายวิธีที่คุณจะติดตามกิจกรรม โปรโมชัน และการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของคู่แข่งเพื่อรักษาความได้เปรียบ

การบริหารความเสี่ยง

ในส่วนนี้ คุณจะระบุความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของโรงแรม เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง หรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งอธิบายกลยุทธ์การรับมือและวิธีลดผลกระทบจากความเสี่ยงเหล่านี้

ลองใช้กรอบนี้ในการระบุและจัดการความเสี่ยง:

  • ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น: บอกถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลเสียต่อโรงแรม ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ เทรนด์อุตสาหกรรม คู่แข่ง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
  • ประเมินโอกาสเกิดและผลกระทบของแต่ละความเสี่ยง: วิเคราะห์ว่าแต่ละความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง
  • วางแผนรับมือ: สร้างแผนรับมือสำหรับแต่ละความเสี่ยง เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และอธิบายแผนนั้นในเอกสารอย่างกระชับ อาจรวมถึงแผนสำรอง การทำประกัน กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก หรือการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
  • กล่าวถึงวิธีติดตามและปรับปรุงแผน: อธิบายว่าคุณจะทบทวนและปรับปรุงแผนบริหารความเสี่ยงอย่างไร เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงหรือมีความเสี่ยงใหม่ๆ เกิดขึ้น

แผนจัดการความเสี่ยงที่ดีจะแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความสามารถในการรับมือกับความท้าทาย ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้ให้กู้

การคาดการณ์และความต้องการทางการเงิน

ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด คุณจะต้องแสดงการคาดการณ์ทางการเงินอย่างละเอียด รวมถึงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรที่คาดว่าจะได้รับในอีก 3-5 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งระบุความต้องการด้านเงินทุน เช่น เงินกู้จากธนาคาร นักลงทุน หรือเงินทุนส่วนตัว ส่วนนี้มีความสำคัญมากหากคุณกำลังมองหาเงินทุนหรือการลงทุนเพิ่มเติมจากบุคคลที่สาม

การคาดการณ์ทางการเงินของคุณควรประกอบด้วย:

  • งบกำไรขาดทุน: คาดการณ์รายได้และค่าใช้จ่ายของโรงแรมในแต่ละปีเป็นเวลา 3-5 ปี
  • งบกระแสเงินสด: คาดการณ์กระแสเงินสดเข้าและออก เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีเงินสดเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการชำระหนี้
  • งบดุล: คาดการณ์สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของในแต่ละปี
  • การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน: กำหนดจุดที่โรงแรมของคุณจะเริ่มทำกำไรได้

ส่วนนี้จะให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางการเงินของโรงแรม ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนและทำให้ได้รับเงินทุน

การใช้เทคโนโลยี

ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จของโรงแรม แผนของคุณต้องรวมถึงวิธีที่คุณจะใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน เพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า และเพิ่มรายได้

หัวข้อสำคัญที่ควรกล่าวถึง:

  • ระบบจัดการโรงแรม (PMS): คุณใช้ PMS อะไรในการจัดการการจอง ข้อมูลลูกค้า ห้องพัก และธุรกรรมทางการเงิน
  • ระบบจัดการช่องทางการขาย: คุณเชื่อมต่อโรงแรมกับ OTA และ GDS อย่างไรเพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้า
  • ซอฟต์แวร์บริหารรายได้: คุณใช้เครื่องมือใดในการวิเคราะห์ความต้องการ ปรับราคา และเพิ่มรายได้
  • การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM): คุณมีวิธีใช้ระบบ CRM อย่างไรบ้าง เพื่อติดตามความชอบของลูกค้า จัดการการสื่อสาร และสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละราย?
  • แพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัล: คุณใช้เครื่องมือใดในการทำการตลาดออนไลน์ โฆษณา การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย และแคมเปญอีเมล
  • แอพมือถือ: คุณมีแผนพัฒนาหรือใช้แอพมือถือเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลโรงแรม สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการต่างๆ หรือไม่
  • เทคโนโลยีอัจฉริยะในที่พัก: คุณได้ลงทุนในอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอะไรบ้าง เช่น กุญแจอัจฉริยะ ผู้ช่วยเสียง หรือระบบไฟอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แขกและยกระดับประสิทธิภาพการบริการของคุณ?

ส่วนนี้จะแสดงให้นักลงทุนและผู้ให้กู้เห็นว่าคุณเข้าใจความสำคัญของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโรงแรม และมีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

ตัวอย่างแผนธุรกิจโรงแรม

เป้าหมายสุดท้ายของการวางแผนธุรกิจโรงแรมควรเป็นอย่างไร? แน่นอนว่าโรงแรมแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ดังนั้นแผนธุรกิจย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เราขอยกตัวอย่างแผนธุรกิจโรงแรมในรูปแบบต่างๆ (แบบย่อ) มาให้คุณได้เห็นภาพกัน

ต่อไปนี้คือตัวอย่างแผนธุรกิจสำหรับโรงแรมประเภทต่างๆ:

แผนธุรกิจโรงแรมสัตว์เลี้ยง

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

  • คอนเซปต์: “พอว์ซิทีฟลี่ แพมเพอร์ด” (Pawsitively Pampered) เป็นโรงแรมสุดหรูสำหรับสัตว์เลี้ยง ให้บริการรับฝากดูแลในบรรยากาศที่อบอุ่น ปลอดภัย และส่งเสริมความสุขของเหล่าสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจร
  • กลุ่มเป้าหมาย: เจ้าของสุนัขและแมวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ต้องการบริการดูแลสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง พร้อมการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
  • เป้าหมายหลัก: ทำยอดการเข้าพัก 80% ภายในปีแรก และขยายบริการเพิ่มเติม เช่น รับฝากระหว่างวันและบริการอาบน้ำตัดขน ภายใน 2 ปี
  • การตลาด: เน้นการโฆษณาออนไลน์ ร่วมมือกับคลินิกสัตว์แพทย์ในพื้นที่ และใช้โซเชียลมีเดียนำเสนอการดูแลแบบส่วนตัว
  • การเงิน: คาดการณ์รายได้ปีละ X บาท กำไรสุทธิ Y% ภายในปีแรก ต้องการเงินลงทุนเริ่มต้น Z บาทสำหรับค่าใช้จ่ายในการเปิดกิจการ

2. รายละเอียดธุรกิจ

  • ชื่อและแบรนด์: พอซิทีฟลี่ แพมเพอร์ด เน้นความหรูหรา การดูแลเอาใจใส่ และการให้บริการเฉพาะบุคคล
  • ทำเล: [ที่อยู่] ใกล้ถนนใหญ่และคลินิกสัตวแพทย์
  • กลุ่มเป้าหมาย: เจ้าของสุนัขและแมวที่ใส่ใจสุขภาพสัตว์เลี้ยง พร้อมจ่ายเพื่อบริการคุณภาพสูง รวมถึงคนที่เดินทางบ่อย มีไลฟ์สไตล์ยุ่ง หรือต้องการให้สัตว์เลี้ยงได้เข้าสังคม
  • จุดขายหลัก: ห้องพักกว้างขวาง แผนการดูแลส่วนบุคคล กิจกรรมเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี กล้องเว็บแคมสำหรับเจ้าของ และบริการอาบน้ำตัดขน
  • วิสัยทัศน์: มุ่งสู่การเป็นโรงแรมสัตว์เลี้ยงชั้นนำในย่าน ที่มอบประสบการณ์ปลอดภัย ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดี และสร้างความสุขให้กับสัตว์เลี้ยงทุกตัว
  • สิ่งอำนวยความสะดวก: ห้องพักหลากหลายขนาด พื้นที่เล่นทั้งในร่มและกลางแจ้ง มุมพิเศษสำหรับแมว บริการอาบน้ำตัดขน และส่วนปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์เลี้ยง

3. การวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์

  • ขนาดตลาดและการเติบโต: กรุงเทพฯ มีจำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น [สถิติการเลี้ยงสัตว์และการใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง]
  • คู่แข่ง: [รายชื่อโรงแรมสัตว์เลี้ยงในพื้นที่] เน้นเปรียบเทียบราคา บริการ และกลุ่มเป้าหมาย ชูจุดเด่นของพอซิทีฟลี่ แพมเพอร์ด
  • กลุ่มเป้าหมาย: [ข้อมูลประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ ความต้องการด้านการดูแล ความเต็มใจจ่ายสำหรับบริการพรีเมียม]
  • เทรนด์: การมองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว ความต้องการบริการส่วนตัว โปรแกรมเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี และเทคโนโลยีสำหรับติดตามดูสัตว์เลี้ยง

4. การตลาดและการขาย

  • ออนไลน์: เว็บไซต์มืออาชีพพร้อมระบบจอง โซเชียลมีเดียนำเสนอภาพสัตว์เลี้ยงที่มีความสุข รีวิว และภาพเบื้องหลังการดูแล
  • ออฟไลน์: ร่วมมือกับคลินิกสัตวแพทย์ ร้านอาบน้ำตัดขน และร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงในพื้นที่ แจกใบปลิวและโบรชัวร์ เข้าร่วมงานเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและกิจกรรมชุมชน
  • การขาย: รับจองผ่านเว็บไซต์โดยตรง ร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง และวางแผนเพิ่มบริการฝากระหว่างวันและอาบน้ำตัดขนในอนาคต
  • ราคา: กำหนดราคาตามขนาดห้อง ประเภทสัตว์เลี้ยง และระยะเวลาพัก พร้อมแพ็คเกจพิเศษสำหรับบริการส่วนตัวและเวลาเล่นเพิ่มเติม

5. โครงสร้างองค์กร

  • เจ้าของ: [ชื่อเจ้าของ] [ประวัติและประสบการณ์ในการดูแลสัตว์เลี้ยง]
  • ผู้จัดการ: [เจ้าของ] [ผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลสัตว์และการบริหาร]
  • บุคลากร: ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสัตว์เลี้ยงที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรอง พร้อมการอบรมด้านการจัดการสัตว์ การปฐมพยาบาล และกิจกรรมเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี

6. แผนการดำเนินงาน

  • โครงสร้างการจัดการ: [เจ้าของ] [ผู้จัดการฝ่ายบุคคล] พร้อมบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • การจัดการพนักงาน: [จำนวนพนักงาน] ตามการคาดการณ์อัตราการเข้าพัก เน้นการจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงที่มีใจรักและประสบการณ์
  • การฝึกอบรม: จัดอบรมต่อเนื่องให้พนักงานในด้านการดูแลสัตว์ การจัดการ การปฐมพยาบาล และกิจกรรมเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดี
  • งบประมาณ: [ค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์สำหรับเงินเดือนพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค วัสดุสิ้นเปลือง การตลาด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ]

7. รายได้และการกำหนดราคา

  • แหล่งที่มาของรายได้: ค่าบริการฝากเลี้ยง ค่าบริการรับฝากระหว่างวัน (ในอนาคต) ค่าบริการอาบน้ำตัดขน (ในอนาคต) และอาจมีการขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง
  • กลยุทธ์การตั้งราคา: ตั้งราคาที่แข่งขันกับตลาดได้ตามการวิเคราะห์ มีแพ็คเกจหลายระดับตามบริการและกิจกรรมส่งเสริมความสุขน้องหมาน้องแมวที่แตกต่างกัน
  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [คาดการณ์รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า ตามอัตราการเข้าพัก ราคา และต้นทุนการดำเนินงาน]

8. การวิเคราะห์คู่แข่ง

  • การเปรียบเทียบ: เปรียบเทียบบริการของพอซิทีฟลี่ แพมเพอร์ด กับคู่แข่ง เน้นจุดเด่นด้านบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และราคา
  • จุดขายเฉพาะ: เน้นการดูแลส่วนบุคคล กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ และบรรยากาศ “บ้านหลังที่สอง” สำหรับสัตว์เลี้ยง
  • ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน: นำเสนอประสบการณ์การดูแลสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว

9. การบริหารความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น: ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง การแข่งขันในตลาด ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยง โอกาสการเกิดรีวิวเชิงลบออนไลน์
  • วิธีรับมือความเสี่ยง: วางแผนสำรองรับมือภาวะเศรษฐกิจผันผวน ทำการตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพของสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก กำหนดขั้นตอนการตอบสนองต่อรีวิวเชิงลบอย่างเป็นระบบ

10. การคาดการณ์ทางการเงินและการหาเงินทุน

  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [ประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า]
  • เงินทุน: [จำนวนเงินทุนที่ต้องการ] สำหรับค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นกิจการ ประกอบด้วยค่าปรับปรุงตกแต่งโรงแรม ค่าอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ งบการตลาดและประชาสัมพันธ์ เงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานในช่วงแรก

แผนธุรกิจบูทีคโฮเทล

1. บทสรุปผู้บริหาร

  • คอนเซป: “The Urban Retreat” เป็นบูทีคโฮเทลสไตล์ชิคใจกลาง[เมือง, จังหวัด] ที่มอบประสบการณ์หรูหราและเป็นส่วนตัวสำหรับนักเดินทางที่มีรสนิยม
  • กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางที่ต้องการที่พักสไตล์เฉพาะตัว บริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และประสบการณ์พิเศษที่ปรับแต่งตามความชอบส่วนตัวในทำเลใจกลางเมือง
  • เป้าหมายหลัก: ทำอัตราการเข้าพัก 75% ภายในปีแรก ขยายกิจการเพิ่มบาร์บนดาดฟ้าและร้านอาหารภายใน 2 ปี
  • การตลาด: เน้นแพลตฟอร์มจองออนไลน์ โซเชียลมีเดียนำเสนอดีไซน์สวยๆของโรงแรมและบรรยากาศของบูทีคโฮเทล และร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น
  • การเงิน: คาดการณ์รายได้ปีละ x บาท กำไรสุทธิ y% ในปีแรก ต้องการเงินทุน z บาทสำหรับการเริ่มต้นและปรับปรุงรีโนเวท

2. รายละเอียดเชิงธุรกิจ

  • ชื่อและแบรนด์: “The Urban Retreat” สื่อถึงความผ่อนคลายและความหรูหราในบรรยากาศเมืองที่มีชีวิตชีวา
  • ทำเล: [ที่อยู่, เมือง, จังหวัด] ย่านทันสมัยใกล้แหล่งศิลปะ วัฒนธรรม และไนท์ไลฟ์
  • กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางที่มีรสนิยม นักธุรกิจ และคู่รักที่ต้องการที่พักสไตล์เฉพาะตัว บริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด และประสบการณ์พิเศษที่ปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละคน
  • จุดขายเฉพาะ: ดีไซน์สุดชิค ผสมผสานงานศิลปะท้องถิ่นอย่างลงตัว ห้องพักสบายๆ ปรับแต่งได้ตามใจชอบ สัมผัสประสบการณ์แบบคนใน เจาะลึกวิถีชีวิตท้องถิ่น แนะนำร้านเด็ด จุดเช็คอินเก๋ๆ ที่คนท้องถิ่นโปรดปราน บริการส่วนตัวแบบใส่ใจทุกความต้องการของแขก
  • วิสัยทัศน์: เป็นบูทีคโฮเทลอันดับหนึ่งใน[เมือง, จังหวัด] ที่มอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล หรูหรา และน่าประทับใจสำหรับนักเดินทางที่มองหาประสบการณ์พิเศษ
  • สิ่งอำนวยความสะดวก: แต่ละห้องตกแต่งไม่ซ้ำใคร สไตล์เก๋ไก๋เฉพาะตัว มุมพักผ่อนสุดชิล พร้อมห้องสมุดขนาดย่อมที่คัดสรรหนังสือมาอย่างดี บาร์บนดาดฟ้า ชมวิวเมืองแบบ 360 องศา สุดอลังการ ร้านอาหารขนาดกะทัดรัด บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง เสิร์ฟเมนูตามฤดูกาลที่คัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน

3. การวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์

  • ตลาดที่กำลังเติบโต: [ชื่อเมือง/จังหวัด] เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะความต้องการที่พักสไตล์บูทีคและประสบการณ์ท่องเที่ยวแปลกใหม่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • การแข่งขัน: [รายชื่อบูทีคโฮเทลในพื้นที่] พร้อมวิเคราะห์ราคา บริการ และกลุ่มเป้าหมาย เน้นจุดแข็งของ The Urban Retreat ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง
  • กลุ่มเป้าหมาย: [ข้อมูลประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการท่องเที่ยว ความชื่นชอบบูทีคโฮเทล และความเต็มใจจ่ายสำหรับประสบการณ์พิเศษ]
  • เทรนด์: ลูกค้าให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์มากขึ้น นิยมบริการที่ปรับให้เข้ากับความต้องการส่วนตัว ชื่นชอบอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น รวมถึงให้ความสนใจกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน

4. การตลาดและการขาย

  • ออนไลน์: เว็บไซต์คุณภาพสูงพร้อมภาพถ่ายสวยงามแสดงการออกแบบของโรงแรม ระบบจองออนไลน์มืออาชีพ และการใช้โซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอเพื่อแจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น
  • ออฟไลน์: ร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่น แกลเลอรี่ศิลปะ และผู้จัดงานอีเวนต์เพื่อนำเสนอแพ็คเกจและโปรโมชั่น ร่วมงานกับบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวและอินฟลูเอนเซอร์เพื่อแชร์ประสบการณ์เข้าพักกับทางโรงแรม
  • การขาย: รับจองโดยตรงผ่านเว็บไซต์ ร่วมมือกับ OTA และอาจเข้าร่วมงานอีเวนต์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
  • การตั้งราคา: ราคาแข่งขันได้ตามการวิเคราะห์ตลาด โดยตั้งราคาพรีเมียมสำหรับห้องสวีทและประสบการณ์พิเศษ

5. โครงสร้างองค์กร

  • เจ้าของ: [ชื่อเจ้าของ], [ประวัติและประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมและการออกแบบ]
  • การบริหาร: [เจ้าของ], [ผู้จัดการทั่วไปที่มีประสบการณ์ในบูทีคโฮเทลและการบริการลูกค้า]
  • บุคลากร: พนักงานที่มีใจรักงานบริการ มีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่น และเน้นการให้บริการแบบส่วนบุคคล.

6. แผนการดำเนินงาน

  • โครงสร้างการบริหาร: [เจ้าของ], [ผู้จัดการทั่วไป], [หัวหน้าเชฟ], [หัวหน้าฝ่ายต้อนรับ] พร้อมบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • การจ้างงาน: [จำนวนพนักงาน] ตามอัตราการเข้าพักที่คาดการณ์ เน้นจ้างพนักงานที่เป็นมิตรและมีความรู้
  • การฝึกอบรม: จัดอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่องในด้านการบริการลูกค้า ความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น และการบริการแบบเฉพาะบุคคล
  • งบประมาณ: [ค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์สำหรับเงินเดือนพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค วัสดุสิ้นเปลือง การตลาด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ]

7. รายได้และการตั้งราคา

  • แหล่งรายได้: รายได้จากห้องพัก ร้านอาหาร บาร์ และพื้นที่จัดงาน
  • กลยุทธ์การตั้งราคา: ตั้งราคาที่แข่งขันในตลาดได้ตามการวิเคราะห์ตลาด โดยตั้งราคาพรีเมียมสำหรับห้องสวีท แพ็คเกจพิเศษ และประสบการณ์ที่ตรงใจแขกแต่ละคน
  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรที่คาดการณ์สำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า ตามอัตราการเข้าพัก ราคา และต้นทุนการดำเนินงาน]

8. การวิเคราะห์คู่แข่ง

  • การเปรียบเทียบ: เปรียบเทียบบริการของ The Urban Retreat กับคู่แข่ง เน้นจุดเด่นด้านการออกแบบ บรรยากาศ สิ่งอำนวยความสะดวก และราคา
  • จุดขายเฉพาะ (USP): ดีไซน์ทันสมัย สะท้อนเสน่ห์ท้องถิ่น ประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบคนใน เจาะลึกวิถีชีวิตชุมชน บริการใส่ใจ ปรับแต่งตามความต้องการของแขกแต่ละคน กิจกรรมพิเศษ
  • ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน: มอบประสบการณ์พักผ่อนที่มีเอกลักษณ์และสไตล์ สำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบการค้นพบสิ่งใหม่ๆ และต้องการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง เราไม่ได้เป็นเพียงที่พัก แต่เป็นประตูสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและน่าจดจำ

9. การบริหารความเสี่ยง

  • ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น: เศรษฐกิจซบเซา พฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป การแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น ความผันผวนตามฤดูกาล เช่น ช่วงหน้าฝนที่นักท่องเที่ยวน้อยลง รีวิวออนไลน์เชิงลบที่อาจส่งผลต่อชื่อเสียง
  • แผนรับมือความเสี่ยง: วางแผนสำรองรับมือภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น การปรับลดต้นทุนอย่างชาญฉลาด ทำการตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ มุ่งเน้นสร้างความประทับใจให้ลูกค้า เพื่อให้เกิดรีวิวเชิงบวกและการบอกต่อ จับมือกับธุรกิจท้องถิ่น เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร

10. แผนการเงินและแหล่งเงินทุน

  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [ประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรสำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า]
  • แหล่งเงินทุน: เงินลงทุนเริ่มต้น [จำนวนเงิน] บาท สำหรับเริ่มต้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรีโนเวท จัดซื้อเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ การตลาดและประชาสัมพันธ์ เงินทุนหมุนเวียน

แผนธุรกิจโรงแรมหรู

1. บทสรุปผู้บริหาร

  • คอนเซป: “เดอะ แกรนด์ วิสต้า” เป็นโรงแรมหรูตั้งอยู่ใน [เมือง, จังหวัด] ที่มอบความสะดวกสบาย การบริการ และความเป็นส่วนตัวระดับพรีเมียมสำหรับลูกค้าระดับวีไอพีที่มีรสนิยมเฉพาะตัว
  • กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางที่มีกำลังซื้อสูง นักธุรกิจระดับผู้บริหาร และบุคคลที่ต้องการประสบการณ์หรูหราและเป็นส่วนตัว
  • เป้าหมายหลัก: ทำอัตราการเข้าพักให้ได้ 60% ภายในปีแรก ขยายบริการให้มีสปาระดับโลกและประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบส่วนตัวภายใน 2 ปี
  • การตลาด: เน้นทำงานร่วมกับบริษัทนำเที่ยวระดับไฮเอนด์ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวหรูออนไลน์ สร้างพันธมิตรเฉพาะกลุ่ม และทำการตลาดแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคลกับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
  • การเงิน: คาดการณ์รายได้ปีละ x บาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ y% ภายในปีแรก ระดมทุน z บาทสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ การปรับปรุงตกแต่ง และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับลักชูรี่

2. รายละเอียดธุรกิจ

  • ชื่อและแบรนด์: “เดอะ แกรนด์ วิสต้า” สื่อถึงความยิ่งใหญ่ ความเป็นส่วนตัว และวิวที่สวยงามตระการตา
  • ทำเล: [ที่อยู่, เมือง, จังหวัด] ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุด มีวิวพาโนรามา ใกล้แหล่งช้อปปิ้งหรู ร้านอาหารชั้นนำ และสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
  • กลุ่มเป้าหมาย: นักเดินทางที่มีกำลังซื้อสูง ต้องการความเป็นส่วนตัว บริการส่วนตัว ประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล และความรู้สึกพิเศษเหนือใคร
  • จุดขายเฉพาะ: ห้องพักและห้องสวีทหรูหราพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัว ทีมคอนเซียร์จส่วนตัวให้บริการแบบเฉพาะบุคคล ประสบการณ์การรับประทานอาหารส่วนตัว เน้นความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายระดับสูงสุด
  • วิสัยทัศน์: เป็นจุดหมายปลายทางของการพักผ่อนระดับหรูที่ดีที่สุดใน [เมือง, จังหวัด] มอบประสบการณ์ที่เหนือชั้นสำหรับลูกค้าที่มีมาตรฐานสูงและใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และบริการส่วนตัว
  • สิ่งอำนวยความสะดวก: [จำนวนห้อง] ห้องตกแต่งหรูหรา พร้อมบริการบัตเลอร์ ระเบียงส่วนตัว เทคโนโลยีทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะบุคคล ร้านอาหารสุดพิเศษพร้อมเชฟระดับรางวัล สปาครบวงจร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำบนดาดฟ้าพร้อมวิวเมืองที่สวยงาม

3. การวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์

  • ขนาดตลาดและการเติบโต: [เมือง, จังหวัด] ดึงดูดนักเดินทางที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนมาก โดยมีความต้องการโรงแรมหรูและประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
  • คู่แข่ง: [รายชื่อโรงแรมหรูในพื้นที่] พร้อมวิเคราะห์ราคา บริการ และกลุ่มเป้าหมายของแต่ละที่ เน้นย้ำจุดเด่นของ เดอะ แกรนด์ วิสต้า ที่เหนือกว่าคู่แข่ง
  • กลุ่มเป้าหมาย: [ข้อมูลประชากรศาสตร์, พฤติกรรมการเดินทาง, ความชอบเกี่ยวกับโรงแรมหรู, ความเต็มใจจ่ายสำหรับประสบการณ์พิเศษ]
  • เทรนด์: ความต้องการบริการส่วนตัว ประสบการณ์ที่ถูกคัดสรรมาเป็นพิเศษ การเข้าถึงสิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่ม และความยั่งยืนในการท่องเที่ยวระดับหรูกำลังเพิ่มขึ้น

4. การตลาดและการขาย

  • ออนไลน์: เว็บไซต์ดีไซต์ลักชูรี่พร้อมภาพถ่ายคุณภาพสูงแสดงความหรูหราของโรงแรม ส่วนคอนเซียร์จเฉพาะสำหรับจองประสบการณ์พิเศษ ปรากฏตัวบนแพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับหรู
  • ออฟไลน์: ร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวระดับไฮเอนด์ เข้าร่วมงานอีเวนต์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรู แคมเปญการตลาดเฉพาะกลุ่มสำหรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
  • การขาย: จองโดยตรงผ่านเว็บไซต์ ร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวระดับหรู มีทีมงานมืออาชีพคอยดูแลความต้องการพิเศษของแขกวีไอพีที่มีรสนิยมเฉพาะตัว
  • การกำหนดราคา: ราคาระดับพรีเมียมตามการวิเคราะห์ตลาด พร้อมแพ็คเกจส่วนตัวที่มีประสบการณ์พิเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะ และบริการที่ปรับแต่งตามความต้องการ

5. โครงสร้างองค์กร

  • เจ้าของ: [ชื่อเจ้าของ], [ประวัติและประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมหรูและการบริหารจัดการ]
  • ผู้บริหาร: [เจ้าของ], [ผู้จัดการทั่วไปที่มีประสบการณ์สูงในการบริหารโรงแรมหรูและการดูแลลูกค้า]
  • บุคลากร: พนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดีและมีประสบการณ์สูง เน้นการให้บริการส่วนตัว ใส่ใจดูแลในทุกรายละเอียด และมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้า

6. แผนการดำเนินงาน

  • โครงสร้างการบริหาร: [เจ้าของ], [ผู้จัดการทั่วไป], [หัวหน้าเชฟ], [ผู้อำนวยการสปา], [ผู้จัดการฝ่ายคอนเซียร์จ] พร้อมบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • การจัดการพนักงาน: [จำนวนพนักงาน] ตามการคาดการณ์อัตราการเข้าพัก เน้นการจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์และทุ่มเทให้กับการบริการระดับหรู
  • การฝึกอบรม: โปรแกรมฝึกอบรมเข้มข้นสำหรับพนักงานทุกคนในเรื่องมาตรฐานการบริการระดับหรู การสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล และการดูแลลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม
  • งบประมาณ: [ค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์สำหรับเงินเดือนพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค วัสดุสิ้นเปลือง การตลาด และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ รวมถึงการลงทุนที่สำคัญในสิ่งอำนวยความสะดวกและประสบการณ์ระดับหรู]

7. รายได้และการกำหนดราคา

  • แหล่งที่มาของรายได้: รายได้จากห้องพัก รายได้จากร้านอาหาร รายได้จากสปา รายได้จากงานอีเวนต์สุดพิเศษและประสบการณ์ส่วนตัว
  • กลยุทธ์การกำหนดราคา: ใช้ราคาระดับพรีเมียมตามผลการวิเคราะห์ตลาด พร้อมนำเสนอแพ็คเกจส่วนตัวที่มีประสบการณ์พิเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะตัว และบริการที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย
  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [ประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลกำไรสำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า โดยอ้างอิงจากอัตราการเข้าพัก การกำหนดราคา และต้นทุนการดำเนินงาน]

8. การวิเคราะห์คู่แข่ง

  • การเปรียบเทียบ: เปรียบเทียบบริการของเดอะ แกรนด์ วิสต้า กับคู่แข่ง โดยเน้นจุดเด่นที่แตกต่างในด้านการออกแบบ การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก และประสบการณ์พิเศษที่มอบให้ลูกค้า
  • จุดขายเฉพาะ (USP): ความเป็นส่วนตัวที่เหนือระดับ บริการส่วนตัวที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ประสบการณ์พิเศษที่ออกแบบเฉพาะบุคคล มุ่งมั่นที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนที่สมบูรณ์แบบสำหรับลูกค้าระดับวีไอพีที่มองหาประสบการณ์ไม่เหมือนใคร
  • ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน: มอบประสบการณ์ความหรูหราที่มากกว่าแค่ความสะดวกสบายทั่วไป โดยเน้นการสร้างความรู้สึกพิเศษเหนือใคร การดูแลเอาใจใส่แบบส่วนตัว และการเดินทางที่น่าจดจำสำหรับแขกทุกท่าน

9. การบริหารความเสี่ยง

  • ความเสี่ยง: ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์การท่องเที่ยวระดับหรู การแข่งขันจากแหล่งท่องเที่ยวหรูหราที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ เหตุการณ์ระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง รีวิวออนไลน์ในแง่ลบ
  • การบรรเทาความเสี่ยง: วางแผนรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำการตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจให้กับแขกและส่งเสริมให้เกิดรีวิวออนไลน์ในแง่บวก สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับบริษัทนำเที่ยวระดับหรูและอินฟลูเอนเซอร์ในวงการท่องเที่ยว

10. การคาดการณ์ทางการเงินและแหล่งเงินทุน

  • การคาดการณ์ทางการเงิน: [ประมาณการรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลกำไรสำหรับ 3-5 ปีข้างหน้า]
  • การระดมทุน: [จำนวนเงินทุนที่ต้องการ] สำหรับค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ การตลาด เงินทุนหมุนเวียน เงินลงทุนก้อนใหญ่ในสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูและประสบการณ์พิเศษสำหรับลูกค้า

เคล็ดลับและการทำแผนธุรกิจโรงแรมที่ดี

การทำแผนธุรกิจโรงแรมอาจเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ทั้งในแง่ของเวลาและทรัพยากร แต่มีวิธีที่จะช่วยให้แผนธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนในการจัดทำ:

  • รักษาความกระชับและตรงประเด็น อย่าพยายามลงรายละเอียดทุกอย่างในแผนธุรกิจโรงแรมของคุณ เพราะจะทำให้แผนบวมเกินไป ยกตัวอย่างเช่น การระบุตารางการทำความสะอาดห้องพักรายวันในแผนการดำเนินงานอาจไม่จำเป็นในระดับกลยุทธ์นี้ ควรรักษาแผนให้ชัดเจน กระชับ และเข้าใจง่าย
  • เน้นจุดแข็งของคุณ (แต่อย่าซ่อนจุดอ่อน) แผนธุรกิจควรเน้นย้ำจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมคุณ และสิ่งที่ทำให้คุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ แบรนด์ หรือทั้งหมดที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม อย่าทำผิดพลาดด้วยการใส่ข้อมูลผิดๆ: ระบุจุดที่ท้าทายของคุณอย่างตรงไปตรงมา และตามด้วยวิธีที่คุณจะจัดการกับจุดท้าทายต่างๆเหล่านั้น

อัพเดท อัพเดท และอัพเดท มีคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีแผนรบใดที่อยู่รอดหลังจากปะทะกับศัตรู” สิ่งเดียวกันนี้ก็เป็นจริงสำหรับแผนธุรกิจโรงแรม อย่ารอเป็นปีๆ ถึงจะอัพเดทแผนของคุณ ควรใช้เวลาอย่างน้อยปีละครั้งในการทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ตกยุคและพลาดโอกาส รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

]]>
สรุป CPOR สำหรับโรงแรม: ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก https://www.siteminder.com/th/r/cpor/ Wed, 30 Oct 2024 06:23:26 +0000 https://www.siteminder.com/?p=179975 CPOR คืออะไร?

CPOR หรือ Cost Per Occupied Room เป็นตัวชี้วัดสำคัญในธุรกิจโรงแรมที่ช่วยวัดประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไรของการดำเนินงานโรงแรม กล่าวง่ายๆ คือ CPOR คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสำหรับแต่ละห้องที่มีแขกเข้าพักนั่นเอง

CPOR มักจะถูกกำหนดโดยหลายปัจจัย และมักสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านการบริหารรายได้และการตลาดของโรงแรม

ต้นทุนผันแปรต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพักคืออะไร?

ต้นทุนผันแปรต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก คือค่าใช้จ่ายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนแขกในห้อง เช่นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าของใช้สิ้นเปลืองในห้องพัก (เช่น สบู่ แชมพู) ค่าซักรีด

ต้นทุนเหล่านี้แตกต่างจากต้นทุนคงที่ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนแขก เช่น เงินเดือนพนักงาน ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน ค่าประกันภัย และอื่นๆ

ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพักในแผนกแม่บ้านคืออะไร?

ในแผนกแม่บ้าน เรามีวิธีวัดประสิทธิภาพการทำงานที่เรียกว่า “ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก” หรือ CPOR (Cost Per Occupied Room) ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับที่ใช้ในภาพรวมของโรงแรม CPOR เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกถึงความคุ้มค่าในการดำเนินงานของแผนกแม่บ้าน โดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการทำความสะอาดและดูแลแต่ละห้องที่มีแขกเข้าพัก

CPOR นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และค่าอุปกรณ์ทำความสะอาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อผลประกอบการของแผนกแม่บ้าน

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ CPOR ในโรงแรมของคุณอย่างละเอียด พร้อมแนะนำวิธีจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจของคุณ

สารบัญ

ทำไมต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก (CPOR) ถึงสำคัญสำหรับโรงแรม?

ต้นทุนต่อห้องพักที่มีแขกเข้าพัก หรือ Cost Per Occupied Room (CPOR) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงแรม และเป็นแนวทางในการปรับปรุงการบริหารรายได้และเพิ่มกำไรให้ดียิ่งขึ้น

การใช้ CPOR เป็นตัวชี้วัดหลักช่วยให้คุณ:

  • ประเมินผลการดำเนินงานได้ชัดเจนขึ้น: CPOR ให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับสุขภาพทางการเงินของโรงแรม ยิ่ง CPOR ต่ำเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าธุรกิจของคุณบริหารจัดการต้นทุนและทรัพยากรได้ดี
  • วิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร: CPOR มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกำไรของโรงแรม CPOR ที่ต่ำหมายถึงคุณสร้างรายได้ต่อห้องพักได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่อัตรากำไรที่สูงขึ้น
  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: การวิเคราะห์ CPOR ช่วยให้โรงแรมระบุจุดที่สามารถลดต้นทุนได้ เช่น การปรับตารางการทำงานของพนักงาน การเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ หรือการใช้มาตรการประหยัดพลังงาน
  • เปรียบเทียบกับคู่แข่งได้แม่นยำ: คุเราสามารถเอา CPOR ไปเทียบกับมาตรฐานในวงการและคู่แข่งได้ ทำให้รู้ว่าเรากำลังทำได้ดีแค่ไหน และควรปรับปรุงอะไรบ้าง
  • ตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น: CPOR ช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้ดีขึ้น เช่น จะตั้งราคาห้องยังไง จะลงทุนอะไรเพิ่มดี หรือควรจ้างพนักงานเพิ่มไหม

วิธีคำนวณ CPOR

การคำนวณ CPOR ทำได้โดยนำค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดของโรงแรมหารด้วยจำนวนห้องพักที่มีผู้เข้าพักในช่วงเวลาที่กำหนด

ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น:

  • อัตราการเข้าพัก: อัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นมักทำให้ CPOR ต่ำลง
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: การจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพช่วยลด CPOR
  • กลยุทธ์การตั้งราคา: ราคาห้องพักที่สูงขึ้นสามารถเพิ่มรายได้และอาจทำให้ CPOR ต่ำลง
  • ประเภทของลูกค้า: ประเภทของแขก (เช่น นักท่องเที่ยว, นักธุรกิจ) ก็ส่งผลต่อ CPOR

สูตรคำนวณ CPOR

สูตรคำนวณ CPOR ง่ายๆ คือ:

CPOR = ค่าใช้จ่ายทั้งหมด/ จำนวนห้องที่มีคนเข้าพักในช่วงเวลาที่กำหนด

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าโรงแรมเรามี 100 ห้อง และเดือนนี้มีคนเข้าพัก 70% นั่นหมายถึงเรามีคนเข้าพัก 2,170 ห้องต่อเดือน ถ้าค่าใช้จ่ายทั้งเดือนอยู่ที่ 6,000,000 บาท CPOR ของเราก็จะเท่ากับ:

6,000,000 / 2,170 = 2,764.98 บาท

ตัวเลขนี้จะช่วยให้เราเห็นว่าค่าใช้จ่ายของเราเป็นยังไง และช่วยให้เราวางแผนปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ CPOR ของโรงแรมคุณ

การทำให้ตัวเลข CPOR ของโรงแรมดีขึ้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน เพิ่มอัตราการเข้าพัก หรือสร้างรายได้เพิ่ม – หรือถ้าเป็นไปได้ก็ทำทั้งหมดไปพร้อมกัน

มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยปรับปรุง CPOR ของโรงแรมคุณให้ดีขึ้น

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

มีหลายด้านที่คุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในโรงแรมเพื่อลดต้นทุน เช่น:

  • บริหารจัดการพนักงาน: จัดตารางงานให้เหมาะสม ไม่ให้มีพนักงานมากหรือน้อยเกินไปในแต่ละช่วง
  • ขั้นตอนการทำงาน: ดูแลให้พนักงานทุกคนเข้าใจวิธีทำงานประจำวันอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดห้อง การออกบิล หรือการเช็คอิน-เช็คเอาท์
  • ประหยัดพลังงาน: ใช้วิธีประหยัดพลังงาน เช่น หลอดไฟ LED ระบบประปาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์อัตโนมัติ เพื่อลดค่าใช้จ่ายรายเดือน
  • จัดการขยะ: ปรับปรุงการจัดการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ผ้าปูที่นอน และการทำความสะอาด โดยคำนึงถึงความต้องการของแขกและประสิทธิภาพของพนักงาน เช่น ให้แขกเลือกว่าต้องการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือทำความสะอาดห้องทุกวันหรือไม่

ลดต้นทุน

การเพิ่มประสิทธิภาพกับการลดต้นทุนมักไปด้วยกัน แต่ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยลดต้นทุนโดยตรง เช่น:

  • การจัดการทรัพยากร: เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อขอราคาที่ดีขึ้น หรือหาซัพพลายเออร์รายใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่าย
  • การติดตามค่าใช้จ่าย: มีระบบที่ช่วยติดตามต้นทุนอย่างแม่นยำ เพื่อให้รู้ว่าควรปรับปรุงส่วนไหน
  • ใช้ระบบอัตโนมัติ: ประหยัดเวลาและเงินโดยใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแทนการทำงานด้วยมือที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • ควบคุมสต็อก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้สั่งของมากเกินไปหรือเกิดการสูญเสียสินค้าและวัสดุสิ้นเปลือง

การบริหารรายได้

การบริหารรายได้เป็นหัวข้อที่กว้างและซับซ้อน คุณสามารถอ่านคู่มือสรุปเพิ่มเติมได้ แต่มีหลักการสำคัญบางประการที่สามารถช่วยเพิ่มรายได้และกำไรของคุณได้:

  • ปรับราคาให้คุ้มค่า: ตั้งราคาห้องพักให้สูงสุดตามความเหมาะสมในทุกช่วงเวลา
  • เพิ่มรายได้ต่อแขก: นำเสนอแพ็คเกจและบริการเสริมที่น่าสนใจ เพื่อจูงใจให้แขกใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
  • สร้างรายได้เสริม: ใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ในโรงแรมให้เกิดรายได้เพิ่มในทุกการจอง
  • จัดทำโปรแกรมสมาชิก: ช่วยรักษาอัตราการเข้าพักให้สูงและลดค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่
  • สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ: เปิดให้เช่าพื้นที่ในโรงแรมสำหรับจัดอบรม สัมมนา หรือประชุมของธุรกิจอื่นๆ

ความพึงพอใจของแขก

ความพึงพอใจของแขกสามารถช่วยเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายด้านการตลาดได้มาก

การปรับปรุงประสบการณ์ของแขกจะช่วยให้คุณ:

  • สร้างการจองซ้ำ
  • ได้รับรีวิวเชิงบวก
  • กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น
  • ได้รับประโยชน์จากการบอกต่อ

การสร้างชื่อเสียงที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถตั้งราคาห้องพักได้สูงขึ้น เพราะแขกจะมั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี

เครื่องมือช่วยลดต้นทุน CPOR สำหรับโรงแรม

ในวงการโรงแรม มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้คุณบริหารต้นทุนต่อห้องพักที่ขายได้ หรือ CPOR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองมาดูตัวอย่างเครื่องมือที่น่าสนใจกัน:

    • ระบบจัดการโรงแรม หรือ PMS: ช่วยรวมศูนย์การทำงานประจำวัน จัดการงานและดูแลแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบอัตโนมัติและการประมวลผลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาด
      • ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager): เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายห้องพัก ขายห้องพักทั้งหมดผ่านหลายช่องทางพร้อมกัน อัพเดทข้อมูลอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ป้องกันการจองซ้ำเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ขายผ่าน Agoda, Booking.com และ Expedia พร้อมกัน
      • ระบบจองห้องพัก (Booking Engine): รับการจองตรงจากเว็บไซต์ของโรงแรม รับจองผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook รับจองผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา (Metasearch) เช่น TripAdvisor ซึ่งช่วยประหยัดค่าคอมมิชชั่นจากบุคคลที่สาม
      • เครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: ทำให้การเช็คอินรวดเร็วขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส่งข้อความต้อนรับ แจ้งโปรโมชั่น หรือขอรีวิวหลังเช็คเอาต์
      • ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ: ติดตามสภาวะตลาดในพื้นที่ ตรวจสอบความเท่าเทียมของราคา (Rate Parity) วิเคราะห์รายงานประสิทธิภาพที่สำคัญเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ดูว่าคู่แข่งในพื้นที่ตั้งราคาเท่าไร หรือวิเคราะห์ว่าช่วงไหนขายดีที่สุด
      • เครื่องมือปรับราคาอัตโนมัติ (Pricing Optimisation): มีหลายเครื่องมือที่ช่วยปรับราคาให้เหมาะสม บางระบบให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์ แจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น ปรับราคาอัตโนมัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่

โดยทั่วไป คุณสามารถเข้าถึงเครื่องมือหลายอย่างจากผู้ให้บริการรายเดียว เช่น แพลตฟอร์มอัจฉริยะอย่าง SiteMinder ซึ่งรวมหลายฟีเจอร์ไว้ในที่เดียว ทำให้การจัดการง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

]]>
สรุป Online Travel Agency (OTA): สำหรับธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/best-otas-hotel-bookings/ Wed, 30 Oct 2024 06:14:51 +0000 https://www.siteminder.com/?p=179971 Online Travel Agency คืออะไร ?

เว็บจองออนไลน์ หรือที่รู้จักในชื่อ OTA (Online Travel Agency) เป็นเว็บไซต์ที่นักท่องเที่ยวใช้จองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า หรือแม้แต่แพ็คเกจท่องเที่ยวทั้งหมด ตัวอย่าง OTA ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Booking.com, Expedia และ Airbnb และอื่นๆอีกมากมาย

สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม OTA เปรียบเสมือนช่องทางออนไลน์ที่คุณสามารถประชาสัมพันธ์ห้องพักของคุณได้ตลอดเวลา ทำให้นักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาที่พักในพื้นที่ของคุณสามารถเห็นและจองห้องพักได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของปี

แม้ว่าการใช้ OTA จะช่วยให้โรงแรมเพิ่มยอดจองได้มาก แต่การพึ่งพาช่องทางนี้มากเกินไปก็อาจเป็นดาบสองคม ยังมีโรงแรมอีกมากที่ไม่มีเว็บไซต์และระบบจองของตัวเองที่รองรับการใช้งานบนมือถือ และหลายแห่งยังคงใช้วิธีจัดการธุรกิจแบบเดิมๆ แทนที่จะใช้ระบบจัดการโรงแรม (PMS)

การจับมือกับเว็บจองออนไลน์ไม่เพียงแต่ช่วยให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ยังช่วยรักษาอัตราการเข้าพักให้คงที่อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่โรงแรมของคุณจะติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ไม่ควรมองข้าม แต่ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้เว็บจองโรงแรมออนไลน์ก็อาจรู้สึกเหมือนเป็น “ยาขม” ที่จำเป็นหากโรงแรมต้องการประสบความสำเร็จ

บทความนี้จะแนะนำข้อมูลสำคัญที่จะช่วยคุณเลือก Online Travel Agency (OTA) ที่เหมาะกับธุรกิจที่พักของคุณ เพื่อให้คุณสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป

สารบัญ

ทำไม OTA จึงสำคัญสำหรับโรงแรม?

ปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าเว็บจองออนไลน์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการรับจองของโรงแรม ทั้งในแง่ของการตลาดและช่องทางการขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการจองที่พักออนไลน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

การใช้ OTA เป็นวิธีที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชื่นชอบในการจองทริปและที่พัก เว็บเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของตลาดออนไลน์ที่เฟื่องฟู ซึ่งนำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ความสะดวก ความรวดเร็ว คุณค่า และความปลอดภัย

ความโดดเด่นของเว็บจองโรงแรมออนไลน์อย่าง Expedia และ Booking.com ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และพิสูจน์แล้วว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่นักท่องเที่ยวใช้ค้นหาที่พักหลากหลายรูปแบบในราคาที่ดีที่สุด

ประเภทของแพลตฟอร์ม OTA ต่างๆ

แพลตฟอร์ม OTA ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการวางแผนและจองการเดินทางของเรา เว็บจองเหล่านี้ให้บริการแบบครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยในการเปรียบเทียบและจองเที่ยวบิน โรงแรม ที่พักให้เช่า และบริการอื่นๆ อีกมากมาย มีหลายประเภทของแพลตฟอร์ม Online Travel Agency (OTA) แต่ละประเภทตอบสนองความต้องการเฉพาะของนักท่องเที่ยว

เว็บจองโรงแรมโดยเฉพาะ (Hotel OTA)

OTA ประเภทนี้เน้นให้บริการตัวเลือกโรงแรมที่หลากหลายแก่นักท่องเที่ยว โดยมีจุดเด่นคือช่วยให้ผู้ใช้เปรียบเทียบราคา สิ่งอำนวยความสะดวก ทำเล และรีวิวของโรงแรมต่างๆ ได้ง่าย มักมีข้อเสนอและส่วนลดพิเศษ ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจเรื่องงบประมาณ ช่วยให้นักท่องเที่ยวหาที่พักที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทริปได้ง่ายขึ้น

เว็บจองที่พักให้เช่า (OTA Vacation Rental)

เว็บจองประเภทนี้เช่น Airbnb, Vrbo, HomeAway ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ให้บริการที่พักที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น อพาร์ตเมนต์ วิลล่า หรือแม้แต่บ้านต้นไม้ มอบประสบการณ์เหมือนอยู่บ้าน (home-away-from-home) เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักระยะยาวหรือมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบท้องถิ่นและเข้าถึงได้อย่างแท้จริง

เว็บเปรียบเทียบราคา (Metasearch)

OTA Metasearch อย่าง Google Travel, Trivago, Kayak และ Skyscanner เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลจากทั้ง Online Travel Agency (OTA) ต่างๆ และเว็บไซต์จองโดยตรง จุดเด่นของแพลตฟอร์มเหล่านี้คือช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบราคาและข้อเสนอจากหลายแหล่งได้ในที่เดียว ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานที่ต้องเสียไปกับการเข้าชมแต่ละเว็บไซต์ ทั้งนี้ เมื่อผู้ใช้เลือกข้อเสนอที่ต้องการแล้ว แพลตฟอร์มจะนำพาผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ต้นทางเพื่อทำการจองให้เสร็จสมบูรณ์

เว็บจองตั๋วเครื่องบิน

แพลตฟอร์มเว็บจองตั๋วเครื่องบินเช่น Skyscanner, Kayak, และ CheapOair เชี่ยวชาญในการช่วยนักท่องเที่ยวค้นหาและจองเที่ยวบิน ช่วยแสดงภาพรวมของตัวเลือกเที่ยวบินจากสายการบินต่างๆช่วยให้ผู้ใช้เปรียบเทียบราคา เวลา และเส้นทางได้ หลายแพลตฟอร์มยังมีบริการเสริม เช่น การเช่ารถและการจองโรงแรม ทำให้สะดวกในการวางแผนทริป

โรงแรมทำงานร่วมกับ Online Travel Agency อย่างไร

โดยทั่วไป Online Travel Agency (OTA) จะมีหน้าแสดงข้อมูลโรงแรมของคุณอย่างละเอียด เพื่อให้นักท่องเที่ยวประเมินได้ ยิ่งคุณใส่ข้อมูลและรูปภาพมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ข้อมูลที่ควรมีอาจรวมถึง สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการของโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง รีวิวจากลูกค้า รูปภาพห้องพัก แผนที่ ประเภทห้องพักและราคาสำหรับช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวต้องการ

การร่วมมือกับ Online Travel Agency (OTA) ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหรือหลายแห่ง สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ได้อย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มยอดจองและรายได้

ข้อดีคือ OTA จะรับผิดชอบด้านการตลาดทั้งหมด คุณเพียงแค่ต้องนำเสนอข้อมูลโรงแรมให้น่าสนใจ และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับแขกที่เข้าพัก

แน่นอนว่าบริการนี้มาพร้อมค่าใช้จ่าย โดยคุณจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ OTA สำหรับทุกการจองที่พวกเขานำมาให้ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 15% ของยอดจอง

ด้วยเหตุนี้ การรักษาสมดุลระหว่างการรับจองผ่าน OTA และการรับจองโดยตรงผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของคุณเอง โดยใช้ระบบจองออนไลน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง

วิธีเลือก Online Travel Agency ที่ใช่สำหรับโรงแรมคุณ

การเลือก Online Travel Agency (OTA) ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะและเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ ปัจจัยที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  • ตลาดในพื้นที่ของคุณ: มักจะมี OTA บางเจ้าที่เชี่ยวชาญในการนำการจองมาสู่ประเทศหรือจุดหมายปลายทางของคุณ เช่น Traveloka สำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • กลุ่มเป้าหมายในอุดมคติของคุณ: OTA บางเจ้าจะช่วยให้คุณได้รับการจองจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงที่มาเที่ยวในพื้นที่ของคุณบ่อยๆ เช่น Agoda สำหรับนักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  • ประเภทของที่พักคุณ: ตัวอย่างเช่น OTA บางเจ้าให้บริการเฉพาะที่พักระดับหรู
  • บริการที่คุณนำเสนอ: คุณสามารถหา OTA ที่เหมาะสำหรับการโปรโมทแพ็คเกจ การจองนาทีสุดท้าย ฯลฯ เช่น Klook สำหรับกิจกรรมและทัวร์
  • กลยุทธ์ของคุณ: คุณต้องการให้มีการจองผ่าน OTA มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับช่องทางตรงของคุณ เช่น เว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย?

จะเห็นได้ว่า ไม่มีวิธีการเลือก OTA แบบสำเร็จรูปที่เหมาะกับทุกโรงแรม คุณจำเป็นต้อง:

  • วางแผนให้ชัดเจน
  • วิเคราะห์ตัวเลือกอย่างละเอียด
  • เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาช่วย

ยิ่งใช้ OTA หลายเจ้า ระบบจัดการโรงแรม (PMS) และระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Manager) ก็ยิ่งสำคัญ การนำระบบเหล่านี้มาใช้จะช่วยให้ข้อมูลการจองถูกต้อง อัพเดทอัตโนมัติ และทำให้คุณวัดผลการทำงานของแต่ละช่องทางได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่น ช่วงสงกรานต์ คุณอาจเน้น OTA ที่เข้าถึงคนไทย ส่วนหน้าหนาวอาจหันไปหา OTA ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยากหนีหนาว

จำไว้ว่า การเลือก OTA ที่เหมาะสมนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ดังนั้นควรทบทวนกลยุทธ์อยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังใช้ช่องทางที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

รวม Online Travel Agency ชื่อดัง

จากที่กล่าวมาข้างต้น มี Online Travel Agency (OTA) หลายแห่งที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใช้วางแผนและจองการเดินทาง

มีเว็บไซต์ท่องเที่ยวออนไลน์หลายร้อยแห่งที่นักท่องเที่ยวสามารถจองโรงแรมและบริการท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ ดังนั้นการรู้จัก OTA รายใหญ่จึงเป็นเรื่องสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การรู้จัก OTA เฉพาะทางที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ หรือ OTA ที่เน้นตลาดในภูมิภาคของคุณก็มีประโยชน์เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Mr & Mrs Smith ที่เน้นโรงแรมบูทีคและโรงแรมหรู

มาดูกันว่า OTA ไหนบ้างที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้:

  • Booking.com – ถือเป็นผู้นำระดับโลกของ OTA เป็นช่องทางการจองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มและทุกภูมิภาคทั่วโลก
  • Expedia – อีกหนึ่ง OTA รายใหญ่ โดดเด่นในการให้บริการจองแพ็คเกจท่องเที่ยว
  • Agoda – ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในตลาดเอเชีย รวมถึงประเทศไทย
  • Mr & Mrs Smith – เน้นโรงแรมบูทีคและโรงแรมหรู
  • Airbnb – เชี่ยวชาญด้านที่พักขนาดเล็กหรือที่พักที่ไม่เหมือนใคร มอบประสบการณ์ “บ้านหลังที่สอง” สำหรับนักท่องเที่ยว
  • Lastminute.com – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจองที่พักนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในยุโรป
  • Orbitz – OTA รายใหญ่สำหรับตลาดอเมริกา
  • Skyscanner – ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวงบประมาณจำกัด
  • Hotels.com – มีระบบสะสมคะแนนที่ดึงดูดนักเดินทางประจำ
  • Priceline.com – อีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวแบบประหยัด
  • HRS.com – เน้นกลุ่มนักเดินทางธุรกิจเป็นหลัก
  • Trip.com – OTA ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่
  • Travelocity – มีรางวัลพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่ทำกิจกรรมอาสาสมัคร
  • Kayak – เว็บไซต์ค้นหาการท่องเที่ยวชั้นนำ ที่มีตัวเลือกที่พักมากมายสำหรับนักเดินทาง
  • HotelTonight – สำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาดีลดีๆ สำหรับการจองนาทีสุดท้าย
  • Wotif – เชี่ยวชาญในตลาดออสเตรเลีย
  • TripAdvisor – รวบรวมรีวิวสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยว
  • VRBO – ย่อมาจาก Vacation Rentals by Owners คล้ายกับ Airbnb เน้นที่พักที่มีเอกลักษณ์ โดยเจ้าของบ้านสามารถลงประกาศให้เช่าได้

นี่เป็นเพียงบางส่วนของ OTA ยอดนิยมที่เราสามารถรวบรวมได้ แต่ในความเป็นจริงมี OTA อีกหลายร้อยแห่ง บางแห่งอาจเหมาะกับที่พักของคุณมากกว่า

ตัวอย่างเช่น Travelocity เป็นช่องทางที่ให้รางวัลแก่นักท่องเที่ยวที่ทำภารกิจอาสาสมัคร ในขณะที่ Intrepid เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวแนวผจญภัยและร่วมมือกับโฮสเทลและที่พักสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์

Traveliko: Online Travel Agency แนวใหม่

Traveliko โดย iko.travel คือ Online Travel Agency รูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ ให้บริการคล้ายกับ OTA ทั่วไป แต่ใช้โมเดลธุรกิจที่ไม่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่น

iko.travel พยายามกำจัด ‘คนกลาง’ โดยสัญญาว่าโรงแรมจะมีอำนาจเต็มในการควบคุมรายการห้องพัก โปรโมชั่น แพ็คเกจ และราคา

ซึ่ง OTA ส่วนใหญ่อาจเสนอการเป็นสมาชิกแบบเสียค่าบริการ Traveliko ให้ผู้ประกอบการโรงแรมลงรายการห้องพักฟรี พร้อมการเชื่อมต่อกับ Channel Manager เช่น SiteMinder โดยไม่กำหนดจำนวนห้องขั้นต่ำ และรองรับการจองสูงสุด 100 ครั้งต่อเดือน (หรือมูลค่าการจองไม่เกิน 35,000 บาท)

ผู้ประกอบการโรงแรมที่ใช้ Traveliko สามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ที่คุ้นเคยจาก Online Travel Agency ทั่วไป เช่น การสร้างแพ็คเกจเสริม อัปโหลดวิดีโอ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ร้านอาหาร สปา และกิจกรรมต่างๆ

ด้วยเหตุนี้ Traveliko จึงเป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายด้านคอนเทนต์ และเปิดโอกาสให้โรงแรมสร้างความประทับใจกับลูกค้า ผ่านการนำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษและอัตราค่าบริการสำหรับสมาชิก Traveliko ที่น่าสนใจ

ตัวอย่างของ Traveliko แสดงให้เห็นถึงทางเลือกมากมายสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องการขายห้องพักออนไลน์ แต่ละโรงแรมควรมีกลยุทธ์การใช้ Online Travel Agency ที่เหมาะสมกับตนเอง โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวเลือกที่มี

แบรนด์อย่าง TripAdvisor, Hotels.com, Booking.com และ Expedia ได้รับความสนใจมากเนื่องจากมีงบประมาณการตลาดสูง แต่นักท่องเที่ยวก็ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และยินดีใช้เวลาค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ดังนั้น การเชื่อมต่อกับ Online Travel Agency หลากหลายช่องทางจึงเป็นสิ่งสำคัญ

รีวิวบน OTA: เคล็ดลับสำหรับนักการตลาดโรงแรม

ดูผิวเผินแล้ว Online Travel Agency (OTA) อาจดูเหมือนเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของโรงแรมอิสระ แต่ในความเป็นจริงแล้ว OTA มักกลับกลายเป็นพันธมิตรที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

โรงแรมอิสระต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ OTA เมื่อมีการจองห้องพัก แต่ต้องยอมรับว่าโรงแรมจะไม่เป็นที่รู้จักมากนักหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก OTA ที่มีการเข้าถึงผู้ใช้อย่างกว้างขวาง

OTA มีงบประมาณการตลาดมหาศาล และมักครองอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google สำหรับคำค้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว คุณไม่สามารถเอาชนะ OTA ในเกมการตลาดออนไลน์ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องร่วมมือกับพวกเขาในฐานะพันธมิตรแทน

แล้วจะทำอย่างไรให้โรงแรมของคุณติดอันดับต้นๆ บน OTA? การปรับแต่งโปรไฟล์เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเราจะพูดถึงในภายหลัง แต่ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือรีวิว ยิ่งคุณมีรีวิวเชิงบวกมากเท่าไหร่ โอกาสที่นักท่องเที่ยวจะเจอโปรไฟล์โรงแรมของคุณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

วิธีปรับปรุงรีวิว:

  1. เชิญชวนให้แขกแสดงความคิดเห็นระหว่างที่ยังพักอยู่
  2. ส่งอีเมลขอรีวิวหลังจากแขกเช็คเอาท์
  3. ตอบกลับทุกความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอ
  4. ใส่ใจทุกข้อติชม ไม่ปล่อยไว้โดยไม่จัดการ
  5. รักษาท่าทีเป็นมิตร ไม่ปกป้องตัวเองมากเกินไป
  6. มอบหมายทีมเฉพาะในการดูแลการตอบรีวิว

แม้ว่าคุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ที่แขกได้รับก่อนเขียนรีวิวได้ แต่คุณสามารถรับรู้ปัญหาและดำเนินการแก้ไข หรือแสดงความขอบคุณสำหรับคำชม

คุณสามารถเพิ่มจำนวนรีวิวเชิงบวกได้โดยมีระบบรับฟังความคิดเห็นแบบเรียลไทม์ขณะที่แขกยังพักอยู่ที่โรงแรม หากคุณแก้ไขปัญหาได้ทันที โอกาสที่จะได้รับรีวิวเชิงลบก็จะน้อยลง

อย่ามองว่ารีวิวเชิงลบเป็นเรื่องร้ายแรงเสมอไป วิธีที่คุณรับมือกับข้อร้องเรียนหรือคำแนะนำ อาจเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จและสร้างความประทับใจให้กับแขกในอนาคตได้

การจองโรงแรมผ่าน OTA: วิธีดึงดูดลูกค้า

การดึงดูดลูกค้าให้จองห้องพักผ่าน OTA ก็เหมือนกับการดึงดูดลูกค้าให้จองตรงกับโรงแรม – ความประทับใจแรกสำคัญที่สุด!

ความประทับใจแรกที่สำคัญที่สุดคือรูปภาพของโรงแรมและห้องพัก นักท่องเที่ยวอยากเห็นสิ่งที่พวกเขาจะจ่ายเงินซื้อ ถ้าพวกเขาเห็นรูปที่ไม่ชัด เบลอ หรือจัดองค์ประกอบไม่ดี ลูกค้าจะไม่รีบควักกระเป๋าจ่ายเงินแน่นอน

ถ้าคุณถ่ายรูปคุณภาพสูงเองไม่ได้ การจ้างช่างภาพมืออาชีพถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว คุณควรอัพเดทรูปภาพทุก 2-3 ปี และทุกครั้งที่มีการปรับปรุงหรือตกแต่งใหม่ ควรเตรียมรูปภาพให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มลงรายการบน OTA

1. ประเมินว่าโรงแรมของคุณควรทำงานร่วมกับ OTA อย่างไร

โดยปกติแล้ว การเชื่อมต่อกับ OTA หลายๆ ช่องทางถือเป็นเรื่องดี แต่คุณควรเลือกพันธมิตรอย่างชาญฉลาด ขั้นแรก ลองสำรวจตลาดของคุณและดูว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายนิยมใช้ช่องทางไหนกันบ้าง อย่าจำกัดตัวเองแค่ OTA ยอดนิยม 4-5 อันดับแรก แต่ให้มองหาพันธมิตรที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างแท้จริง

ลองนึกภาพว่า โรงแรมของคุณตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวแนวผจญภัย อย่างเช่นที่ควีนส์ทาวน์ในนิวซีแลนด์ ในกรณีนี้ คุณอาจอยากจับมือกับ OTA เฉพาะทางอย่าง STA Travel ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่ชื่นชอบกิจกรรมผาดโผน หรือถ้าแขกส่วนใหญ่ของคุณเป็นชาวจีน ก็น่าจะเป็นไอเดียดีที่จะร่วมงานกับ Trip.com เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการจองจากกลุ่มนี้

2. ใช้ประโยชน์จาก Billboard Effect ที่เกิดจากช่องทางออนไลน์

แม้ว่านักท่องเที่ยวอาจเจอโรงแรมคุณใน OTA แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะจองผ่านช่องทางนั้นเสมอไป หลายคนมักจะแวะเข้ามาดูเว็บไซต์โรงแรมโดยตรงหลังจากเห็นใน OTA ซึ่งเราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Billboard Effect นี่แหละคือโอกาสทองที่คุณจะดึงรายได้กลับมาได้

พอนักท่องเที่ยวเข้ามาที่เว็บไซต์คุณแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทำให้การจองที่นี่น่าสนใจที่สุด เพื่อไม่ให้เขาย้อนกลับไปจองที่ OTA หรือไปดูโรงแรมอื่น ถ้าเขาหาข้อมูลไม่เจอ เช่น ประเภทห้อง ชื่อห้อง รูปภาพ หรือนโยบายที่ตรงกับที่เห็นใน OTA เขาอาจจะงงและไม่พอใจได้

คุณสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ด้วยรูปภาพ วิดิโอที่น่าสนใจ แพ็คเกจสุดคุ้ม และโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลองใช้บล็อกเพื่อแชร์ข้อมูลที่มีประโยชน์ อัพเดทข่าวสาร และเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และอย่าลืมติดตั้งระบบจองออนไลน์บนเว็บไซต์ด้วย เพื่อให้คุณสามารถนำเสนอแพ็คเกจและราคาพิเศษได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณดึงดูดลูกค้าให้จองโดยตรงได้มากขึ้นแน่นอน

3. ใช้ข้อมูลเพื่อทำการตลาดให้ดีขึ้น

ข้อมูลคือสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม โดยเฉพาะข้อมูลของลูกค้าที่มีแนวโน้มจะเข้าพัก

การเพิ่มยอดจองให้โรงแรมนั้นสำคัญ แต่การทำตลาดแบบไร้ทิศทางไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญคือต้องรู้ก่อนว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายของคุณ และจะเข้าถึงพวกเขาได้อย่างไร

กลุ่มเป้าหมายอาจเปลี่ยนไปตามฤดูกาล หรือพฤติกรรมนักท่องเที่ยวอาจแปรผัน นี่คือเหตุผลที่คุณต้องมีข้อมูลที่เชื่อถือได้และวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ

คุณสามารถหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากหลายแหล่ง รวมถึงจาก OTA ที่มักเผยแพร่แนวทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าและยอดจอง

วิธีใช้ประโยชน์จาก OTA ให้คุ้มค่าที่สุด

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจาก OTA และเข้าถึงลูกค้าของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อทำให้โปรไฟล์โรงแรมของคุณโดดเด่นที่สุด

โรงแรมของคุณเป็นแบรนด์หนึ่ง ดังนั้นการทำการตลาดควรเป็นไปในทิศทางเดียวกันทุกช่องทาง อย่าเก็บรูปสวยๆ หรือเนื้อหาดีๆ ไว้แค่บนเว็บไซต์ของคุณเอง ต้องมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้ปรากฏบนเว็บไซต์ OTA ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับ Google, OTA ก็มีอัลกอริทึมในการจัดอันดับโรงแรมเหมือนกัน นี่คือ 6 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้โปรไฟล์โรงแรมของคุณโดดเด่นบน OTA:

1. จัดการจำนวนห้องพักให้แม่นยำ

เนื่องจากจำนวนห้องว่างของคุณจะเปลี่ยนแปลงตามช่วงไฮซีซั่นหรือการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล คุณต้องรักษาความแม่นยำของจำนวนห้องพักในทุก OTA เพื่อรักษาอัตราการเข้าพักให้สูง

การใช้ Channel Manager ที่มีระบบ pooled inventory เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะจะป้องกันปัญหาการจองซ้ำหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะสร้างความไม่พอใจให้กับนักท่องเที่ยว

2. จัดการราคาและโปรโมชั่นอย่างชาญฉลาด

นักท่องเที่ยวไม่ได้ใช้ OTA เพียงเพื่อดูตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อหาไอเดียการเดินทางและจองห้องพักนาทีสุดท้ายในราคาพิเศษด้วย

การลงโปรโมชั่นระยะสั้นบน OTA จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายห้องพักที่เหลืออยู่ได้มากขึ้น

ไม่ยากเลยที่จะปรับแต่งข้อมูลบน OTA เพื่อเน้นอัตราค่าห้องพักพิเศษ หรือใช้ประโยชน์จากเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์หรือลอยกระทง เพื่อดึงดูดแขกให้มาพักที่โรงแรมของคุณ

3. ตอบรีวิวอย่างระมัดระวัง

ปัจจุบันมีเพียง 14% ของผู้บริโภคที่เชื่อถือโฆษณาแบบดั้งเดิม แต่มีถึง 92% ที่ให้ความสำคัญกับรีวิวบนเว็บไซต์อย่าง TripAdvisor รีวิวบน OTA มักจะน่าเชื่อถือเพราะแขกสามารถโพสต์รีวิวได้หลังจากที่เข้าพักจริงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีเพียง 36% ของผู้ประกอบการโรงแรมที่ตอบรีวิวบนเว็บไซต์ OTA การจัดการรีวิวออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก

4. ลองลงโฆษณาแบบจ่ายเงิน

โรงแรมทุกขนาดสามารถใช้ประโยชน์จากการโฆษณาแบบจ่ายเงินได้ ไม่ใช่แค่โรงแรมใหญ่ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (Pay-per-click) ซึ่งเหมาะกับโรงแรมอิสระด้วย แม้ว่าวิธีนี้จะไม่รับประกันว่าจะเพิ่มยอดจองได้แน่นอน แต่ก็ช่วยสร้างการรับรู้ให้กับโรงแรมของคุณ ถ้าคุณมีรูปภาพหรือวิดิโอที่น่าดึงดูด นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้แล้ว ยังอาจส่งผลให้อันดับของคุณใน OTA ดีขึ้นด้วย

5. มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม

แม้การมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะอาจทำให้คุณเข้าถึงคนได้น้อยลง แต่โอกาสที่จะได้ยอดจองตามเป้าก็มีมากขึ้น คุณสามารถใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การจัดโปรโมชันในช่วงเวลาพิเศษ เทศกาลสำคัญ การเจาะตลาดในพื้นที่เฉพาะ หรือวิธีอื่นๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณได้อย่างตรงจุด

6. ทำความเข้าใจคู่แข่ง

การรู้จักคู่แข่งในตลาดที่คล้ายคลึงกับคุณนั้นสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณตั้งราคาห้องพักได้เหมาะสม ไม่ต่ำหรือสูงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้คุณแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การติดตามความเคลื่อนไหวของคู่แข่งยังอาจเปิดโอกาสให้คุณเพิ่มยอดจองได้อีกด้วย เช่น การสังเกตการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่งอาจบ่งบอกถึงอัตราการเข้าพักหรือโปรโมชั่นที่คุณสามารถนำมาปรับใช้ได้ ทั้งนี้ โรงแรมสามารถใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลพิเศษเพื่อติดตามกลยุทธ์ของคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำให้โปรไฟล์ OTA ของคุณดีที่สุด ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มยอดจองจากช่องทาง OTA เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณโดยตรงด้วย ซึ่งจะช่วยชดเชยค่าคอมมิชชั่นที่คุณต้องจ่ายให้ OTA

วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดจองผ่าน OTA สำหรับโรงแรมของคุณ

การเลือกช่องทาง OTA ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกในการเพิ่มยอดจอง แต่ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จของคุณ

นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณดึงดูดลูกค้าในช่องทางการจองของคุณ:

  • ทำงานร่วมกับผู้จัดการตลาดของ OTA: วิธีนี้จะช่วยให้คุณได้ประโยชน์จากแคมเปญต่างๆ ที่ OTA จัดขึ้น
  • ใช้หลายช่องทาง: พฤติกรรม แรงจูงใจ และความชอบของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีช่องทางที่หลากหลายจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากที่สุด
  • แสดงจุดยืนของแบรนด์ให้ชัดเจน: ลูกค้าอยากรู้ว่าคุณยืนหยัดในเรื่องอะไร และเชื่อในอะไร เช่น ปัจจุบันลูกค้าสนใจโรงแรมที่มีนโยบายและการปฏิบัติด้านความยั่งยืนมากขึ้น
  • สร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการขาย: นักท่องเที่ยวนิยมใช้ OTA เพราะเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่พักครบวงจร ทั้งเปรียบเทียบราคา หาโปรโมชั่น และอ่านรีวิวได้ในที่เดียว คุณจึงต้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงทุกด้านของการนำเสนอธุรกิจคุณบนช่องทางออนไลน์ให้โดดเด่นที่สุด
  • ใช้ Channel Manager: หากไม่มี Channel Manager การจัดการการเชื่อมต่อกับ OTA หลายๆ แห่งพร้อมกันจะเป็นไปได้ยาก และอาจเกิดข้อผิดพลาดของข้อมูลหรือการจองซ้ำซ้อนได้

เพิ่มยอดจองและรายได้ด้วยระบบ OTA channel manager

การใช้ OTA channel manager เพิ่มเม็ดเงินอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา! แต่จะเลือกระบบไหนดีล่ะ? มาดูกันว่าอะไรบ้างที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ:

  • ความหลากหลายของช่องทางการขาย
  • ความสะดวกในการใช้งานและฟีเจอร์ที่มี
  • ความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ
  • รีวิวและชื่อเสียง
  • การฝึกอบรมและบริการหลังการขาย
  • ระยะเวลาทดลองใช้ฟรี

SiteMinder ไม่ใช่แค่ระบบจัดการช่องทางการขายธรรมดา แต่เป็นระบบ hotel channel manager ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในโลกมาหลายปี ด้วยจุดเด่นทั้งเรื่องการเชื่อมต่อ การบูรณาการ ฟังก์ชันการทำงาน และความปลอดภัย

ปัจจุบัน SiteMinder ได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงแรมแบบครบวงจร พร้อมพาโรงแรมของคุณไปสู่ความสำเร็จ

  • เพิ่มรายได้สูงสุด: SiteMinder ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยช่วยคุณจัดการราคาและจำนวนห้องว่างบนทุกช่องทางการขายแบบทันที ไม่เพียงแค่ช่วยให้คุณขายห้องได้เต็มที่ แต่ยังช่วยคว้าโอกาสรับจองนาทีสุดท้ายที่มักมีราคาดี ทำให้รายได้ของคุณพุ่งสูงสุด
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน:SiteMinder ช่วยให้คุณทำงานอัตโนมัติได้หลายอย่าง ตั้งแต่การจัดการ OTA ไปจนถึงการรับจองตรงจากลูกค้า วิธีนี้ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงในการรับจองเกิน (overbooking) แต่ยังช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกค้าให้ประทับใจ
  • เพิ่มยอดจองตรง: SiteMinder มีระบบจองออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างราบรื่น ทำให้แขกสามารถจองห้องพักกับคุณโดยตรงได้อย่างสะดวก นอกจากจะทำให้ลูกค้าจองง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มกำไรให้คุณด้วย เพราะไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ OTA

ไม่ต้องปล่อยให้ห้องพักว่างอีกต่อไป! ใช้ SiteMinder ยกระดับกลยุทธ์การขายโรงแรมของคุณตั้งแต่วันนี้ เริ่มใช้งาน SiteMinder แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่เพิ่มยอดจองพุ่งทะยานอย่างน่าทึ่ง

]]>
กลยุทธ์การตั้งราคา Cost-Based Pricing คืออะไร? พร้อมตัวอย่าง https://www.siteminder.com/th/r/cost-based-pricing/ Wed, 30 Oct 2024 05:59:39 +0000 https://www.siteminder.com/?p=179964 Cost-based pricing คืออะไร?

การกำหนดราคาตามต้นทุน (Cost-based pricing) เป็นวิธีกำหนดราคาขายโดยการบวกกำไรเพิ่มจากต้นทุนต่อหน่วย ในกรณีของโรงแรม คือการคิดจากต้นทุนในการดูแลรักษาห้องพักให้พร้อมใช้งาน

สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมในไทย การเข้าใจวิธีนี้มีความสำคัญมากในการกำหนดราคาห้องพักที่ไม่เพียงแต่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แต่ยังสร้างกำไรที่น่าพอใจด้วย

สารบัญ

ทำไมโรงแรมจึงใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบต้นทุนบวกกำไร?

การตั้งราคาแบบ Cost-based pricing นี้เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาในการวางกลยุทธ์ราคา ช่วยให้โรงแรมสามารถ:

  • ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: สำคัญมากสำหรับการเติบโตของธุรกิจ ประกอบด้วยต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเช่าหรือค่าผ่อนอาคาร เงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ และต้นทุนผันแปร เช่น ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ค่าซ่อมบำรุง ค่าการตลาด
  • สร้างกำไรตามเป้าหมาย: การบวกกำไรเพิ่มจากต้นทุน ช่วยให้โรงแรมตั้งราคาห้องพักที่สร้างกำไรได้ตามต้องการ ทำให้มีเงินลงทุนต่อและเติบโตทางการเงิน
  • ทำให้การตัดสินใจเรื่องราคาง่ายขึ้น: วิธีนี้ช่วยให้ตั้งราคาห้องพักได้ง่าย ทั้งสำหรับการจองโดยตรงและผ่านช่องทางขายออนไลน์ ลดความซับซ้อนและได้ตัวเลขที่นำไปใช้ได้ทันที

สูตรการตั้งราคาแบบ Cost based pricing

สูตรพื้นฐานสำหรับการตั้งราคาแบบนี้ง่ายนิดเดียว:

ราคาขาย = ต้นทุนการให้บริการ + (ต้นทุนการให้บริการ x เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ)

ตัวอย่างการตั้งราคาแบบ Cost based pricing

สมมติว่าต้นทุนทั้งหมดในการทำความสะอาด ดูแลรักษา และให้บริการห้องพักอยู่ที่ 1,750 บาท หากโรงแรมต้องการกำไร 20% ราคาขายจะคำนวณได้ดังนี้:

ราคาขาย = 1,750 + (1,750 x 0.20) = 2,100 บาท

นี่เป็นตัวอย่างอย่างง่ายที่พิจารณาเฉพาะต้นทุนการดูแลห้องพักเท่านั้น

การคำนวณที่ซับซ้อนกว่านี้จะรวมถึงค่าประกันภัย ต้นทุนการให้บริการเสริม ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อใช้วิธีการตั้งราคาแบบ cost-based pricing

การใช้วิธีนี้ต้องเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตั้งราคา รวมถึงการบริหารจัดการรายได้ (yield management) ให้ดี ในธุรกิจโรงแรม ปัจจัยเหล่านี้สำคัญมากในการไม่เพียงแค่คืนทุน แต่ยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วย

มาดูปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณากัน:

แนวโน้มตลาด

การเข้าใจแนวโน้มตลาดมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตั้งราคาที่แข่งขันได้และสร้างกำไร

  • ความผันผวนของความต้องการ – วิเคราะห์ความต้องการห้องพักตลอดทั้งปี โดยสังเกตช่วงไฮซีซั่น เทศกาลต่างๆ และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นหรือลดลง การปรับราคาตามสถานการณ์จะช่วยให้สร้างรายได้สูงสุดในช่วงที่มีความต้องการเข้าพักสูง และรักษาอัตราการเข้าพักในช่วงที่ความต้องการน้อยลง ตัวอย่าง: ในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ โรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไทยอาจปรับราคาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
  • ความผันผวนตามฤดูกาล – ฤดูกาลอาจส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงาน เช่น ค่าสาธารณูปโภคอาจสูงขึ้นในหน้าร้อนเนื่องจากการใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้น การปรับราคาให้สะท้อนความผันผวนของต้นทุนเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาผลกำไร ตัวอย่าง: โรงแรมในภูเก็ตอาจปรับราคาลงในช่วงหน้าฝน (พฤษภาคม-ตุลาคม) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ชดเชยด้วยการเพิ่มราคาในช่วงหน้าร้อน (พฤศจิกายน-เมษายน) ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น
  • ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ – ติดตามสภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและแนวโน้มการเดินทาง ปรับกลยุทธ์การตั้งราคาให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ตัวอย่าง: ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว โรงแรมอาจเสนอแพ็คเกจราคาพิเศษหรือโปรโมชั่นระยะยาวเพื่อกระตุ้นยอดจอง

การวิเคราะห์คู่แข่ง

การจับตากลยุทธ์ด้านราคาของคู่แข่งอย่างใกล้ชิดช่วยให้คุณได้ข้อมูลเชิงลึกและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน

  • ราคาของคู่แข่ง – ติดตามกลยุทธ์การตั้งราคาของคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ สังเกตว่าคู่แข่งมีโปรโมชั่นพิเศษหรือไม่ เช่น ราคาที่ถูกกว่า แพ็คเกจพิเศษ หรือบริการเสริมที่น่าสนใจ ซึ่งอาจดึงดูดลูกค้าของคุณไป ปรับราคาหรือข้อเสนอของคุณให้แข่งขันได้ เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
  • ตำแหน่งทางการตลาด – ทำความเข้าใจว่าโรงแรมของคุณอยู่ในตำแหน่งใดในตลาดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ตั้งราคาให้สะท้อนถึงคุณค่าและประสบการณ์ที่คุณมอบให้แขก ราคาควรสอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้าตามตำแหน่งทางการตลาดของคุณ

การวิเคราะห์ต้นทุน

การวิเคราะห์ต้นทุนอย่างละเอียดเป็นพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์การตั้งราคาตามต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

  • ต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร – เช็คทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรอย่างสม่ำเสมอ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าบำรุงรักษา ค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้า การวิเคราะห์ต้นทุนที่แม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตั้งราคาที่ครอบคลุมต้นทุนและสร้างกำไรตามที่ต้องการ
  • ต้นทุนที่ไม่คาดคิด – เตรียมแผนสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น การซ่อมแซมฉุกเฉินหรือการบำรุงรักษานอกกำหนดการ ควรมีเงินสำรองในการตั้งราคาสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน เพื่อป้องกันการลดลงของกำไร

ความอ่อนไหวต่อราคา

การเข้าใจความอ่อนไหวต่อราคาในตลาดเป้าหมายของคุณจะช่วยในการวางกลยุทธ์การตั้งราคาตามต้นทุน ช่วยให้คุณหาจุดที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างรายได้โดยไม่ทำให้ลูกค้าหันไปจองที่อื่น

  • ความรู้สึกของลูกค้าต่อราคา – สังเกตว่าลูกค้าตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างไร หาจุดราคาที่ทำให้ลูกค้าเลือกคู่แข่งแทน ใช้ข้อมูลนี้ตั้งราคาที่สมดุลระหว่างกำไรและความน่าสนใจ เช่น ถ้าขึ้นราคา 10% แล้วยอดจองลดลงทันที แสดงว่าลูกค้าอ่อนไหวต่อราคามาก
  • คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ – ตรวจสอบว่าบริการคุ้มค่ากับราคาหรือไม่ ระบุจุดเด่นของโรงแรมที่แตกต่างจากคู่แข่ง สื่อสารคุณค่าให้ชัดเจนในทุกช่องทาง ตัวอย่าง: ช่วงสงกรานต์ อาจเพิ่มราคา 15% แต่เสนอแพ็คเกจพิเศษที่รวมกิจกรรม ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า

ประโยชน์และข้อดีของการตั้งราคาแบบ cost based pricing สำหรับธุรกิจโรงแรม

การตั้งราคาแบบ Cost-based pricing ไม่เพียงแต่ช่วยให้มั่นใจในผลกำไร แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกหลายประการ:

ความโปร่งใส

การตั้งราคาตามต้นทุนช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินของโรงแรมได้ชัดเจน โดยการกำหนดราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง ความโปร่งใสนี้ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อการบริหารภายใน แต่ยังช่วยในการสื่อสารกับเจ้าของกิจการ นักลงทุน หรือพันธมิตรทางธุรกิจเกี่ยวกับวิธีการตัดสินใจเรื่องราคา

วิธีนี้ช่วยให้เข้าใจกลยุทธ์การตั้งราคาได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถอธิบายและให้เหตุผลเกี่ยวกับอัตราค่าห้องกับผู้บริหาร พนักงาน และแขกได้ หากจำเป็น

การวางแผนการเงิน

ด้วยมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับต้นทุนผ่านการตั้งราคาตามต้นทุน การทำงบประมาณและการวางแผนการเงินจึงเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและแม่นยำมากขึ้น วิธีนี้ช่วยวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการตัดสินใจทางการเงินในอนาคต รวมถึงการลงทุนและการขยายกิจการ

การรู้โครงสร้างต้นทุนยังช่วยในการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่เป็นไปได้จริง ทำให้มั่นใจได้ว่าโรงแรมจะยังคงมีความมั่นคงทางการเงินและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

การบริหารความเสี่ยง

ความสามารถในการคาดการณ์ที่มาพร้อมกับการตั้งราคาตามต้นทุนช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องราคา การตั้งราคาที่ครอบคลุมต้นทุนและสร้างกำไรช่วยให้เกิดความมั่นคงทางการเงินระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ การเข้าใจโครงสร้างต้นทุนเป็นอย่างดียังช่วยในการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น จึงเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความผันผวนทางการเงินจากภายนอกของโรงแรม

การตั้งราคาที่แข่งขันได้

การตั้งราคาตามต้นทุนช่วยให้คุณกำหนดราคาห้องพักที่แข่งขันในตลาดได้ โดยยังสะท้อนถึงคุณค่าที่โรงแรมของคุณมอบให้ลูกค้า เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

เมื่อคุณเข้าใจต้นทุนของตัวเอง คุณจะรู้ว่าสามารถลดราคาลงได้แค่ไหนโดยยังไม่ขาดทุน หรือเพิ่มราคาขึ้นได้เท่าไรโดยยังแข่งขันได้ เช่น ถ้าคุณรู้ว่าต้นทุนห้องพักของคุณต่ำกว่าคู่แข่ง คุณอาจตั้งราคาต่ำกว่าเล็กน้อยเพื่อดึงดูดลูกค้า โดยยังมีกำไร

วิธีนี้ช่วยให้คุณตั้งราคาได้อย่างมีเหตุผล เหมาะสมกับสภาพตลาด ไม่สูงเกินไปจนลูกค้าไม่จอง และไม่ต่ำเกินไปจนขาดทุน

การบริหารรายได้

การตั้งราคาตามต้นทุนช่วยวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการคาดการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพของรายได้ ทำให้สามารถบริหารจัดการและจัดสรรทรัพยากรได้ดีขึ้น การเข้าใจและควบคุมต้นทุนช่วยให้คุณสามารถตั้งราคาเพื่อให้ได้อัตรากำไรตามที่ต้องการ ซึ่งสำคัญต่อสุขภาพทางการเงินและความยั่งยืนของโรงแรม

นอกจากนี้ ยังช่วยในการประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตั้งราคาในปัจจุบัน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านรายได้

]]>
เว็บจองโรงแรมที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ https://www.siteminder.com/th/r/best-hotel-booking-sites/ Wed, 30 Oct 2024 05:37:57 +0000 https://www.siteminder.com/?p=179954 เว็บจองโรงแรมคืออะไร?

เว็บจองโรงแรม หรือที่เรียกกันว่า OTA (Online Travel Agency) คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถจองที่พักผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกสบาย เว็บไซต์เหล่านี้มักให้ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับโรงแรม ทั้งห้องว่าง สิ่งอำนวยความสะดวก ราคา ทำเลที่ตั้ง และรีวิวจากผู้ใช้จริง

เว็บจองโรงแรมที่ดีมักมีรายชื่อโรงแรมจำนวนมากจากหลากหลายพื้นที่ ทำให้นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกมากมายให้เลือกสรร โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใช้สามารถเปรียบเทียบราคา สิ่งอำนวยความสะดวก และทำเลที่ตั้งของโรงแรมหลายๆ แห่งได้ในคราวเดียว ช่วยให้หาที่พักที่ตรงใจได้ง่ายขึ้น

สำหรับผู้จัดการโรงแรม เว็บจองโรงแรมเหล่านี้เป็นช่องทางดีๆ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น และช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักในช่วงโลว์ซีซั่น อย่างไรก็ตาม การใช้บริการเหล่านี้มักมีค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจองแต่ละครั้งที่ผ่านแพลตฟอร์มของพวกเขา

ในบทความนี้ เราจะแนะนำเว็บจองโรงแรมยอดนิยมที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก พร้อมเทคนิคการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของคุณ

สารบัญ

ทำไมโรงแรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ควรขายห้องพักผ่านเว็บจองโรงแรม?

มีข้อดีหลายอย่างมากโรงแรมขนาดกลางและขนาดใหญ่สามารถจากการร่วมมือกับเว็บจองโรงแรมชั้นนำ ด้วยเหตุผลหลายประการ:

  • เข้าถึงลูกค้าทั่วโลก: เว็บจองโรงแรมมีฐานผู้ใช้ระดับนานาชาติ ช่วยให้โรงแรมสามารถขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มอัตราการเข้าพัก: การเปิดให้จองบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดการจองมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการเข้าพักสูงขึ้น
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บจองโรงแรมที่มีชื่อเสียงได้รับความไว้วางใจจากนักท่องเที่ยวนับล้าน การมีชื่ออยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับโรงแรม
  • ง่ายต่อการจอง: แพลตฟอร์มเหล่านี้มีระบบการจองที่ง่ายและรวดเร็ว ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย จากการวิเคราะห์ล่าสุดพบว่าความมั่นใจของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้ แต่เฉพาะโรงแรมที่มีกระบวนการจองที่ไม่ซับซ้อนเท่านั้นที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ได้
  • รีวิวและให้คะแนน: รีวิวจากลูกค้าและคะแนนบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ให้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับโรงแรมในการปรับปรุงบริการ รีวิวที่ดียังช่วยเสริมชื่อเสียงและดึงดูดการจองเพิ่มขึ้น
  • การตลาดและโปรโมชั่น: เว็บจองโรงแรมหลายแห่งมีโอกาสทางการตลาดและเครื่องมือส่งเสริมการขายที่โรงแรมสามารถใช้เพิ่มความน่าสนใจบนแพลตฟอร์ม เช่น การทำโฆษณาแบบสปอนเซอร์ หรือโปรโมชั่นพิเศษ
  • ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์: แพลตฟอร์มการจองมักให้ข้อมูลที่มีค่าและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและสภาวะตลาด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจได้

อย่างไรก็ตาม โรงแรมควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ด้วย เนื่องจากมักมีค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจองแต่ละครั้ง ดังนั้นจึงสำคัญที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างประโยชน์จากการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้นกับค่าใช้จ่าย เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์นี้จะสร้างผลกำไรได้จริง

เว็บจองโรงแรมยอดนิยมมีอะไรบ้าง?

เว็บไซต์จองโรงแรมที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่:

  • Booking.com
  • Hotels.com
  • Expedia
  • Orbitz
  • Travelocity
  • Priceline
  • Hotwire
  • Kayak
  • Agoda
  • Google Hotels

เทคนิคเด็ดใช้เว็บจองโรงแรมให้ปัง เพิ่มยอดจองทะลุเป้า

แม้จะมีเว็บจองโรงแรมดีๆ ให้เลือกเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกเว็บจะเหมาะกับโรงแรมของคุณ และถึงเลือกเว็บที่ใช่แล้ว ก็ยังต้องทำอีกหลายอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง:

สำรวจและเปรียบเทียบ

ก่อนตัดสินใจเลือกเว็บจองโรงแรม ลองสำรวจและเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละเว็บก่อน โดยดูจากทั้งจำนวนคนใช้งาน เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชั่น กลุ่มลูกค้าหลัก (เช่น คนไทยหรือต่างชาติ) ประเภทนักท่องเที่ยวที่นิยมใช้ ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ระบบจอง ระบบรีวิว และช่องทางโปรโมต การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

ปรับแต่งหน้าลงประกาศให้โดดเด่น

มื่อเลือกเว็บไซต์แล้ว ต้องทำให้ที่พักที่ลงประกาศของคุณน่าสนใจที่สุด คุณควรเลือกรูปภาพที่ชัด คุณภาพสูง

เขียนคำอธิบายโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้น่าดึงดูด อัพเดทข้อมูลห้องว่างและราคาให้เป็นปัจจุบัน เน้นจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น Booking.com มีฟีเจอร์การลงประกาศที่ครบครัน ให้คุณใส่รายละเอียดได้เยอะ ลงรูปได้หลายภาพ และเน้นจุดเด่นของโรงแรมได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีระบบจัดการที่ใช้งานง่าย ช่วยให้คุณปรับแต่งข้อมูลได้สะดวก

จัดการรีวิวและคะแนน

รีวิวและคะแนนจากลูกค้ามีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจจองที่พัก ควรตอบกลับรีวิวทั้งบวกและลบอย่างรวดเร็วและมืออาชีพ คุณควรขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ เพื่อเสริมภาพลักษณ์โรงแรม และแก้ไขปัญหาที่พบในรีวิวเชิงลบ แสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจลูกค้า การจัดการรีวิวอย่างดีจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่กำลังตัดสินใจจอง

ใช้โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษ

หลายเว็บจองโรงแรมมีเครื่องมือสร้างโปรโมชั่น ลองใช้ส่วนลดสำหรับการพักระยะยาว ดีลจองด่วนราคาพิเศษ แพ็คเกจเพิ่มมูลค่า เช่น รวมอาหารเช้าหรือบริการสปา โปรโมชั่นเหล่านี้ช่วยดึงดูดการจองในช่วงโลว์ซีซั่นหรือช่วงที่มีห้องว่างเยอะได้ดี

ตัวอย่างเช่น Priceline มีเครื่องมือโปรโมชั่นที่น่าสนใจ อย่าง “Name Your Own Price” และ “Express Deals” ทำให้เป็นหนึ่งในเว็บจองโรงแรมราคาถูกที่ดีที่สุด ช่วยให้โรงแรมดึงดูดการจองในช่วงนาทีสุดท้ายหรือนอกฤดูกาลท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ติดตามราคาคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ

การรักษาความสามารถในการแข่งขัน จำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบราคาของโรงแรมอื่นๆ ในพื้นที่เดียวกันหรือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เว็บจองโรงแรมบางแห่งมีเครื่องมือช่วยในเรื่องนี้ หรือคุณอาจใช้แอปพลิเคชันเปรียบเทียบราคาภายนอก หากราคาของคุณสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ อาจต้องปรับราคาหรือสื่อสารให้ชัดเจนว่าทำไมโรงแรมของคุณถึงคุ้มค่ากว่า

ตัวอย่างเช่น เครื่องมือ Rev+ ของ Expedia ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดและแนวโน้มความต้องการ ช่วยให้ผู้จัดการโรงแรมเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งได้ ซึ่งฟังก์ชันนี้มีให้ใช้งานโดยตรงใน SiteMinder เช่นกัน

ใช้ประโยชน์จากข้อมูลวิเคราะห์

เว็บจองโรงแรมมักมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของโรงแรม เช่น อัตราการจอง ราคาเฉลี่ยต่อวัน และรายได้ต่อห้องที่มี นอกจากนี้ยังอาจให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด เช่น แนวโน้มความต้องการ หรือผลการดำเนินงานของโรงแรมที่คล้ายคลึงกัน ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงและตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล

ตัวอย่างเช่น Google Hotels ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ของ Google ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับแนวโน้มการค้นหา ข้อมูลประชากรศาสตร์ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้ผู้จัดการโรงแรมตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล

สร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า

แม้ว่าเว็บจองโรงแรมจะช่วยดึงดูดแขก แต่การสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับแขกก็สำคัญ อาจทำได้โดยกระตุ้นให้พวกเขาจองโดยตรงกับโรงแรมของคุณในอนาคต เช่น การเสนอโปรแกรมสะสมแต้มหรือส่วนลดสำหรับการจองตรง การจองโดยตรงช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชั่นและควบคุมประสบการณ์ของแขกได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องแน่ใจว่าสิ่งจูงใจสำหรับการจองตรงไม่ละเมิดข้อตกลงกับแพลตฟอร์มการจอง

เทรนด์ใหม่ล่าสุดจากเว็บจองโรงแรมออนไลน์ชั้นนำ

เทรนด์สำคัญต่อไปนี้กำลังเป็นที่นิยมในเว็บไซต์จองโรงแรมออนไลน์ชั้นนำ คุณสามารถใช้เป็นไอเดียในการปรับปรุงระบบจองตรงของโรงแรม และใช้เป็นแนวทางในการเลือก OTA ที่จะร่วมงานด้วย หาก OTA ใดไม่มีฟีเจอร์เหล่านี้ อาจทำให้การนำเสนอห้องพักของคุณดูล้าสมัย

การปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้แต่ละราย (Personalisation)

การปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้แต่ละรายกำลังมีความสำคัญมากขึ้นในการจองโรงแรมออนไลน์ เว็บไซต์ต่างๆ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและ AI เพื่อแนะนำที่พักที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน โดยดูจากประวัติการค้นหา การจอง และความชอบส่วนตัว วิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าหาที่พักที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

เน้นการใช้งานบนมือถือ (Mobile-friendly)

นักเดินทางส่วนใหญ่ใช้มือถือในการจองโรงแรม ทำให้การใช้งานบนมือถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเว็บไซต์จองโรงแรมชั้นนำ เว็บไซต์เหล่านี้ปรับปรุงหน้าเว็บให้ใช้งานบนมือถือได้ง่าย ทั้งการเลื่อนดู การโหลดที่เร็ว และขั้นตอนการจองที่ไม่ซับซ้อน บางเว็บไซต์ยังมีแอพมือถือที่มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น การเช็คอินผ่านมือถือและกุญแจห้องดิจิทัล ผู้ประกอบการโรงแรมควรพิจารณาว่าระบบจองตรงของตนเองทันสมัยและใช้งานง่ายบนมือถือหรือไม่

การจองทันที (Instant booking)

การจองทันทีกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าจองห้องพักได้เลยโดยไม่ต้องรอการยืนยันจากโรงแรม วิธีนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าพอใจ แต่ยังช่วยให้การจองรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โปรแกรมสมาชิก

เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ เว็บไซต์จองโรงแรมหลายแห่งมีโปรแกรมสมาชิก โดยทั่วไปจะให้คะแนนสะสมสำหรับการจองแต่ละครั้ง ซึ่งลูกค้าสามารถนำไปแลกเป็นส่วนลดการเข้าพักครั้งต่อไป อัพเกรดห้องพัก หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ เทรนด์นี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจโรงแรมให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าเก่าควบคู่ไปกับการหาลูกค้าใหม่

รีวิวและคะแนนจากผู้ใช้

รีวิวและคะแนนจากผู้ใช้มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อ่านรีวิวก่อนตัดสินใจจอง เว็บไซต์จองโรงแรมชั้นนำจึงแสดงรีวิวและคะแนนให้เห็นชัดเจน และมีระบบให้ผู้จัดการโรงแรมตอบกลับรีวิวได้ แสดงให้เห็นว่าการดูแลชื่อเสียงออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญในธุรกิจโรงแรม

การใช้โซเชียลมีเดีย

เนื่องจากโซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน เว็บไซต์จองโรงแรมจึงเพิ่มฟีเจอร์ที่เชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดีย เช่น การล็อกอินด้วยบัญชีโซเชียลมีเดีย การแชร์การจองบนโซเชียลมีเดีย และการจองโรงแรมผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง วิธีนี้ช่วยให้โรงแรมเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและสื่อสารกับลูกค้าได้ดีขึ้น

การค้นหาและกรองข้อมูลขั้นสูง

เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาโรงแรมที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เว็บไซต์จองโรงแรมมีระบบค้นหาและกรองข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น ลูกค้าสามารถกรองโรงแรมตามราคา ทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก และคะแนนรีวิว รวมถึงค้นหาบริการเฉพาะที่ต้องการได้ นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าหาโรงแรมได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้โรงแรมโชว์จุดเด่นของตัวเองและเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ดีขึ้น

พาร์ทเนอร์กับเว็บจองโรงแรมดีๆด้วย SiteMinder

SiteMinder ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มจัดการโรงแรมทั่วไป แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมโยงคุณกับเว็บจองโรงแรมที่มีประสิทธิภาพสูงทั่วโลก เราออกแบบซอฟต์แวร์นี้เฉพาะสำหรับโรงแรมขนาดกลางถึงใหญ่ เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ ช่วยเพิ่มรายได้และแซงหน้าคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อไปนี้คือวิธีที่ SiteMinder จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของคุณกับเว็บจองโรงแรมชั้นนำ:

  • ขายห้องพักออนไลน์ได้มากขึ้น SiteMinder ช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับช่องทางการจองชั้นนำทั่วโลกแบบสองทาง ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลห้องพักของคุณบน OTA ทุกแห่งจะอัพเดทและซิงค์กันตลอดเวลา ที่สำคัญคือคุณสามารถจัดการทุกห้องพักได้จากที่เดียว
  • ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจินได้ดีขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลบน Google Hotel Ads หรือการจัดอันดับบนเว็บรวมข้อมูลโรงแรม (metasearch engines) แพลตฟอร์มของเราช่วยให้โรงแรมของคุณปรากฏในอันดับที่สูงขึ้น เมื่อลูกค้าที่พร้อมจะจองกำลังค้นหาโรงแรมแบบเดียวกับคุณ
  • โปรโมทอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มของเราช่วยให้คุณโปรโมทห้องพักที่ว่างทั้งหมดบนทุกช่องทางการจองที่เชื่อมต่อได้ตลอดเวลา

SiteMinder เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงแรมอันดับ 1 ไม่ว่าคุณจะดูแลโรงแรมเดี่ยว กลุ่มโรงแรม หรือเครือโรงแรมขนาดใหญ่ SiteMinder ให้คุณจัดการทุกอย่างได้จากที่เดียว พร้อมเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ การจอง ข้อมูลลูกค้า การกระจายห้องพัก และการชำระเงิน

]]>
วิธีใช้งาน MaxiRoom: ระบบจัดการห้องพัก Hotelbeds สำหรับโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/maxiroom-hotelbeds-extranet/ Wed, 09 Oct 2024 05:00:30 +0000 https://www.siteminder.com/r/maxiroom-hotelbeds-extranet/ MaxiRoom คืออะไร?

MaxiRoom คือระบบจัดการห้องพัก (extranet) ของ Hotelbeds ที่ช่วยให้โรงแรมสามารถใช้งานแพลตฟอร์ม Hotelbeds ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสการขายห้องพัก

Hotelbeds เปิดตัว MaxiRoom ในปี 2015 เพื่อให้โรงแรมและพาร์ทเนอร์สามารถควบคุมจัดการห้องพักได้ง่ายขึ้น ระบบนี้มีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเครือข่าย B2B ระดับโลกของ Hotelbeds ได้ รวมถึงเครื่องมือจัดการคอนเทนต์และระบบปฏิทินที่ปรับแต่งราคาและอัปเดตจำนวนห้องว่างได้แบบเรียลไทม์

ในบทความนี้ เราจะแนะนำวิธีใช้งาน MaxiRoom อย่างละเอียด พร้อมเคล็ดลับการใช้งานระบบ Hotelbeds ให้ประสบความสำเร็จ และอธิบายว่าทำไมการเชื่อมต่อกับผู้ขายส่งห้องพักอย่าง Hotelbeds จึงช่วยเพิ่มยอดจองจากกรุ๊ปทัวร์และการจองห้องพักเพื่อธุรกิจ เช่น งานสัมมนา กิจกรรมอบรม และทริปท่องเที่ยวของบริษัทต่างๆ

สารบัญ

Hotelbeds คืออะไร?

Hotelbeds เป็นตัวกลางรวบรวมห้องพักจากโรงแรมทั่วโลก เพื่อขายต่อให้กับบริษัททัวร์และเอเจนซี่ท่องเที่ยว โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสเปน มีระบบจัดการที่ช่วยให้การซื้อขายห้องพักระหว่างโรงแรมและบริษัททัวร์เป็นเรื่องง่าย

การอธิบายว่า Hotelbeds ทำอะไรนั้นค่อนข้างซับซ้อน เพราะธุรกิจนี้ให้บริการลูกค้าหลายกลุ่ม ทั้งโรงแรม เครือโรงแรม บริษัททัวร์ และเอเจนซี่ท่องเที่ยว

แต่สำหรับโรงแรม Hotelbeds เป็นช่องทางเพิ่มยอดจองผ่านการเปิดให้เข้าถึงช่องทางการขายแบบ B2B เช่น บริษัททัวร์และเอเจนซี่ท่องเที่ยว

การอธิบายว่า Hotelbeds ทำธุรกิจอะไรอาจจะซับซ้อนนิดหน่อย เพราะให้บริการกับหลายกลุ่มธุรกิจ ทั้งโรงแรมเดี่ยว เครือโรงแรม บริษัททัวร์ และเอเจนซี่ท่องเที่ยว

แต่สำหรับโรงแรม Hotelbeds ช่วยเพิ่มยอดจองห้องพักโดยเปิดช่องทางให้โรงแรมขายห้องพักผ่านเครือข่ายธุรกิจท่องเที่ยว เช่น บริษัททัวร์และเอเจนซี่ท่องเที่ยวทั่วโลก

Hotelbeds มีเครือข่ายใหญ่แค่ไหน?

ปัจจุบัน Hotelbeds มีพาร์ทเนอร์ด้านการท่องเที่ยวมากกว่า 71,000 ราย ครอบคลุมทั้งโรงแรม บริษัททัวร์ และธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ โดยมียอดจองห้องพักสูงถึง 50 ล้านคืนต่อปี

ใครเป็นเจ้าของ Hotelbeds?

Hotelbeds อยู่ภายใต้การดูแลของ HBX Group ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีการท่องเที่ยวสำหรับธุรกิจ โดยกลุ่มบริษัทประกอบด้วย Hotelbeds, bedsonline (ระบบขายห้องพักสำหรับเอเจนซี่ขนาดเล็ก) และ Roiback (ระบบจัดการที่พัก)

เชื่อมต่อกับผู้ค้าส่งโรงแรมและเพิ่มยอดการจอง

แพลตฟอร์มอัจฉริยะของเรารวมเข้ากับระบบมากกว่า 1,000 รายการ รวมถึงผู้ค้าส่งโรงแรมอย่าง Hotelbeds เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเพิ่มรายได้

เรียนรู้เพิ่มเติม

ทำไมโรงแรมควรใช้งาน MaxiRoom?

มาดูกัน 2 คำถามสำคัญ: คำถามแรก: ทำไมควรใช้ Hotelbeds? คำตอบคือ เพื่อเพิ่มยอดจองจากบริษัททัวร์ เอเจนซี่ท่องเที่ยว และการจองห้องพักเพื่อธุรกิจ (เช่น งานสัมมนา กิจกรรมอบรม)

Hotelbeds มีเครือข่ายบริษัทท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด และที่สำคัญ การขายผ่านช่องทางนี้ไม่กระทบต่อช่องทางขายตรงของคุณเลย เพราะเป็นคนละกลุ่มลูกค้ากัน นี่จึงเป็นโอกาสดีในการเพิ่มอัตราการเข้าพักของโรงแรม

คำถามที่สอง: ทำไมต้องใช้ MaxiRoom? เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้งาน Hotelbeds โดยเฉพาะถ้าเชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) ที่คุณใช้อยู่

Hotelbeds คิดค่าคอมมิชชั่นเท่าไร?

ค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำอยู่ที่ 21% โดยค่าคอมมิชชั่นนี้จะจ่ายให้กับเอเจนซี่ท่องเที่ยวที่นำห้องพักไปขายต่อ  (travel wholesaler) ส่วนค่าคอมมิชชั่นของ Hotelbeds จะถูกหักจากยอดรวมที่ผู้ขายจ่ายค่าห้องพัก

maxiroom hotelbeds extranet
MaxiRoom – ระบบเอ็กซ์ทราเน็ตของ Hotelbeds: โรงแรมใช้งานอย่างไร?

วิธีลงทะเบียนโรงแรมบน Hotelbeds

การลงทะเบียนทำได้ง่ายๆ แค่ 3 ขั้นตอน:

ขั้นตอนที่ 1: ลงทะเบียนที่พัก

เข้าเว็บไซต์ Hotelbeds และคลิก ‘List your property‘ มุมบนขวา กรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม โดยระบุรายละเอียดพื้นฐานของโรงแรม เช่น ประเภทห้องพักที่ต้องการขาย และเงื่อนไขการยกเลิกการจอง (อย่าลืมว่า Hotelbeds มีนโยบายการยกเลิกเป็นของตัวเองด้วย)

ขั้นตอนที่ 2: เข้าสู่ระบบ MaxiRoom

หลังลงทะเบียนเสร็จ คุณจะได้รับสิทธิ์เข้าใช้งาน MaxiRoom ซึ่งเป็นระบบจัดการห้องพักของ Hotelbeds คุณสามารถเลือกเข้าใช้งานโดยตรงผ่านเว็บ หรือเชื่อมต่อกับระบบ PMS ของโรงแรม (หากระบบ PMS ของคุณรองรับ)

ขั้นตอนที่ 3: อัปเดตข้อมูลห้องพัก

เมื่อเข้าระบบ MaxiRoom แล้ว คุณสามารถเพิ่มรายละเอียดและรูปภาพห้องพัก ตั้งราคา กำหนดจำนวนห้องที่ต้องการขาย

วิธีเข้าสู่ระบบ MaxiRoom

เมื่อลงทะเบียนโรงแรมแล้ว ระบบจะส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบไปที่อีเมลของคุณ วิธีล็อกอินทำได้ง่ายๆ ดังนี้:

  1. เข้าเว็บไซต์ Hotelbeds
  2. คลิกปุ่ม “Login” มุมบนขวา
  3. เลือก “Hotelier’s Login” จากเมนูที่แสดง
  4. กรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน แล้วคลิก “Enter”

5 เทคนิคเพิ่มยอดจองผ่าน MaxiRoom และ Hotelbeds

การใช้งาน MaxiRoom ให้เต็มประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักผ่านการจองจาก Hotelbeds มาดู 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด:

1. เชื่อมต่อระบบ

เชื่อมต่อ MaxiRoom กับระบบจัดการโรงแรมที่คุณใช้อยู่ โดยเฉพาะระบบการจัดการโรงแรม หรือระบบ PMS (property management system) เพื่อให้ทุกระบบทำงานประสานกัน

ข้อดีคือคุณสามารถจัดการทุกอย่างผ่าน PMS ได้เลย ไม่ต้องเข้า MaxiRoom แยกเพื่อปรับราคาหรืออัปเดตห้องว่าง และเมื่อเชื่อมต่อกับ PMS หรือ Channel Manager แล้ว ระบบจะอัปเดตจำนวนห้องว่างในทุกช่องทางการขายโดยอัตโนมัติทันทีที่มีการจอง

2. จัดการหลายโรงแรมในที่เดียว

ถ้าคุณดูแลหลายโรงแรม สามารถใช้ MaxiRoom เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ เพื่อให้การทำงานเป็นระบบและมีมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถดูข้อมูลและสถิติรวมของทุกโรงแรมเพื่อวิเคราะห์เทรนด์และตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น

3. ปรับแต่งข้อมูลห้องพักให้โดดเด่น น่าจอง

ใส่ข้อมูลห้องพักให้ครบทุกจุด ทั้งรายละเอียดห้อง สิ่งอำนวยความสะดวก และเงื่อนไขการจอง ลงรูปสวยๆ ที่แสดงจุดเด่นของห้อง และเขียนคำอธิบายที่ดึงดูดใจ วิธีนี้จะช่วยให้ห้องของคุณติดอันดับต้นๆ ในการค้นหาบน Hotelbeds และมีโอกาสได้จองมากขึ้น

คุณควรอัปเดตข้อมูลตามฤดูกาลด้วย เช่น ช่วงหน้าหนาวอาจเน้นจุดขายเรื่องวิวภูเขา ช่วงหน้าร้อนอาจเน้นสระว่ายน้ำ เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่นักท่องเที่ยวกำลังมองหา

4. คาดการณ์ความต้องการเข้าพัก

ใช้ระบบคาดการณ์ความต้องการเข้าพักเพื่อวางแผนอัตราการเข้าพักและปรับราคาให้เหมาะสม ใช้ MaxiRoom วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังและเทรนด์ตลาด พร้อมระบุช่วงไฮซีซั่น ช่วงเทศกาล หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความต้องการห้องพัก เพื่อเพิ่มรายได้ในช่วงที่มีคนจองเยอะ และเพิ่มอัตราการเข้าพักในช่วงโลว์ซีซั่น

5. สร้างพาร์ทเนอร์โดยตรง

ใช้จุดแข็งของ Hotelbeds ที่มีเครือข่ายตัวแทนขาย wholesale จำนวนมาก ติดต่อเอเจนซี่ท่องเที่ยวที่นำห้องพักไปขายต่อรายใหญ่ๆที่มีศักยภาพเพื่อจัดแคมเปญและโปรโมชั่นพิเศษร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการขายห้องพักได้มากขึ้น

]]>
การจัดอันดับของ Tripadvisor: ปัจจัยในการปรับปรุงโรงแรมของคุณ https://www.siteminder.com/th/r/tripadvisor-ranking/ Wed, 02 Oct 2024 06:25:04 +0000 https://www.siteminder.com/?p=178131 การจัดอันดับของ Tripadvisor คืออะไร?

การจัดอันดับของ Tripadvisor เป็นการรายงานผลดำเนินการของโรงแรมของคุณ ในสายตาของผู้เข้าพัก ซึ่งสะท้อนจุดที่คุณยืนอยู่ เมื่อเทียบกับที่พักอื่นๆ ในย่านเดียวกัน โดยพิจารณาจากรีวิว และคะแนนที่ผู้เข้าพักของคุณเขียนไว้ ยิ่งอันดับของคุณสูงขึ้นเท่าใด โอกาสที่ผู้ที่จะมาเข้าพักจะสังเกตเห็น และเลือกที่พักของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

การจัดอันดับของ Tripadvisor ของคุณ ขึ้นอยู่กับจำนวนรีวิวที่คุณได้รับ รวมทั้งคำติชมที่ดีของรีวิวเหล่านั้น และความเก่าหรือใหม่ของข้อมูล พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งคุณมีผู้เข้าพักที่พึงพอใจ ที่แชร์ประสบการณ์มากเท่าไร อันดับของคุณก็จะดีขึ้นเท่านั้น การจัดอันดับนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนถึงคุณภาพบริการที่คุณมอบให้ และระดับที่คุณตอบสนองความคาดหวังของผู้เข้าพัก ว่าสามารถทำได้ดีเพียงใด

บล็อกนี้จะกล่าวถึงวิธีการทำงานของอัลกอริทึม และวิธีปรับปรุงอันดับของคุณบน Tripadvisor

เพราะเหตุใดการจัดอันดับโรงแรมของคุณใน Tripadvisor จึงสำคัญ?

การรักษาอันดับใน Tripadvisor ให้แข็งแกร่ง จะสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับธุรกิจของคุณ เนื่องจากมีบทบาทสำคัญมาก ในการช่วยให้ผู้เข้าพักรายใหม่ตัดสินใจเลือกจองว่าจะจองที่ใด ดังนั้นทุกการโต้ตอบเชิงบวก และทุกรายละเอียดที่คุณคอยพิจารณา ที่จะเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ผู้เข้าพัก จะทำให้คุณเข้าใกล้การไต่อันดับสูงขึ้น ในการจัดอันดับดังกล่าว

ผลักอันดับ Tripadvisor ของคุณให้สูงขึ้นด้วย SiteMinder

ใช้ประโยชน์จากการส่งข้อความไปยังผู้เข้าพักโดยอัตโนมัติ รวมทั้งการจัดการอินเวนทอรี และข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ของ SiteMinder เพื่อดึงดูดผู้เข้าพักให้มากขึ้น.

ชมการสาธิต

สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับอัลกอริทึมการจัดอันดับของ Tripadvisor

Tripadvisor ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงบางประการ เกี่ยวกับอัลกอริทึมการจัดอันดับ และวิธีการแสดงโรงแรมยอดนิยม ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับเจ้าของโรงแรม

8 ข้อด้านล่างคือสิ่งที่น่าสนใจ ที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดอันดับโรงแรมยอดนิยม:

1. รีวิว

นักเดินทางและผู้เข้าพักแชร์ประสบการณ์ได้เร็วกว่าที่เคย
ย้อนกลับไปในปี 2006 มีรีวิวบนเว็บไซต์ TripAdvisor เพียง 6 ล้านรีวิวเท่านั้น แต่ปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่มากกว่า 350 ล้านรีวิว ซึ่งนักเดินทางต่างก็เพิ่มรีวิวและรูปถ่ายใหม่ๆ 200 รายการขึ้นบนเว็บไซต์ในทุกๆ นาที รีวิวที่มีจำนวนสูงเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ ส่งผลให้มีโรงแรมบางแห่งที่สามารถไต่อันดับได้อย่างรวดเร็ว
มีบางกรณีเหมือนกัน ที่โรงแรมที่เพิ่งเข้ารายการชื่อหน้าใหม่ แต่กลับสามารถได้อันดับสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับรีวิว 5 ดาวเพียงไม่กี่ครั้งแรกเท่านั้นเอง ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าโรงแรมที่ไต่อันดับอย่างรวดเร็วแต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อนักเดินทางส่งรีวิวเข้ามามากขึ้น อันดับก็จะเริ่มตกลง

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เนื่องจากโรงแรมที่ไต่อันดับอย่างรวดเร็ว จะอยู่ในอันดับที่สูงกว่าปกติเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ในขณะที่โรงแรมอื่นๆ ก็อาจดูเหมือนจะตกไปอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งก็มีการวิเคราะห์รีวิวกันหลายร้อยล้านรายการ เพื่อพยายามแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้

2.อัลกอริทึมการจัดอันดับความนิยม

เมื่อมีการออกแบบการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม TripAdvisor ได้วิเคราะห์รีวิวหลายร้อยล้านรายการในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยได้ทำการวิจัยว่า การจัดอันดับของที่พักได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัลกอริทึมการจัดอันดับความนิยมที่ได้รับการปรับปรุง ที่มีการเน้นที่ปริมาณ และความสม่ำเสมอมากขึ้น ดังที่ TripAdvisor ได้อธิบายไว้ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยทำให้การจัดอันดับมีความเสถียรสำหรับธุรกิจทุกประเภทอีกทั้งยังช่วยลดพฤติกรรมของโรงแรมที่ไต่อันดับได้อย่างรวดเร็วและสร้างการจัดอันดับโดยรวมที่แม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับบรรดานักเดินทางของเรา

โดยเราได้ทดสอบอัลกอริทึมที่ได้รับการปรับปรุงอย่างรอบคอบ ทั้งในแบบทดสอบเป็นการภายใน และทดสอบโดยการวิเคราะห์ว่า นักเดินทางโต้ตอบกับไซต์อย่างไรบ้าง ในขณะที่เราจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนอันดับให้พวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

3. คุณภาพ ความใหม่ของรีวิว และปริมาณ

วิธีการจัดอันดับที่พักของ TripAdvisor ยังคงอิงตามคุณภาพ ความใหม่ของรีวิว และปริมาณความคิดเห็น แต่คำถามก็คือ เว็บไซต์จะพิจารณากำหนดสิ่งเหล่านี้อย่างไร?

คุณภาพ

หากสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดระหว่างที่พักสองแห่งเท่ากัน ธุรกิจที่ได้รับคะแนนการจัดอันดับ 4 และ 5 ดาวในจำนวนมากที่สุด ย่อมจะได้รับการจัดอันดับ สูงกว่าธุรกิจที่ได้รับคะแนนต่ำกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ความใหม่ของรีวิว

TripAdvisor กล่าวว่า รีวิวแสดงความเห็นที่ยังใหม่ๆ อยู่ ย่อมมีค่าต่อนักเดินทางมากกว่ารีวิวเก่าๆ เสมอ ดังนั้นตนจึงให้ความสำคัญกับรีวิวใหม่ๆ มากกว่า

จำนวน

รีวิวหลายรายการ ช่วยให้นักเดินทางสามารถตัดสินใจได้อย่างสมดุล และตั้งอยู่บนข้อมูลมากขึ้น โดย TripAdvisor กล่าวว่า โรงแรมไม่จำเป็นต้องมีรีวิวมากกว่าโรงแรมอื่นๆ ก็ได้ แค่พอให้ผู้เข้าพักสามารถเปรียบเทียบทางสถิติได้อย่างแม่นยำ และมีความหมายมากพอ เพียงเท่านั้นก็ได้ผลเกินคาดแล้ว

4. ประสบการณ์ที่ดีได้รับการตอบแทน

คุณจะได้รับผลตอบแทนจาก ประสบการณ์ของผู้เข้าพักที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
อัลกอริทึมใหม่ทำงานได้ดียิ่งขึ้นกับการตอบแทนคุณ สำหรับการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นยิ่งคุณมอบประสบการณ์ให้กับผู้เข้าพักได้ยอดเยี่ยมมากเท่าไร คุณก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

ดังที่ TripAdvisor อธิบายไว้หากปัจจัยอื่นๆ เท่าเทียมกันหมด ที่พักที่มีรีวิวดีๆ สม่ำเสมอจำนวนมาก จะได้รับการจัดอันดับสูงกว่าที่พักที่มีรีวิวมากมาย ที่บางทีก็ดี บางทีก็แย่  เนื่องจากเราจะมั่นใจมากขึ้นในการจัดอันดับมากขึ้น หากนักเดินทางจำนวนมาก ได้รายงานประสบการณ์ที่ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เกี่ยวกับที่พักแห่งนั้น

5. ประสบการณ์ของผู้เข้าพักในช่วงล่าสุด

ทุกอย่างเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เข้าพักปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณอาศัยรีวิวที่ยอดเยี่ยมจากช่วงปี 2010 เพียงอย่างเดียว เราขอแสดงความเสียใจด้วย ที่อัลกอริทึมใหม่นี้จะไม่สามารถช่วยคุณ และโรงแรมของคุณได้ รีวิวล่าสุดจำนวนมาก ได้รับการเห็นชอบจาก TripAdvisor มากกว่า เนื่องจากรีวิวเหล่านี้ ทำให้เว็บไซต์มั่นใจกับประสบการณ์ ที่จะได้รับในปัจจุบัน จากสถานที่นั้นๆ หากรีวิวที่มีอยู่ เป็นรีวิวที่มีมาก่อนที่พนักงานของโรงแรมส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะเข้ามาทำงานก็คุณ ถ้าเช่นนั้น คุณอาจจะต้องพยายามที่จะทำให้ได้รีวิวที่ดีมากขึ้นเร็วกว่าปกติสักเล็กน้อย

6. ที่พักขนาดเล็กก็สามารถแข่งขันได้เช่นกัน

TripAdvisor ยืนยันว่า ที่พักขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับที่พักขนาดใหญ่ได้เสมอ แม้ว่าเว็บไซต์จะพบว่า ที่พักขนาดเล็กมักจะได้รับรีวิวจำนวนน้อยกว่าก็ตาม (เนื่องมาจากลูกค้าจำนวนน้อยกว่า) แต่ประสบการณ์และการบริการให้กับผู้เข้าพัก ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น จะส่งผลให้มีผู้เข้าพักจำนวนมากขึ้น ที่เต็มใจมอบคำติชมดีๆ โดยการเขียนรีวิวในเชิงบวก

7. ตอบกลับรีวิวเสมอ

การตอบกลับรีวิวทำให้ทราบคำติชมทั้งเชิงบวกและเชิงลบซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความภักดีและการจองในอนาคตอย่างไรก็ตามการตอบกลับของฝ่ายจัดการไม่ได้เป็นประเด็นที่ใช้ในการพิจารณาของอัลกอริทึมการจัดอันดับความนิยมแต่อย่างใด

แม้กระนั้นก็ตาม TripAdvisor ระบุว่า การตอบกลับยังคงส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะมาเข้าพักผลสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่านักเดินทาง 85% บอกว่า การตอบกลับรีวิวที่คิดอย่างถี่ถ้วน ช่วยให้พวกเขาประทับใจโรงแรมมากขึ้น และ 65% มีแนวโน้มที่จะจองโรงแรมที่ตอบกลับรีวิวมากกว่า เมื่อเทียบกับโรงแรมที่ไม่ตอบกลับ

8. เมตาเสิร์ช

ความสัมพันธ์ทางธุรกิจของคุณกับ TripAdvisor ไม่ถือว่าสำคัญแต่อย่างใด
หากคุณมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ TripAdvisor รวมถึงโรงแรมที่ใช้เมตาเสิร์ช หรือการจองทันที หรือรายชื่อธุรกิจ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะไม่มีผลต่อการจัดอันดับที่พักของคุณ ซึ่งจะได้รับการคำนวณใหม่ในทุกวัน

วิธีปรับปรุงการจัดอันดับโรงแรมของคุณบน Tripadvisor

การปรับปรุงอันดับของโรงแรมของคุณบน Tripadvisor เกี่ยวข้องกับการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้เข้าพัก การกระตุ้นให้พวกเขาเขียนรีวิวเชิงบวก และการจัดการตัวตนของคุณทางออนไลน์อย่างจริงจัง และต่อไปนี้เป็นขั้นตอนปฏิบัติบางประการ ที่จะช่วยคุณเพิ่มการจัดอันดับของคุณ:

1. มอบบริการที่โดดเด่น

เหนือความคาดหมายด้วยการให้บริการที่เหนือระดับ ไม่ว่าจะเป็นการจำชื่อผู้เข้าพักได้ การรองรับคำขอพิเศษ หรือเสนอสิทธิพิเศษที่ลูกค้าไม่คาดคิด ซึ่งการแสดงออกเพียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สามารถนำไปสู่รีวิวที่ทำให้หัวใจพองโตได้ โดยทุกอย่างจะต้องมาจากทั้งทีมของคุณ ดังนั้นอย่าลืมดูแลให้แน่ใจว่า สมาชิกในทีมทุกคนได้รับการฝึกอบรมมากพอ เพื่อให้บริการที่เป็นเลิศอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากพนักงานที่เป็นมิตร คอยเอาใจใส่ มีความรู้จริง ซึ่งจะสร้างความประทับใจอันยาวนานให้กับผู้เข้าพักได้อย่างแน่นอน

2. กระตุ้นให้เขียนรีวิว

กระตุ้นให้ผู้เข้าพักเขียนรีวิว ณ ห้วงเวลาที่พวกเขาพึงพอใจที่สุด ซึ่งปกติแล้วคือ เมื่อพวกเขาเช็กเอาต์ หรือเมื่อแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ในระหว่างที่เข้าพัก วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เป็นไปได้คือ ทำให้การเขียนรีวิวเป็นเรื่องง่าย ด้วยการเสนอวิธีง่ายๆ สำหรับติชม เช่น ส่งอีเมลติดตาม โดยมีลิงก์โดยตรงไปยังหน้า Tripadvisor ของคุณ เป็นต้น

3. ตอบกลับรีวิว

ตอบกลับทุกรีวิวทั้งเชิงบวกและเชิงลบอย่างรวดเร็ว และมีความเป็นมืออาชีพ ให้ขอบคุณผู้เข้าพักสำหรับข้อติชม และหากมีรีวิวเชิงลบ ให้พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ และมีความเป็นมืออาชีพ พยายามแสดงให้เห็นว่า คุณกำลังรับฟังพวกเขาอยู่ โดยเอ่ยถึงปัญหาที่กล่าวถึงในรีวิว ซึ่งจะแสดงให้ผู้เข้าพักในอนาคตเห็น ว่าคุณใส่ใจกับประสบการณ์ของพวกเขา และมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงบริการอยู่เสมอ

4. อัปเดตข้อมูลของคุณให้เท่าทันสถานการณ์ล่าสุด

ตรวจดูให้แน่ใจว่า รายละเอียดของโรงแรมของคุณ เช่น ข้อมูลการติดต่อ สิ่งอำนวยความสะดวก และรูปถ่าย ตรงกับตามความจริงในปัจจุบัน และตรงกับที่อยู่ในโปรไฟล์ Tripadvisor ของคุณ เนื่องจากผู้เข้าพักเห็นมักจะเห็นดีเห็นงามกับความโปร่งใส และการที่รู้ว่าจะสามารถคาดหวังอะไรได้บ้างนั่นเอง ควรอัปเดตโปรไฟล์ของคุณเป็นประจำ เพื่อสะท้อนถึงการปรับปรุงอาคาร บริการใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ

5. มีส่วนร่วมกับผู้เข้าพักในระหว่างที่เข้าพัก

แก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว หากผู้เข้าพักมีข้อกังวลระหว่างที่เข้าพัก เนื่องจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า อาจทำให้รีวิวเชิงลบกลายเป็นรีวิวเชิงบวกได้นั่นเอง คุณสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำได้ ด้วยการเสนอความพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ผู้เข้าพักจะจดจำ และอยากพูดถึงในรีวิว เช่น เคล็ดลับที่ควรปฏิบัติในท้องที่ สิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ หรือบริการส่วนบุคคล เป็นต้น

6. คอยจับตาดูคู่แข่งของคุณเอาไว้

เรียนรู้จากคู่แข่งที่แกร่งที่สุด โดยการคอยติดตามดูสิ่งที่โรงแรมอันดับต้นๆ ในละแวกของคุณกำลังทำอยู่ สังเกตว่ารีวิวของพวกเขาเน้นไปที่สิ่งใด และพิจารณานำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเหล่านั้นมาใช้ สร้างความแตกต่างให้กับข้อเสนอของคุณ ด้วยการระบุสิ่งที่ทำให้โรงแรมของคุณโดดเด่น และดูแลให้แน่ใจว่า สิ่งนั้นได้รับการเน้นย้ำในการสื่อสาร และบริการของคุณ เนื่องจากผู้เข้าพักต่างก็ชื่นชม กับประสบการณ์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

ฉันตกอันดับใน Tripadvisor ได้อย่างไร?

อันดับของคุณบน Tripadvisor อาจลดลงได้ เนื่องจากปัจจัยสำคัญสองสามประการ ได้แก่ จำนวนหรือคุณภาพของรีวิวล่าสุดลดลง รีวิวเชิงลบที่คุณไม่ได้แก้ไขอย่างเหมาะสม หรือคู่แข่งได้รับรีวิวเชิงบวกมากขึ้น อีกทั้งข้อมูลโปรไฟล์ของคุณที่ล้าสมัย หรือบริการที่หยุดไปชั่วคราว ก็อาจส่งผลให้อันดับของคุณลดลงได้เช่นกัน

นี่คือเหตุผลที่การคอยดำเนินการสิ่งต่างๆ ใน Tripadvisor จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งคุณติดตามอันดับและรีวิวของคุณ รวมไปถึงอันดับ/รีวิวของคู่แข่งได้ใกล้ชิดมากเท่าไร โอกาสที่อันดับของคุณบน Tripadvisor จะตกก็จะน้อยลงเท่านั้น

]]>
การขายต่อยอดในโรงแรม: เทคนิค กลยุทธ์ และตัวอย่าง https://www.siteminder.com/th/r/upselling-hotel/ Wed, 02 Oct 2024 05:39:02 +0000 https://www.siteminder.com/?p=178104 การขายต่อยอดในโรงแรมคืออะไร?

การขายต่อยอด (upselling) ในโรงแรมเป็นแนวทางปฏิบัติในการกระตุ้นให้ผู้เข้าพักซื้อบริการเพิ่มเติมหรือซื้อการอัปเกรดบางอย่างเพิ่มเติมนอกเหนือจากการจองตามปกติซึ่งอาจรวมถึงการเสนอการอัปเกรดห้องพักหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเช่นทรีตเมนต์นวดสปาแพ็กเกจอาหารการเช็กอินได้ก่อนเวลาหรือเช็กเอาต์ได้เลยเวลาปกตินิดหน่อยหรือบริการพรีเมียมอื่นๆเป็นต้น

สำหรับในบล็อกนี้ คุณจะได้เรียนรู้เคล็ดลับทั้งหมดที่จำเป็น เพื่อให้การขายต่อยอดเป็นความความสำเร็จสำหรับธุรกิจของคุณ

เพราะเหตุใดการขายต่อยอดในโรงแรมจึงสำคัญ?

การขายต่อยอดในโรงแรมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยให้ทั้งโรงแรมและผู้เข้าพัก ได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการเข้าพัก สำหรับโรงแรมแล้ว นี่เป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ ด้วยการเสนอบริการพิเศษ หรือการอัปเกรดที่น่าจะสนใจให้กับผู้เข้าพัก เช่น ห้องพักที่มีวิวที่ดีกว่า ทรีตเมนต์นวดสปาอันผ่อนคลาย หรือประสบการณ์การรับประทานอาหารที่พิเศษสุด เป็นต้น

สำหรับผู้เข้าพักแล้ว สิ่งนี้จะทำให้การเข้าพักน่าสนใจขึ้น เพราะได้เพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้การเดินทางของตนมีความพิเศษ และได้ในสิ่งที่ต้องการ ทั้งนี้หากดำเนินการอย่างถูกต้องการขายต่อยอดคือการปรับปรุงประสบการณ์โดยรวมของผู้เข้าพัก และช่วยทำให้แน่ใจได้ว่า พวกเขาจะกลับบ้านไปพร้อมความสุข และรู้สึกอยากกลับมาอีก แถมผู้เข้าพักที่พึงพอใจยังมีแนวโน้มที่จะเขียนรีวิวเชิงบวกและกลับมาพักอีกในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจในระยะยาว

เพิ่มการขายต่อยอดของโรงแรมของคุณด้วย SiteMinder

เพิ่มความพึงพอใจของผู้เข้าพัก และเพิ่มรายได้ ด้วยคุณสมบัติการขายต่อยอดแบบอัตโนมัติ และตามความต้องการส่วนบุคคลของ SiteMinder.

ชมการสาธิต

เป้าหมายหลักของการขายต่อยอดในโรงแรมคืออะไร?

หากคุณคิดว่าเป้าหมายหลักของการขายต่อยอดเป็นเพียงแค่การเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรมของคุณเท่านั้นแสดงว่าคุณอาจจะลืมมองภาพรวมไปเสียแล้วจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการขายต่อยอดก็คือการยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพักนั่นเองเพราะการเน้นไปที่สิ่งที่จะเกิดประโยชน์ต่อผู้เข้าพักอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นห้องพักที่มีทัศนียภาพอันสวยงามหรือทรีตเมนต์นวดสปาที่แสนผ่อนคลายหรือแพ็กเกจรับประทานอาหารสุดพิเศษคุณจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นทั้งรีวิวในเชิงบวกความพึงพอใจของผู้เข้าพักและที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความภักดีของลูกค้านั่นเอง

เมื่อผู้เข้าพักรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญ ต่อความต้องการของตนเป็นอันดับแรก พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะกลับมาอีก และแนะนำโรงแรมของคุณแบบปากต่อปาก ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

วิธีขายต่อยอดจากห้องพักในโรงแรม

การขายต่อยอดต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยเน้นที่ประสบการณ์ของผู้เข้าพัก มากกว่าการพยายามขายให้ได้ จังหวะ น้ำเสียง และความละเอียดอ่อน ถือเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะกดดันเพื่อให้ขายให้ได้ ให้คิดเสียว่าเป็นการทำให้ผู้เข้าพักตระหนักถึงโอกาส ที่พวกเขาจะสามารถยกระดับการเข้าพักของตัวเองแทนเสียมากกว่า ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่าอัปเกรดเป็นห้องที่มีวิวทิวทัศน์เมื่อจ่าย 100 ดอลลาร์คุณอาจแนะนำแทนว่าเพียงเพิ่มแค่ 30 ดอลลาร์ คุณก็จะได้ห้องพักที่มีวิวทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว

ปรับแต่งความพยายามที่จะขายต่อยอด ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าพัก ผู้บริโภคมากกว่า 60% ยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เมื่อได้รับบริการเพิ่มเติม เพื่อเข้ามาช่วยเสริมการซื้อผลิตภัณฑ์หลักของตน โดยแนวทางที่ดีคือ การส่งอีเมลไปแจ้งก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง โดยสอบถามเกี่ยวกับความต้องการ หรือคำขอพิเศษอื่นๆ ที่พวกเขาอาจมี ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยในเรื่องการปรับการเข้าพัก ให้เหมาะสมตามความต้องการเท่านั้น แต่ยังช่วยเตรียมการขายต่อยอด ที่จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีอีกด้วย

ตัวอย่างและไอเดียการขายต่อยอดสำหรับโรงแรม

มีตัวเลือกมากมาย ที่จะเสนอให้กับผู้ที่มาเข้าพักที่โรงแรมของคุณ ให้พิจารณาจุดสำคัญๆ ต่อไปนี้ ที่จะคุณควรขายต่อยอด:

1. อาหารและเครื่องดื่ม

ส่งเสริมให้ผู้เข้าพักเริ่มต้นการเข้าพักด้วยความผ่อนคลาย ได้ด้วยเครื่องดื่มที่บาร์ หรือการฉลองในโอกาสพิเศษๆ ด้วยดีลการจัดงานเลี้ยง หรือการวางผลไม้และช็อกโกแลต หรือสิ่งพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมในห้องพัก หรือกระทั่งการสั่งของหวานได้หลังอาหารจานหลัก อย่าลืมนำเสนอหลากตัวเลือกให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้เข้าพักสามารถเลือกได้ด้วยตนเอง แทนที่จะทำตามคำแนะนำของคุณแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

2. บริการนวดสปา

หากผู้เข้าพักเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน หรืออาจจะมาถึงลาช้าจนเหนื่อยอ่อน ลองเชิญพวกเขาให้เพิ่ม แพ็กเกจ นวดสปาเมื่อเข้าพักดูสิ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยการนวดในวันแรก แล้วอาจตามด้วยตัวเลือกในการจองทรีตเมนต์แบบอื่นๆ เพิ่มเติม ในระหว่างที่พวกเขาเข้าพักในโรงแรมของคุณ

3. การอัปเกรดห้องพัก

เป็นกลยุทธ์ที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา และมักจะได้ผล เมื่อดำเนินการได้อย่างเหมาะสม โดยเมื่อนักเดินทางจองทริป พวกเขามักจะสามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นหากผู้เข้าพักจองห้องพักแบบมาตรฐานไว้ คุณสามารถลองติดต่อพวกเขาในช่วงวันก่อนที่จะเดินทางมาถึง แล้วลองเสนอการอัปเกรดห้องดูได้ ซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นอาจดูเล็กน้อยสำหรับพวกเขา เนื่องจากเมื่อถึงเวลาเข้าพักแล้ว สถานะทางการเงินของพวกเขามักจะลงตัวมากกว่า เมื่อเทียบกับการเดินทางแบบที่ไม่ได้จองทริปเอาไว้ล่วงหน้า

4.คุณสมบัติพิเศษภายในห้องพัก

คอยใส่ใจว่าใครจะมาพักที่โรงแรมของคุณบ้าง หากมากันเป็นครอบครัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมีอ่างอาบน้ำสำหรับเด็กๆ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการขายต่อยอด (upsell) หรือขายสินค้า/บริการคาบเกี่ยว (cross-sell) เพิ่มอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น ตัวอย่างอื่นๆ อาจรวมถึง การขายห้องที่มีระเบียง หรือมีเตียงขนาดใหญ่ให้กับคู่รัก

5. ข้อเสนอพิเศษสุด

สิ่งใดก็ตามที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำยิ่งขึ้นให้กับผู้เข้าพักของคุณ จะได้รับการตอบสนองที่ดี เช่น อาหารเช้าบนเตียง ช่อดอกไม้สด แชมเปญ ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า จากมุมมองของผู้เข้าพัก

6. กิจกรรมสันทนาการ

บริการให้เช่า และการขายกิจกรรมต่างๆ เช่น การขี่จักรยาน การใช้สนามเทนนิส ห้องฟิตเนส ซาวน่า ตั๋วภาพยนตร์ และทัวร์ชมเมือง เป็นเรื่องที่ไม่ลำบากนัก และมักจะทำให้ผู้เข้าพักสนใจได้ไม่ยาก

การขายต่อยอดในอุตสาหกรรมโรงแรม: เทคนิคและกลยุทธ์

เมื่อพูดถึงการขายต่อยอด ย่อมต้องมีบางอย่างที่คุณควรทำ และบางอย่างที่ไม่ควรทำ โปรดจำเคล็ดลับ 3 ข้อนี้ไว้เมื่อพัฒนากลยุทธ์ของคุณ:

1. การขายต่อยอดตั้งแต่ต้นจนจบ

การขายต่อยอดไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน หรือในช่วงที่มาถึงเท่านั้น ในระหว่างที่เข้าพัก ผู้เข้าพักมักจะดื่มด่ำกับประสบการณ์ของตน และมีแนวโน้มที่จะยอมรับข้อเสนอของคุณง่ายขึ้น หรือแม้ว่าพวกเขาจะกำลังจะเช็กเอาต์ก็ตาม คุณก็สามารถขอให้พวกเขาเข้าร่วมโปรแกรมสะสมคะแนน หรือซื้อตัวเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับการเข้าพักครั้งต่อไปได้

2. ใช้ซอฟต์แวร์ขายต่อยอดที่เหมาะสมสำหรับโรงแรม

การให้คุณเข้าถึงข้อมูลของผู้เข้าพักที่มหาศาล และมีความสามารถในการดำเนินกระบวนการขายโดยอัตโนมัติ ระบบการจัดการโรงแรม (PMS) และ ระบบการจอง ของคุณ จะทำให้การขายต่อยอดอย่างมีประสิทธิผลเป็นเรื่องง่าย

3. อบรมพนักงานของที่พักของคุณ

อนุญาตให้พนักงานของคุณ ได้สัมผัสทุกสิ่งที่คุณต้องการให้พวกเขาขาย เพื่อที่พวกเขาจะสามารถอธิบาย ให้ผู้เข้าพักทราบได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีความเข้าใจที่แท้จริง อีกทั้งยังสำคัญด้วยว่า พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการคัดค้าน หรือการปฏิเสธ ต้องตอบคำถามที่ประหลาด หรือตอบคำถามยากๆ ได้อย่างเยือกเย็น และหากลูกค้าปฏิเสธข้อเสนอ ก็อย่ารบเร้าที่จะขาย ให้เสนอทางเลือกอื่นแทน หรือเสนออีกครั้งในโอกาสต่อไป

การขายต่อยอดที่ดี จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้เข้าพัก ซึ่งส่งผลให้โรงแรมของคุณมีรายได้ และกำไรที่สูงขึ้นด้วย

]]>
รูมเซอร์วิสโรงแรม: คู่มือสำหรับผู้ประกอบการ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-room-service/ Tue, 24 Sep 2024 05:32:32 +0000 https://www.siteminder.com/?p=177871 รูมเซอร์วิสคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญสำหรับโรงแรม

รูมเซอร์วิส หรือบริการอาหารในห้องพัก เป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราและความสะดวกสบายในวงการโรงแรม บริการนี้ช่วยให้แขกสามารถอิ่มอร่อยกับอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยไม่ต้องออกจากห้องพัก

โดยทั่วไป บริการสั่งอาหารถึงห้องมักพบในโรงแรมระดับกลางถึงระดับหรู โดยทำงานคล้ายกับห้องอาหารในโรงแรม แต่มีจุดเด่นคือส่งตรงถึงประตูห้องของแขก ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้าบนเตียง อาหารว่างยามบ่าย หรือมื้อดึกสุดพิเศษ แขกสามารถสั่งได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่มโทรศัพท์

นอกจากเมนูอาหาร รูมเซอร์วิสยังครอบคลุมถึงบริการเสริมอื่นๆ เช่น ผ้าปูที่นอนสะอาด ชุดอุปกรณ์อาบน้ำ เพื่อให้การเข้าพักของแขกสะดวกสบายที่สุด

การบริหารจัดการรูมเซอร์วิสให้มีคุณภาพอาจเป็นส่วนที่ท้าทายที่สุดของธุรกิจโรงแรม เพราะแขกคาดหวังว่าจะมีบริการนี้ และอาจผิดหวังได้ง่ายหากประสบการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาด

นอกจากนี้ การทำให้บริการอาหารในห้องพักมีกำไรอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสูง

อย่างไรก็ตาม การมีรูมเซอร์วิสคุณภาพเยี่ยมก็มีข้อดีมากมายสำหรับโรงแรม เช่น:

  • สามารถนำเสนอบริการส่วนตัวให้กับลูกค้าได้
  • เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายให้แขก
  • สร้างความพึงพอใจสูง นำไปสู่รีวิวที่ดีขึ้น
  • เพิ่มมาตรการความปลอดภัย เช่น บริการแบบไร้การสัมผัส
  • โอกาสในการโปรโมทห้องอาหารของโรงแรม
  • ยกระดับเป็นโรงแรมบริการเต็มรูปแบบ

ในบทความนี้ เราจะแนะนำลักษณะของรูมเซอร์วิสคุณภาพสูง และวิธีที่ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถเพิ่มรายได้และกำไรจากบริการอาหารในห้องพัก ซึ่งเป็นแหล่งรายได้เสริมที่สำคัญของโรงแรม

สารบัญ

ประเภทของรูมเซอร์วิสในโรงแรม

รูมเซอร์วิสในปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลกว่าการส่งอาหารเช้าถึงห้องแบบดั้งเดิม โรงแรมสมัยใหม่นำเสนอบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์การเข้าพัก เน้นความสะดวกสบาย ความหรูหรา และความสะดวก มาดูกันว่ามีบริการอาหารในห้องพักแบบไหนบ้าง:

  • อาหารเช้าในห้องพัก: เริ่มต้นวันดีๆ ด้วยมื้อเช้าสุดอร่อยส่งตรงถึงห้อง
  • บริการอาหารกลางวัน: ตอบโจทย์ความหิวยามบ่ายด้วยเมนูหลากหลาย ตั้งแต่สลัดเบาๆ ถึงอาหารจานหลักแบบจัดเต็ม
  • อาหารค่ำ: ยกห้องอาหารของโรงแรมมาไว้ในห้องพัก มอบประสบการณ์ไฟน์ไดนิ่งพร้อมเมนูสุดพิเศษและบริการระดับพรีเมียม
  • บริการอาหารในห้องพัก 24 ชั่วโมง: สั่งอาหาร ของว่าง หรือเครื่องดื่มได้ตลอดเวลาตามต้องการ
  • สั่งอาหารออนไลน์: ใช้เทคโนโลยีให้แขกสั่งอาหารผ่านแอพหรือเว็บไซต์ สะดวกและปลอดภัยแบบไร้การสัมผัส
  • ไพรเวทไดนิ่ง: บริการห้องอาหารส่วนตัวสำหรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง
  • รถเข็นเสิร์ฟอาหาร: ยกระดับการเสิร์ฟอาหารด้วยรถเข็นสุดหรู รักษาอุณหภูมิอาหารและการจัดวางให้สวยงามตลอดการขนส่ง
  • แพ็คเกจพิเศษ: สร้างประสบการณ์ทานอาหารสุดพิเศษสำหรับวันเกิด วันครบรอบ หรือโอกาสพิเศษอื่นๆ

 

ตัวอย่างเมนูรูมเซอร์วิสโรงแรม

อาหารเรียกน้ำย่อย

  • สลัดซีซาร์คลาสสิก: ผักสลัดโรเมนสดกรอบคลุกเคล้ากับน้ำสลัดซีซาร์ โรยด้วยชีสพาร์เมซานและขนมปังกรอบ
  • ซุปมะเขือเทศกับใบโหระพา: ซุปครีมมะเขือเทศสุกกับใบโหระพาสด เสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียม
  • ค็อกเทลกุ้ง: กุ้งสดแช่น้ำจิ้มซีฟู้ด เสิร์ฟบนเตียงผักสลัดกรอบ

อาหารจานหลัก

  • ปลาแซลมอนย่าง: เนื้อปลาแซลมอนย่างสุกกำลังดี ราดด้วยซอสเนยมะนาว เสิร์ฟพร้อมผักตามฤดูกาลและมันฝรั่งอบสมุนไพร
  • พาสต้าอัลเฟรโดไก่: เส้นเฟตตูชินีคลุกเคล้ากับซอสครีมอัลเฟรโดและเนื้อไก่นุ่ม โรยด้วยผักชีฝรั่ง
  • ผัดผักรวมมิตร: ผักสดหลากชนิดผัดกับซอสถั่วเหลือง เสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิ

ของหวาน

  • ช็อกโกแลตฟองดองท์: เค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่มไส้เยิ้ม เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวานิลลา
  • ทิรามิสุ: ขนมหวานอิตาเลียนคลาสสิก เลเยอร์บิสกิตชุบกาแฟสลับกับครีมมาสคาร์โปเน โรยด้วยผงโกโก้
  • ชีสเค้กเบอร์รี่: ชีสเค้กเนื้อนุ่มราดด้วยคอมโพตผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สดชื่น

เครื่องดื่ม

  • คลาสสิกโมฮิโต้: ค็อกเทลสดชื่นผสมรัมขาว น้ำมะนาว น้ำตาล โซดา และใบมิ้นต์
  • คาปูชิโน่ (และกาแฟชนิดอื่นๆ): เอสเพรสโซ่เข้มข้นท็อปด้วยนมร้อนและฟองนม เหมาะสำหรับการเติมพลังด้วยคาเฟอีน
  • น้ำผลไม้รวมเมืองร้อน: น้ำผลไม้เมืองร้อนหลากชนิดผสมกัน เสิร์ฟเย็น ช่วยให้สดชื่น

วิธีเพิ่มรายได้จากรูมเซอร์วิสในโรงแรม

การเพิ่มยอดขายและรายได้จากบริการอาหารในห้องพักนั้นสามารถสร้างผลกำไรให้ทั้งโรงแรมและความพึงพอใจให้แขก ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเพิ่มรายได้จากรูมเซอร์วิสของโรงแรม:

ตรวจสอบรายการอาหารในเมนูรูมเซอร์วิสของคุณ

ขั้นตอนแรกในการเพิ่มรายได้สูงสุดจากรูมเซอร์วิส คือการลดหรือเลิกรายการที่ขายไม่ดี ปรับปรุงรายการที่ขายดี และพิจารณาเพิ่มเมนูใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย

ทั้งนี้ต้องอ้างอิงจากข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือการสังเกตทั่วไป

  • ตรวจสอบบันทึกย้อนหลัง 1-2 ปี ระบุรายการอาหารและเครื่องดื่มที่ขายดีและขายไม่ดีที่สุด
  • วิเคราะห์ความนิยมตามฤดูกาล ดูว่ามีความแตกต่างในการสั่งอาหารแต่ละช่วงหรือไม่
  • ศึกษาข้อมูลภายนอกจากอุตสาหกรรมและโรงแรมที่มีลักษณะคล้ายกัน เพื่อดูว่าเมนูไหนกำลังเป็นที่นิยม
  • ปรับเมนูตามผลการรวบรวมข้อมูล ให้มีรายการที่เป็นที่ต้องการสูง และอัปเดตตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของปี

ตัวอย่างข้อมูลที่น่าสนใจจาก SuitePad พบว่า เบอร์เกอร์เป็นอาหารรูมเซอร์วิสยอดนิยมในทุกโรงแรม ขณะที่พาสต้าเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุด

สำหรับเครื่องดื่ม น้ำส้มคั้นเป็นที่นิยมมากที่สุดในโรงแรมพักผ่อนและรีสอร์ท แต่กลับได้รับความนิยมน้อยที่สุดในโรงแรมในเมือง อาจเป็นเพราะโรงแรมพักผ่อนหรือในภูมิภาคมักนำเสนอผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสดใหม่

จะเห็นได้ว่าไม่มีวิธีการแบบตายตัวที่จะประสบความสำเร็จในทุกกรณี กลยุทธ์รูมเซอร์วิสของคุณต้องเฉพาะเจาะจงกับโรงแรม ทำเลที่ตั้ง และกลุ่มแขกของคุณ

แขกในเมืองอาจต้องการกาแฟดีๆ ในตอนเช้า ขณะที่แขกโรงแรมบูทีคอาจชอบน้ำผลไม้คั้นสดสำหรับมื้อบรันช์

อีกวิธีในการตรวจสอบรูมเซอร์วิสคือ ส่งเสริมให้แขกแสดงความคิดเห็นผ่านรีวิว การ์ดแสดงความคิดเห็น หรือกล่องรับข้อเสนอแนะ เพื่อดูว่าแขกชอบอะไรและต้องการเห็นอะไรในครั้งต่อไป

ปรับปรุงวิธีการขายและส่งอาหาร

หากเมนูรูมเซอร์วิสของคุณไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อาจต้องปรับปรุงประสบการณ์โดยรวมและนำเสนอบางสิ่งที่พิเศษเพื่อดึงดูดความสนใจของแขก

ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่การระบาดของโควิด-19 รุนแรง โรงแรมหลายแห่งต้องเปลี่ยนวิธีการให้บริการรูมเซอร์วิสและประสบการณ์ของแขกโดยรวม

Image of guests enjoying hotel room service

วิธีปรับปรุงรูมเซอร์วิสในโรงแรมให้ดียิ่งขึ้น

ในยุคที่ความคาดหวังของแขกเปลี่ยนแปลงไป โรงแรมจำเป็นต้องพัฒนาวิธีการให้บริการอาหารในห้องพักให้ทันสมัย มาดูกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเพื่อยกระดับรูมเซอร์วิสของโรงแรมคุณให้โดดเด่นยิ่งขึ้น

1. สร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

นิตยสาร Forbes ได้ยกตัวอย่างโรงแรมที่นำเสนอบริการสุดพิเศษ เช่น: Carneros Resort ในนาปาเพิ่มเครื่องจ่ายไวน์พลัมในห้องพัก หรือThe Houstonian Hotel, Club and Spa ดัดแปลงห้องบอลรูมให้เป็นโรงภาพยนตร์สำหรับ 26 คู่ โดยจัดโต๊ะแบบ 2 ที่นั่งเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม อีกที่นึงที่ Ocean House ในโรด ไอแลนด์ นำบริการแฮปปี้อาวร์มาถึงห้องพัก ด้วยรถเข็นค็อกเทลที่ให้บริการระหว่าง 17.00-19.00 น

บางครั้งการเสนอเพียงหนึ่งรายการพิเศษก็สามารถดึงดูดความสนใจของแขกให้สั่งเมนูอื่นๆ เพิ่มเติม และยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษ

2. ปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพ

บางครั้ง ความสำเร็จของบริการอาหารในห้องพักขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ หากคุณสามารถพัฒนาความรวดเร็วในการจัดส่งอาหาร การนำเสนออาหารอย่างสวยงาม และการตอบสนองต่อคำขอและข้อสงสัยของแขกอย่างรวดเร็ว คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

กลยุทธ์แรกที่ควรพิจารณาคือการกระจายการทำงานของรูมเซอร์วิส นั่นคือ การแยกส่วนรูมเซอร์วิสออกจากครัวหลักของโรงแรม และจัดตั้งทีมเฉพาะเพื่อดูแลบริการอาหารในห้องพัก สำหรับโรงแรมขนาดใหญ่ อาจพิจารณาจัดพื้นที่เตรียมอาหารแยกในแต่ละชั้น

อีกหนึ่งวิธีที่แนะนำอย่างยิ่งคือการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น แอปพลิเคชันของโรงแรมสำหรับจัดการรูมเซอร์วิส หรือการติดตั้งแท็บเล็ตประจำห้องพักเพื่อให้แขกสั่งอาหารและติดต่อสื่อสารได้สะดวก

การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แขก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจาก 68% ของผู้สั่งรูมเซอร์วิสทำเพื่อความสะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังช่วยรับประกันว่าคำสั่งจะถูกประมวลผลอย่างถูกต้องและลดความล่าช้าในการให้บริการ

3. การยกระดับบริการในรูมเซอร์วิส

เมื่อรูมเซอร์วิสผิดพลาด คุณอาจเจอรีวิวแย่ๆ แบบนี้ใน TripAdvisor:

“ผมสั่งรูมเซอร์วิสตอนประมาณ 5 ทุ่ม อาหารมาถึงห้องในสภาพเย็นชืด เห็นชัดว่าเป็นอาหารแช่แข็งที่อุ่นไม่ดีพอ น่าผิดหวังมาก เมื่อทำใหม่และเสิร์ฟมาในอุณหภูมิที่ถูกต้อง กลับไม่มีส้อมมาให้ ผมโทรขอส้อม แต่กลับได้หมอนมาแทน”

การใส่ใจรูมเซอร์วิสให้เทียบเท่ากับบริการในห้องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ ลองถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้เพื่อปรับปรุงบริการ:

  1. การสั่งอาหารรวดเร็วและง่ายดายหรือไม่?
  2. การสื่อสารสะดวกและตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็วหรือไม่?
  3. อาหารและเครื่องดื่มส่งถึงโดยไม่หกเลอะและอุณหภูมิถูกต้องหรือไม่?
  4. พนักงานส่งอาหารเป็นมิตรและช่วยเหลือดีหรือไม่?
  5. คุณเปิดรับการสั่งอาหารแบบเฉพาะบุคคลหรือไม่? เช่น เพิ่มอะไรพิเศษสำหรับวันเกิดของแขก
  6. รายการในเมนูสามารถปรับแต่งได้หรือไม่?
  7. อาหารและเครื่องดื่มมีคุณภาพการนำเสนอเทียบเท่าห้องอาหารหรือไม่? ดูน่ารับประทานและ ‘ถ่ายรูปลง Instagram’ ได้หรือไม่?
  8. ผลิตภัณฑ์ของคุณสอดคล้องกับแบรนด์และธีมของโรงแรมหรือไม่?

การขยายบริการรูมเซอร์วิสนอกเหนือจากในห้องพักจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แขก เช่น อาจให้สั่งอาหารไปที่สระว่ายน้ำ สปา ห้องเกม หรือสถานที่อื่นๆ ในโรงแรม

4. วิธีโปรโมทรูมเซอร์วิสให้มีประสิทธิภาพ

หากรายได้จากรูมเซอร์วิสของคุณไม่ดี อาจเป็นเพราะคุณยังไม่ได้สร้างการรับรู้หรือความตื่นเต้นให้แขกมากพอ

หลังจากปรับปรุงเมนูและกระบวนการแล้ว คุณควรทำแคมเปญหรือริเริ่มบางอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าแขกรู้ว่ารูมเซอร์วิสของคุณยอดเยี่ยมแค่ไหน

วิธีโปรโมทรูมเซอร์วิส:

  • ใช้แอพของโรงแรมโปรโมทโปรโมชันรูมเซอร์วิส
  • วางตัวอย่างอาหารในล็อบบี้หรือพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน
  • โฆษณาด้วยใบปลิวหรือโปสเตอร์ในลิฟต์หรือบันได
  • ใส่โน้ตต้อนรับและ QR code ในห้องพัก
  • รวบรวมฟีดแบ็กเกี่ยวกับรูมเซอร์วิสและแชร์ความคิดเห็นเชิงบวกบนโซเชียลมีเดีย

วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการแจ้งข้อเสนอรูมเซอร์วิสระหว่างกระบวนการจองผ่านระบบจองออนไลน์ เมื่อแขกเลือกห้องและบริการเสริม นี่คือโอกาสในการขายเพิ่ม (upsell) รูมเซอร์วิสของคุณ เช่น:

  • เสนอรูมเซอร์วิสฟรีหากอัพเกรดห้อง
  • เสนอเมนูพิเศษสำหรับมื้อแรกเมื่อเช็คอิน
  • เสนอบริการอาหารเช้าในห้องพักทุกเช้า
  • แพ็คเกจและข้อเสนอพิเศษที่รวมรูมเซอร์วิส

การใช้เทคโนโลยีการจองและแอพพลิเคชันดิจิทัลจะช่วยให้รูมเซอร์วิสของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ยิ่งดีกว่านั้นหากคุณสามารถรวมศูนย์การจัดการทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเดียว เพื่อบริหารโรงแรมจากจุดเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
ปัญหาจองเกินโรงแรม: กลยุทธ์ วิธีแก้ปัญหา https://www.siteminder.com/th/r/hotel-overbookings-pros-and-cons-strategy/ Tue, 24 Sep 2024 05:24:26 +0000 https://www.siteminder.com/?p=177869 การจองเกิน หรือ “โอเวอร์บุ๊คกิ้ง” ของโรงแรมคืออะไร?

การจองเกิน หรือการจองซ้ำซ้อน (overbooking) เกิดขึ้นเมื่อโรงแรมขายห้องพักมากกว่าจำนวนที่มีอยู่จริงในคืนนั้นๆ หลายโรงแรมทำเช่นนี้โดยเจตนาเพื่อชดเชยการยกเลิกนาทีสุดท้ายหรือกรณีที่แขกไม่มาเช็คอิน ช่วยป้องกันการสูญเสียรายได้และอัตราการเข้าพัก

แน่นอนว่าการจองเกินอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจได้เช่นกัน สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือเมื่อระบบไม่อัพเดตจำนวนห้องว่างในบางช่องทางการจอง ทำให้ไม่สามารถปิดการขายได้ทันเวลา ส่งผลให้ยังมีการจองเข้ามาแม้ว่าโรงแรมจะเต็มแล้ว

การจองเกินในโรงแรมเป็นประเด็นที่มักสร้างความเห็นแตกต่างในวงการธุรกิจโรงแรม ผู้ประกอบการแต่ละรายมีมุมมองที่แตกต่างกันไป บางคนเห็นว่าเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มรายได้ ในขณะที่บางคนกังวลถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสูญเสียความน่าเชื่อถือหรือการรีวิวในแง่ลบ โดยเฉพาะในยุคที่การรีวิวออนไลน์มีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว การจัดการกับสถานการณ์การจองเกินจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ผู้บริหารโรงแรมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถลดความเสี่ยงในการต้องหาที่พักอื่นให้แขกได้ หากมีกลยุทธ์การจัดการปัญหาจองเกินที่รัดกุม ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการขายเกิน

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับข้อดี ความเสี่ยง และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของกลยุทธ์การจัดการปัญหาจองเกินในโรงแรม

สารบัญ

เมื่อโรงแรมเกิดการจองเกิน (Overbooking) ต้องทำอย่างไร?

เมื่อโรงแรมของคุณมีการจองเกินในวันใดวันหนึ่ง ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น การมีขั้นตอนการจัดการที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญมาก

1. ตรวจสอบอัตราการเข้าพัก

ติดตามอัตราการเข้าพักอย่างใกล้ชิดและปิดช่องทางการจองก่อนที่จะเกิดการจองเกินมากเกินไป ตรวจสอบข้อมูลเพื่อดูว่าคุณสามารถคาดการณ์การยกเลิกและการไม่มาเช็คอินได้มากน้อยเพียงใด ใช้ข้อมูลนี้เพื่อประเมินว่าคุณสามารถรับการจองเพิ่มได้อีกกี่ห้อง และปิดการขายในเวลาที่เหมาะสม

2. วิเคราะห์การโอนย้ายแขกที่อาจเกิดขึ้น

ในวันที่มีการจองเกิน วิเคราะห์รายชื่อแขกที่จะเข้าพักเพื่อพิจารณาว่าใครที่คุณสามารถโอนย้ายไปพักที่โรงแรมอื่นได้ การตัดสินใจนี้มีผลอย่างมากต่อความสำเร็จของกลยุทธ์การจัดการการจองเกิน ดังนั้นต้องเลือกอย่างรอบคอบ

หากเป็นไปได้ ให้รักษาแขกกลุ่มต่อไปนี้ไว้:

  • แขกประจำ: การโอนย้ายแขกที่มาพักเป็นประจำอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ เพราะอาจคิดว่าคุณไม่ให้ความสำคัญกับพวกเขา ในกรณีที่แย่ที่สุด อาจทำให้สูญเสียลูกค้าประจำและธุรกิจในอนาคตได้
  • สมาชิกโปรแกรมสะสมคะแนน: แขกที่มาพักครั้งแรกแต่เป็นสมาชิกโปรแกรมสะสมคะแนนของคุณ (หรือของเครือโรงแรม) ควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสที่จะกลับมาพักซ้ำสูง
  • แขกที่จองโดยตรง: รักษาแขกที่จองผ่านเว็บไซต์ของคุณไว้ เพราะมีโอกาสที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำของโรงแรมหรือแบรนด์ของคุณสูง
  • แขกที่จ่ายราคาสูงหรือเข้าพักระยะยาว: ผู้ที่จองแพ็คเกจพิเศษ (เช่น รวมบริการเสริม) ห้องพักระดับที่แพงกว่า หรือเข้าพักเป็นเวลานาน จะสร้างมูลค่ามากกว่าการจองห้องมาตรฐานแค่คืนเดียว
  • นักท่องเที่ยวที่มาฉลองโอกาสพิเศษ: ผู้ที่มาพักที่โรงแรมของคุณเพื่อฉลองวันเกิดหรือครบรอบแต่งงาน อาจเลือกโรงแรมของคุณด้วยเหตุผลเฉพาะ การโอนย้ายพวกเขาอาจทำให้วันพิเศษของพวกเขาเสียหายและอาจนำไปสู่การรีวิวที่แย่มากได้

เมื่อต้องเลือกแขกที่จะโอนย้ายไปพักที่โรงแรมอื่น แขกที่จองห้องพักมาตรฐานเพียงคืนเดียวผ่านเว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์ (OTA) มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบรายการจองเพื่อดูว่ามีใครบ้างที่ยังไม่ได้ชำระเงินล่วงหน้า ไม่ได้วางมัดจำ หรือไม่ได้ให้ข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อการันตีการจอง

เนื่องจากการจองเหล่านี้มีโอกาสถูกยกเลิกสูงกว่า คุณสามารถเพิ่มพวกเขาลงในรายชื่อแขกที่อาจต้องโอนย้ายไปพักที่โรงแรมอื่น (book-out) หากเกิดสถานการณ์จองเกิน การวางแผนล่วงหน้าเช่นนี้จะช่วยให้คุณจัดการสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อถึงเวลาจริง

3. เสนอค่าชดเชย

จัดหาที่พักทางเลือกและค่าชดเชย: ทันทีที่ทราบจำนวนแขกที่ต้องย้ายออก ให้หาที่พักที่เหมาะสมให้พวกเขาโดยเร็ว พิจารณาเสนอค่าชดเชยด้วย เช่น ส่วนลดสำหรับการเข้าพักครั้งต่อไป บริการรถรับส่งฟรี หรือเครดิตสำหรับใช้บริการในโรงแรม เพื่อแสดงความเสียใจและขอบคุณสำหรับความร่วมมือ การดูแลเอาใจใส่ในจุดนี้จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและชื่อเสียงของโรงแรมในระยะยาว

4. แจ้งข้อมูลแขกให้ทีมงานทราบอย่างทั่วถึง

แจ้งรายชื่อแขกที่ต้องย้ายไปพักโรงแรมอื่น พร้อมทั้งข้อมูลโรงแรมใหม่ให้กับทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นแผนกต้อนรับ ฝ่ายรักษาความปลอดภัย และพนักงานขนกระเป๋า จากนั้นให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อแขกกลุ่มนี้มาถึง เช่น การอธิบายสถานการณ์ การพาไปยังรถรับส่ง หรือการมอบของที่ระลึกขอโทษ เป้าหมายคือทำให้กระบวนการทั้งหมดราบรื่นที่สุด เพื่อลดความไม่พอใจและความเครียดที่แขกอาจรู้สึก การเตรียมพร้อมของทีมงานจะช่วยให้แขกรู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างดี แม้ในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกเช่นนี้

ตัวอย่างนโยบายการจองเกินของโรงแรม

การจองเกิน (Overbooking) เป็นแนวปฏิบัติทั่วไปในอุตสาหกรรมโรงแรม มักใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้สูงสุดและรับมือกับการยกเลิกหรือการไม่มาเช็คอินในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม แนวทางการจองเกินอาจแตกต่างกันไปในแต่ละโรงแรม ต่อไปนี้คือตัวอย่างของนโยบายการจองเกินของโรงแรม:

  • การจองเกินตามเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด: โรงแรมบางแห่งอาจเลือกจองเกินตามเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอน เช่น 2%, 3% หรือแม้กระทั่ง 10% เปอร์เซ็นต์นี้มักอิงจากข้อมูลในอดีตและประสบการณ์ของโรงแรมเกี่ยวกับการยกเลิกและการไม่มาเช็คอิน
  • นโยบายการย้ายที่พัก: เมื่อโรงแรมจองเกินและไม่สามารถรองรับแขกได้ แขกจะถูก “ย้าย” ไปยังโรงแรมอื่น โดยทั่วไปโรงแรมเดิมจะจัดการและจ่ายค่าที่พักให้แขกที่โรงแรมอื่น นโยบายนี้พบได้ทั่วไปในอุตสาหกรรม แต่คุณภาพของโรงแรมทางเลือกอาจแตกต่างกัน บางโรงแรมอาจย้ายแขกไปยังที่พักที่มีมาตรฐานเทียบเท่า ในขณะที่บางแห่งอาจต้องย้ายแขกไปยังโรงแรมที่มีราคาถูกกว่าหรือคุณภาพด้อยกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่พอใจได้
  • นโยบายการชดเชย: ในหลายกรณี โรงแรมที่จองเกินจะมอบการชดเชยให้กับแขกสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการเดินทางฟรีไปยังโรงแรมทางเลือก มื้ออาหารฟรี หรือการพักฟรีหนึ่งคืน รายละเอียดของนโยบายนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโรงแรมรวมถึงกฎหมายท้องถิ่น นอกจากนี้ OTA หลายแห่งยังมีกฎเฉพาะเกี่ยวกับการจองเกินและการชดเชยที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ยังคงอยู่บนแพลตฟอร์มได้

โปรดจำไว้ว่านี่เป็นเพียงตัวอย่างทั่วไป และนโยบายที่แน่นอนอาจแตกต่างกันอย่างมากระหว่างโรงแรมแต่ละแห่ง จึงควรทำความคุ้นเคยกับนโยบายการจองเกินของโรงแรมก่อนทำการจองเสมอ

การจองเกินถูกกฎหมายหรือไม่?

การจองเกินนั้นถูกกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย แม้จะไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ระบุเรื่องนี้ แต่โดยทั่วไปแล้วถือเป็นแนวปฏิบัติที่ยอมรับได้ในอุตสาหกรรมโรงแรม เช่นเดียวกับสายการบิน โรงแรมมักใช้วิธีนี้เพื่อชดเชยกรณีแขกไม่มาเช็คอินหรือยกเลิกในนาทีสุดท้าย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้ให้สูงสุด

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่โรงแรมที่ใช้วิธีนี้ต้องรับผิดชอบหาที่พักทดแทนให้แขกที่ไม่สามารถรองรับได้ วิธีปฏิบัตินี้เรียกว่าการ “ย้าย” แขก (walking) ซึ่งมักหมายถึงการจองโรงแรมใกล้เคียงที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าให้แขก และโรงแรมเดิมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนต่างทั้งหมด

สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ แม้การจองเกินจะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แต่กฎระเบียบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจมีความแตกต่างระหว่างกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด หรือระหว่างแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการโรงแรมควรศึกษาข้อกำหนดและแนวปฏิบัติในพื้นที่ของตนให้ดี รวมถึงปรึกษากับสมาคมโรงแรมในท้องถิ่นเพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามมาตรฐานของอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม

เหตุผลที่โรงแรมบางแห่งใช้กลยุทธ์การจองเกินจำนวนห้องพัก

การบริหารจัดการโรงแรมนั้นมีความซับซ้อนและต้องอาศัยกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีอัตราการเข้าพักและรายได้ที่เหมาะสมที่สุด การจองเกินจำนวนห้องพัก หรือ Overbooking เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่โรงแรมหลายแห่งนำมาใช้เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของการยกเลิกการจองในนาทีสุดท้ายและการไม่มาเช็คอิน แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่วิธีนี้ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มรายได้จากห้องพักให้สูงสุดและบรรลุเป้าหมายการเข้าพักเต็ม มีสองเหตุผลหลักที่โรงแรมเลือกใช้กลยุทธ์นี้:

1. เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียรายได้

การยกเลิกการจองเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ มีการศึกษาพบว่ารายได้จากการจองล่วงหน้าสูงถึง 40% อาจสูญเสียไปเนื่องจากการยกเลิก หากการยกเลิกเกิดขึ้นล่วงหน้านานพอ โรงแรมยังมีโอกาสหาลูกค้ารายใหม่มาทดแทนได้

แต่หากเป็นการยกเลิกในนาทีสุดท้ายหรือลูกค้าไม่มาเช็คอิน ห้องพักมักจะขายไม่ออกและทำให้สูญเสียรายได้ การจองเกินช่วยหลีกเลี่ยงปัญหานี้และช่วยให้โรงแรมสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพในการสร้างรายได้ของทุกห้องได้อย่างเต็มที่

2. เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอัตราการเข้าพัก 100%

หากมีลูกค้าไม่มาเช็คอินหรือยกเลิกการจองในนาทีสุดท้าย อัตราการเข้าพักจริงจะต่ำกว่า 100% แม้ว่าในตอนแรกจะมีการจองเต็มทุกห้องก็ตาม การจองเกินช่วยชดเชยการจองที่หายไปเหล่านี้และช่วยให้มั่นใจได้ว่าโรงแรมจะสามารถบรรลุเป้าหมายอัตราการเข้าพัก 100% ได้

วิธีเพิ่มข้อได้เปรียบจากการจองเกินในโรงแรม

แม้การจองเกินอาจดูเหมือนกลยุทธ์ที่เสี่ยง แต่เมื่อดำเนินการอย่างถูกต้อง มันสามารถช่วยให้โรงแรมได้รับประโยชน์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อใช้ประโยชน์จากการจองเกินอย่างแท้จริง โรงแรมจำเป็นต้องมีแนวคิดเชิงกลยุทธ์และมุ่งเน้นการบริการลูกค้า นี่คือวิธีการ:

1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์อย่างแม่นยำ

การวิเคราะห์ข้อมูลการไม่มาเช็คอินและการยกเลิกในอดีตเป็นขั้นตอนแรกของกลยุทธ์การจองเกินที่ประสบความสำเร็จ การรู้สถิติจะช่วยให้คุณคาดการณ์ได้แม่นยำ จัดการห้องพักได้ดีขึ้น และกำหนดขีดจำกัดการจองเกินที่เหมาะสม

2. นำมาตรฐานการปฏิบัติงานสำหรับการจองเกินมาใช้

กำหนดกระบวนการมาตรฐานและให้ทีมของคุณมีทุกสิ่งที่จำเป็นในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะช่วยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นแม้ในช่วงที่เต็ม 100% และลดความไม่สะดวกสำหรับแขกที่คุณต้องหาที่พักทดแทนให้

3. ร่วมมือกับโรงแรมใกล้เคียง

โรงแรมส่วนใหญ่มีการจองเกินเป็นครั้งคราว ดังนั้นทำไมไม่ช่วยเหลือกัน? จัดทำสัญญารับแขกล้นที่ระบุเงื่อนไขในการรับแขกของกันและกันในช่วงเวลาคับขัน วิธีนี้คุณจะมีทางเลือกที่ดีเสมอ และสามารถสร้างรายได้เพิ่มเมื่อคู่แข่งเต็ม

4. ฝึกอบรมพนักงานต้อนรับเกี่ยวกับการจัดการการจองเกิน

การแจ้งแขกที่ไม่ทันตั้งตัวว่าต้องย้ายไปพักที่อื่นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พนักงานของคุณจำเป็นต้องรู้วิธีรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ จัดอบรมเรื่องการจัดการข้อร้องเรียน การลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น และการเสนอค่าชดเชยที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ควรอัปเดตข้อมูลที่พักสำรองให้พนักงานทราบด้วย เพื่อให้สามารถช่วยเหลือแขกในการเดินทางไปยังที่พักใหม่ได้อย่างราบรื่นที่สุด

ความท้าทายและวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับการจองเกิน

แม้ว่าการจองเกินอาจมีข้อดีบางประการ แต่คุณควรคำนึงถึงความเสี่ยงและข้อเสียเมื่อวางแผนกลยุทธ์การจองห้องพัก ต่อไปนี้คือความท้าทายหลักๆ และวิธีรับมือ

1. ประสบการณ์ที่ไม่ดีของแขก

แขกที่มาถึงโรงแรมแล้วต้องถูกส่งไปที่อื่นย่อมไม่พอใจแน่นอน และหลายคนอาจไม่อยากกลับมาพักอีก อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมให้พวกเขา และพยายามทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่โรงแรมใหม่

2. ผลกระทบต่อชื่อเสียงออนไลน์

คุณคงเห็นด้วยว่าเราไม่สามารถโทษแขกได้หากพวกเขาเขียนรีวิวแย่ๆ หรือร้องเรียนบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงโดยรวมของโรงแรม หรือนำไปสู่การกล่าวถึงในแง่ลบ และทำให้สูญเสียการจองในอนาคต

วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหานี้คือการเสนอค่าชดเชยที่คุ้มค่า และทำให้การย้ายไปโรงแรมอื่นเป็นไปอย่างง่ายดายและราบรื่นที่สุด

3. สถานการณ์ยากลำบากสำหรับพนักงาน

โดยปกติ ผู้จัดการฝ่ายสำรองห้องพักหรือผู้จัดการฝ่ายรายได้จะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องการจองเกิน แต่พนักงานต้อนรับคือผู้ที่ต้องแจ้งแขกว่าพวกเขาต้องย้ายไปพักที่อื่น

นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับทีมพนักงานต้อนรับ และอาจเครียดมากขึ้นตามปฏิกิริยาของแขก วิธีลดปัญหานี้คือใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดระดับการจองเกินที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการจองเกินเกินกว่านั้น

การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาการจองเกินในโรงแรม

แม้ว่าคุณสามารถจัดการกลยุทธ์การจองเกินด้วยตนเองได้ แต่วิธีนี้จะใช้เวลามากเกินไป แทนที่จะทำเช่นนั้น การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสำหรับโรงแรมต่อไปนี้จะช่วยประหยัดเวลาและปรับปรุงผลลัพธ์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น

ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager) เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยอัพเดทข้อมูลห้องพักแบบเรียลไทม์และส่งข้อมูลการจองใหม่ระหว่างช่องทางการขายออนไลน์ทั้งหมดกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) ของคุณ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณควบคุมช่องทางการจำหน่ายและกำหนดขีดจำกัดการจองเกินได้ ทำให้มั่นใจว่าคุณจะไม่ขายเกินกว่าที่รับไหว

ระบบจองห้องพักออนไลน์ที่มีโซลูชันการชำระเงินแบบบูรณาการช่วยเพิ่มประสบการณ์การจองของแขก โดยให้พวกเขาจอง รับประกัน หรือแม้แต่ชำระเงินล่วงหน้าสำหรับการจองผ่านเว็บไซต์ของคุณโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนการจองที่ยืนยันแล้วและลดความเสี่ยงจากการยกเลิกในนาทีสุดท้าย

แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลของโรงแรมได้อย่างลึกซึ้ง โดยสำรวจรูปแบบการไม่มาเช็คอิน การยกเลิก การพักเกินกำหนด และการออกก่อนกำหนด การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้คุณตัดสินใจเกี่ยวกับขีดจำกัดการจองเกินที่ปลอดภัยได้อย่างชาญฉลาด

แพลตฟอร์มของ SiteMinder มีเครื่องมือเหล่านี้และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อมอบโซลูชันครบวงจรในการจัดการการจองห้องพักของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือ 3 จุดเด่นหลักของแพลตฟอร์ม SiteMinder:

  • ระบบการทำงานที่ราบรื่น: แพลตฟอร์มของ SiteMinder เชื่อมต่อกับระบบที่คุณใช้อยู่ ช่วยให้ข้อมูลเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ และทำให้การจัดการการจอง สต็อคห้องพัก และกลยุทธ์การรับจองเกินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตัดสินใจด้วยข้อมูล: ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจของ SiteMinder คุณสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลของโรงแรมเพื่อตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ช่วยเพิ่มรายได้และอัตราการเข้าพักได้อย่างเต็มที่
  • ยกระดับประสบการณ์ของแขก: ระบบจองห้องพักออนไลน์ของ SiteMinder ไม่เพียงทำให้กระบวนการจองง่ายขึ้นสำหรับแขกเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมโซลูชันการชำระเงินแบบครบวงจร ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับแขกและเพิ่มจำนวนการจองที่ได้รับการยืนยัน

สนใจอยากรู้ว่าแพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงแรมอย่าง SiteMinder จะช่วยให้คุณควบคุมและจัดการการจองห้องพักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร? ติดต่อเราวันนี้เพื่อข้อมูลเพิ่มเติม

]]>
การเช็คอินผ่านมือถือสำหรับโรงแรม: คู่มือแนะนำ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-mobile-check-in/ Tue, 24 Sep 2024 05:17:09 +0000 https://www.siteminder.com/?p=177862 การเช็คอินผ่านมือถือที่โรงแรมคืออะไร?

การเช็คอินผ่านมือถือสำหรับโรงแรม คือบริการที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้แขกสามารถเช็คอินเข้าห้องพักได้ด้วยสมาร์ทโฟนของตัวเอง โดยไม่ต้องต่อแถวที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ บริการนี้มักจะอยู่ในรูปแบบของแอปพลิเคชันของโรงแรมหรือเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ ที่ช่วยให้แขกเช็คอิน เลือกห้อง และบางทีถึงขั้นเปิดประตูห้องได้ด้วยมือถือเครื่องเดียว ไม่ต้องง้อบัตรคีย์การ์ดอีกต่อไป

การเช็คอินออนไลน์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมการบินไปอย่างสิ้นเชิง แต่ที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมยังปรับตัวช้ากว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังไม่มีความจำเป็นทางธุรกิจมากนัก อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ซับซ้อน แต่เมื่อแขกเริ่มเรียกร้องบริการนี้มากขึ้น โรงแรมหลายแห่งจึงเริ่มนำเทคโนโลยีนี้มาใช้

โรงแรมแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีระบบจัดการโรงแรม (PMS) ให้เลือกใช้มากมาย ทำให้การวางแผนปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม

ในบทความนี้ เราจะให้ภาพรวมเกี่ยวกับวิธีการเลือกระบบเช็คอินที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ

สารบัญ

ก่อนยุคเช็คอินผ่านมือถือ

สำหรับแขกที่เข้าพัก กระบวนการเช็คอินโรงแรมแบบเดิมๆ มักจะเป็นแบบนี้มานาน:

  1. มาถึงโรงแรม
  2. รอคิว
  3. จ่ายเงิน
  4. กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน
  5. รับกุญแจห้อง
  6. เข้าห้องพัก

ขั้นตอนเหล่านี้อาจใช้เวลานาน โดยเฉพาะถ้าแขกเพิ่งเดินทางไกลมาถึง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าพนักงานของคุณจะยิ้มแย้มแค่ไหน แขกก็แค่อยากเข้าห้องพักโดยเร็วที่สุด

ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด แขกควรสามารถกรอกข้อมูลก่อนมาถึงโรงแรม เพื่อหลีกเลี่ยงประสบการณ์ที่น่าเบื่อนี้ จากนั้นทางโรงแรมก็แค่แจ้งรายละเอียดที่จำเป็น เช่น การจัดการอาหารเช้า กฎความปลอดภัย และวิธีเข้าห้องพัก

ในยุคปัจจุบัน แขกส่วนใหญ่ชื่นชอบวิธีนี้มากกว่า เพราะสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีอิสระในการเลือกเวลาเช็คอิน

จากการสำรวจของ Oracle พบว่า 70% ของโรงแรมกำลังใช้หรือวางแผนที่จะใช้เทคโนโลยีไร้สัมผัสสำหรับการเช็คอิน สั่งอาหาร บริการ concierge และอื่นๆ

สำหรับโรงแรม นอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนแล้ว ยังเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าด้วย การจัดการแขกแต่ละคนด้วยมือเป็นกระบวนการที่ใช้แรงงานมาก โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่นที่อาจต้องใช้ชั่วโมงการทำงานของพนักงานจำนวนมาก

ทำไมโรงแรมของคุณควรมีบริการเช็คอินผ่านมือถือ

การก้าวเข้าสู่ยุคเช็คอินผ่านมือถือ เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดสำหรับโรงแรมที่ต้องการก้าวทันยุคสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของแขก เป้าหมายหลักคือการสร้างความสะดวกรวดเร็ว – แขกสามารถข้ามขั้นตอนที่เคาน์เตอร์และเข้าห้องพักได้ทันที ในขณะที่ทีมงานของคุณมีเวลามากขึ้นในการสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับแขก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าโรงแรมของคุณทันสมัย ซึ่งเป็นข้อดีในสายตาของนักเดินทางยุคดิจิทัล

Image representing hotel mobile check-in

ขั้นตอนการติดตั้งระบบเช็คอินผ่านมือถือสำหรับโรงแรม

การติดตั้งระบบเช็คอินผ่านมือถือที่มีประสิทธิภาพอาจดูซับซ้อนและน่ากังวล

แต่ด้วยเครื่องมือ เทคโนโลยี และกระบวนการที่เหมาะสม การสร้างประสบการณ์การจองที่น่าประทับใจนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก มาดูกันว่าเริ่มต้นยังไง:

เหมือนกับโปรเจกต์อื่นๆ คุณต้องกำหนดเป้าหมายว่าระบบเช็คอินผ่านมือถือควรทำอะไรได้บ้าง คุณต้องการให้ระบบทำอะไร?

  1. เก็บข้อมูลแขกเพื่อทำให้การเช็คอินเร็วขึ้น
  2. รวบรวมข้อมูลบัตรเครดิตสำหรับการชำระเงิน
  3. เปิดโอกาสให้แขกอัพเกรดห้องพักหรือบริการเสริม
  4. เปิดประตูห้องพักหรือให้รหัสเปิดห้อง

เมื่อพิจารณาแต่ละขั้นตอนแยกกัน เราจะเริ่มเห็นว่าระบบไหนเหมาะกับโรงแรมของเรามากที่สุด เพราะแต่ละฟีเจอร์มีทั้งข้อดีและค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน ต่อไปเรามาดูแต่ละส่วนสำคัญกันทีละอย่าง เพื่อให้เข้าใจโปรเจกต์นี้ได้ง่ายขึ้น

การเชื่อมต่อกับระบบ PMS

การทำงานของระบบเช็คอินผ่านมือถือนั้นต้องอาศัยข้อมูลของแขกที่ถูกต้องและอัปเดตในระบบจัดการโรงแรม (PMS) อย่างทันท่วงที นั่นหมายความว่าระบบที่ใช้ต้องสามารถดึงข้อมูลจาก PMS และในอุดมคติควรส่งข้อมูลกลับไปยัง PMS ได้ด้วย

ผู้ให้บริการ PMS หลายรายรองรับการเชื่อมต่อกับระบบของบริษัทอื่น โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีการเชื่อมต่อผ่าน API ยิ่ง API มีความเปิดกว้างและมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีตัวเลือกระบบให้เลือกใช้มากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการ PMS หลายราย (โดยเฉพาะระบบแบบติดตั้งในเครื่อง) ยังขาดอินเทอร์เฟซที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่าแม้คุณต้องการนำระบบเช็คอินผ่านมือถือมาใช้ ก็อาจไม่สามารถทำได้ การใช้ PMS แบบปิดอาจเป็นอุปสรรคในการพัฒนาโรงแรมของคุณให้ทันสมัย

คำถามที่ควรถามเมื่อต้องการใช้งาน PMS:

  1. PMS นี้มี API แบบเปิดหรือไม่?
  2. ผู้ให้บริการระบบเช็คอินสามารถส่งข้อมูลกลับไปยัง PMS ของฉันได้หรือไม่?
  3. มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน API หรือไม่?
  4. ผู้ให้บริการทุกรายสามารถเชื่อมต่อกับระบบได้หรือไม่?

เคล็ดลับ: หากคุณเป็นเจ้าของหรือผู้จัดการโรงแรมที่ต้องทำงานหลายหน้าที่พร้อมกัน และจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ของโรงแรมตลอดเวลา ระบบจัดการโรงแรม (PMS) อย่าง Little Hotelier อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ

แอปพลิเคชันมือถือของ Little Hotelier ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องรับผิดชอบงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับแขก การจัดการห้องพัก การดูแลด้านการเงิน หรือการประสานงานกับพาร์ทเนอร์

ด้วยแอปนี้ คุณสามารถควบคุมการทำงานของโรงแรมได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ในสำนักงาน ที่ธนาคาร หรือกำลังประชุมกับนักลงทุน ช่วยให้คุณบริหารจัดการโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในยามที่ต้องออกไปทำธุระนอกสถานที่

แบบฟอร์มเช็คอิน

โรงแรมมีความต้องการที่แตกต่างกันในการเก็บข้อมูลจากแขก ซึ่งอาจรวมถึง:

  • ต้องการยืนยันความถูกต้องของการจอง
  • ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงบริการ
  • เป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย
  • วัตถุประสงค์ทางการตลาด
  • โอกาสในการเสนอขายบริการเพิ่มเติม

ในฐานะผู้ประกอบการโรงแรม คุณอาจต้องการแปลงแบบฟอร์มกระดาษที่มีอยู่ให้เป็นดิจิทัล นั่นหมายความว่าเครื่องมือสร้างแบบฟอร์มเช็คอินต้องปรับแต่งได้สูง เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งแบบฟอร์มเช็คอินได้ตามต้องการ โดยเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่ต้องการเก็บจากแขกได้อย่างอิสระ

 

มิฉะนั้น คุณจะไม่สามารถแทนที่กระบวนการปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องประนีประนอมหรือขัดต่อกฎหมายของรัฐบาล

มองหาผู้ให้บริการที่มีตัวเลือกการปรับแต่งที่ไม่จำกัดสิ่งที่คุณสามารถทำได้

คำถามสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเพิ่มแบบฟอร์มเช็คอินในระบบเช็คอินมือถือของโรงแรม:

  • สามารถปรับแต่งเองทั้งหมดได้หรือไม่?
  • การออกแบบจะเข้ากับแบรนด์ของฉันหรือไม่?
  • สามารถรวมการยินยอมรับข้อมูลทางการตลาดได้หรือไม่?
  • แขกสามารถลงลายมือชื่อดิจิทัลในการเช็คอินได้หรือไม่?
  • แขกสามารถอัปโหลดสำเนาหนังสือเดินทาง/บัตรประชาชนได้หรือไม่?
  • แขกสามารถเช็คอินให้กับผู้ที่มาด้วยได้หรือไม่?

เคล็ดลับ: ระบบการจองของ SiteMinder ถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงคำถามเหล่านี้ – และคำตอบสำหรับทุกข้อคือ “ทำได้” ระบบการจองที่แข็งแกร่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ประสบการณ์การจองที่ราบรื่น ดังนั้นอย่าลืมศึกษาตัวเลือกของคุณกับ SiteMinder ที่นี่

การชำระเงิน

การจองของแขกสามารถชำระล่วงหน้าได้ แต่ในหลายกรณี อาจชำระเงินบางส่วนหรือแขกต้องชำระเต็มจำนวนที่โรงแรม

แม้ว่าจะมีการชำระเงินเต็มจำนวน คุณอาจยังต้องการรายละเอียดบัตรเครดิตของแขกในกรณีที่พวกเขาสั่งบริการเพิ่มเติมหรือทำของเสียหายโดยไม่ตั้งใจ นั่นหมายความว่าการขอรายละเอียดบัตรเครดิตของแขกเป็นสิ่งจำเป็นในหลายกรณี

แต่คำว่า “การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต” อาจมีความหมายแตกต่างกัน:

  • การขอรายละเอียดบัตรผ่านแบบฟอร์ม
  • การตรวจสอบว่าบัตรเครดิตถูกต้อง
  • การกันวงเงินล่วงหน้า
  • การทำการชำระเงินจริง

ก่อนติดต่อผู้ให้บริการ ควรกำหนดเป้าหมายของคุณให้ชัดเจน เนื่องจากการรับชำระเงินมักมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งค่าธรรมเนียมให้กับระบบชำระเงิน และบางกรณีอาจต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการระบบเช็คอินด้วย

คำถามสำคัญที่ควรพิจารณา:

  • ระบบเช็คอินผ่านมือถือจะเปิดให้ใช้เฉพาะลูกค้าที่ชำระเงินแล้วหรือไม่?
  • แขกของโรงแรมจำเป็นต้องชำระเงินผ่านระบบนี้หรือไม่?
  • ระบบชำระเงินคิดค่าธรรมเนียมเท่าไร?
  • ผู้ให้บริการระบบเช็คอินคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือไม่?

เคล็ดลับ: เราทราบดีว่าสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการจัดการในฐานะผู้ประกอบการโรงแรมคือปัญหาการชำระเงิน SiteMinder Pay โมดูลการชำระเงินของเรา ช่วยให้คุณเรียกเก็บเงินได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามที่คุณต้องการ เมื่อคุณต้องการ จากผู้ที่คุณต้องการ ทั้งหมดนี้โดยอัตโนมัติ

ระบบควบคุมการเข้าออกห้องพัก

ความท้าทายหลักของระบบเช็คอินผ่านมือถือคือวิธีที่แขกจะเปิดประตูห้องพัก โรงแรมทั่วโลกส่วนใหญ่ใช้ระบบประตูที่เชื่อมต่อกับระบบอื่นได้ยาก หรือแย่กว่านั้นคือยังใช้กุญแจแบบดั้งเดิม ทำให้การใช้ระบบดิจิทัลเพื่อทำให้กระบวนการเช็คอินเป็นแบบไร้การสัมผัสโดยสมบูรณ์นั้นทำได้ยาก

แม้ว่าการปรับปรุงระบบล็อคประตูให้ทันสมัยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็มีวิธีนำระบบดิจิทัลมาใช้โดยไม่ต้องลงทุนสูง

โรงแรมหลายแห่งเริ่มต้นปรับปรุงระบบการเข้าออกโดยทดลองใช้กับชั้นเดียวหรือห้องพักประเภทเดียวก่อน ทำให้แขกที่ใช้บริการเช็คอินออนไลน์จะได้ห้องพักในส่วนนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายการปรับปรุงไปทั่วทั้งโรงแรม

นอกจากนี้ ยังสามารถผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน เช่น การใช้คีย์การ์ดร่วมกับรหัส PIN

ต่อไปนี้คือตัวอย่างระบบควบคุมการเข้าออกที่เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับระบบเช็คอินผ่านมือถือ:

คีย์การ์ด

เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงแรม ข้อเสียคือมีตัวเลือกในการเชื่อมต่อกับระบบภายนอกที่จำกัด และมีราคาแพง

ASSA Vingcard ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมาก มีแอพพลิเคชันสำหรับเปิดประตูโดยเฉพาะ หากเลือกใช้ระบบนี้ โรงแรมมีสองทางเลือก คือ แจกกุญแจที่เคาน์เตอร์ต้อนรับโดยตรง หรือติดตั้งคีออสก์อัตโนมัติสำหรับให้แขกรับคีย์การ์ดด้วยตนเอง วิธีนี้ช่วยลดการสัมผัสระหว่างแขกและพนักงาน แต่ยังคงความปลอดภัยในการเข้าถึงห้องพัก

ระบบ Bluetooth

อีกทางเลือกคือการติดตั้งระบบ Bluetooth เพิ่มเติมกับกลอนประตูที่มีอยู่ ทำให้สามารถใช้งานระบบคีย์การ์ดเดิมควบคู่กันไปได้

วิธีนี้ช่วยให้โรงแรมสามารถมอบความสะดวกในการเปิดประตูแบบไร้การสัมผัส โดยไม่ต้องลงทุนสูงในการเปลี่ยนกลอนหรือประตู และยังคงใช้ระบบคีย์การ์ดเดิมได้

แขกสามารถเปิดประตูผ่านแอพบนสมาร์ทโฟน หรือผ่านแอพพลิเคชันบนเว็บส่วนกลางที่ควบคุมการเปิดประตูได้

ล็อคแบบใช้รหัส PIN

วิธีนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในโฮสเทลและที่พักให้เช่า การใช้รหัส PIN ช่วยให้แขกสามารถเข้าห้องได้แม้แบตเตอรี่โทรศัพท์หมดหรือทำคีย์การ์ดหาย

รหัส PIN เหล่านี้จัดการผ่าน WiFi และทำงานเช่นเดียวกับคีย์การ์ด โดยแต่ละรหัสจะถูกกำหนดให้กับประตูพร้อมระยะเวลาการใช้งาน ทำให้แขกก่อนหน้าไม่สามารถเข้าห้องได้หลังจากวันที่เช็คเอาท์ นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดรหัสมาสเตอร์สำหรับพนักงานโรงแรมได้

กุญแจแบบดั้งเดิม

โรงแรมขนาดเล็กหลายแห่งยังคงใช้กุญแจแบบดั้งเดิม เนื่องจากอาจไม่เห็นความคุ้มค่าในการลงทุนเปลี่ยนระบบ อย่างไรก็ตาม มีวิธีประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแบบง่ายๆ ได้ เช่น การใช้ตู้เก็บกุญแจที่มีรหัสผ่าน แม้ไม่ใช่วิธีที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้น

สำหรับที่พักขนาดเล็ก อาจเตรียมกุญแจใส่ซองหรือเก็บในตู้นิรภัยที่ใช้รหัส PIN จากนั้นส่งคำแนะนำวิธีรับกุญแจให้แขกทางอีเมลหรือข้อความ วิธีนี้ช่วยลดการติดต่อโดยตรงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการเช็คอิน โดยยังคงใช้ระบบกุญแจเดิมที่มีอยู่

ระบบเช็คอินผ่านมือถือสำหรับโรงแรม

ในส่วนนี้เราจะมาดูประเภทของระบบต่างๆ ที่มีอยู่ในตลาด แต่ละผู้ให้บริการมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยแต่ละระบบมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด

ระบบแบบเว็บ

ระบบประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม แขกสามารถใช้งานได้ทันทีเพียงแค่คลิกลิงก์จากอีเมล

ข้อดีของระบบแบบเว็บคือสามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งค่าใช้จ่ายเริ่มต้นทั้งในแง่ของเวลาและเงินลงทุนก็ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ให้บริการระบบจัดการโรงแรม (PMS) หลายรายมีฟังก์ชันนี้อยู่แล้วในระดับหนึ่ง แต่โรงแรมก็สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้ได้

การนำระบบเช็คอินผ่านมือถือมาใช้มีประโยชน์มากมาย ประการแรก ติดตั้งง่าย ไม่ต้องอบรมพนักงานมาก หรือปรับเปลี่ยนระบบที่มีอยู่อย่างมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับโรงแรมที่ต้องการยกระดับประสบการณ์ของแขกโดยไม่ต้องลงทุนสูง

ข้อดีอีกประการคือใช้งานง่าย แขกสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้การเดินทางมาถึงโรงแรมราบรื่นและไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้ ระบบเหล่านี้ยังออกแบบมาให้ใช้งานได้กับอุปกรณ์ทุกประเภท ลดปัญหาเรื่องความเข้ากันไม่ได้ของอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาบางประการเมื่อใช้ระบบเช็คอินผ่านมือถือ ประการแรก หากไม่มีการอัพเกรด ระบบเหล่านี้อาจมีข้อจำกัดในการรองรับการเข้าห้องพักแบบไร้กุญแจ ซึ่งเป็นบริการที่แขกคาดหวังมากขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ การที่ระบบต้องใช้อีเมลของแขกในการเช็คอินผ่านมือถืออาจเป็นอุปสรรคในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อแขกไม่สะดวกที่จะแชร์ที่อยู่อีเมล ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากระบบอย่างเต็มที่

ทางโรงแรมควรพิจารณาถึงวิธีการรับมือกับข้อจำกัดเหล่านี้ เช่น การลงทุนในระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ หรือการเสนอทางเลือกอื่นในการยืนยันตัวตนสำหรับแขกที่ไม่ต้องการใช้อีเมล เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเช็คอินผ่านมือถือได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เพื่อเสริมให้ประสบการณ์การเช็คอินผ่านมือถือสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โรงแรมสามารถนำระบบเหล่านี้มาใช้ร่วมกับคีออสก์ที่ให้บริการแบบเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเช็คอินให้กับแขก และยกระดับประสิทธิภาพโดยรวมของกระบวนการ

ตัวอย่างเช่น แขกที่ไม่สะดวกใช้สมาร์ทโฟนหรือต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สามารถใช้คีออสก์เช็คอินด้วยตนเองในล็อบบี้ได้ ระบบนี้ยังช่วยลดภาระงานของพนักงานต้อนรับในช่วงเวลาเร่งด่วน ทำให้การบริการมีความยืดหยุ่นและรวดเร็วมากขึ้น

เคาน์เตอร์เช็คอินอัตโนมัติ (Check-in Kiosk)

โรงแรมหลายแห่งนิยมติดตั้งเคาน์เตอร์เช็คอินอัตโนมัติ เพราะดูทันสมัยและสร้างความประทับใจแรกพบให้กับแขก อีกทั้งผู้เข้าพักส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้งานจากประสบการณ์ที่สนามบิน การติดตั้งในล็อบบี้และแนะนำให้แขกใช้งานมักได้ผลดี

ข้อดีของเคาน์เตอร์เช็คอินอัตโนมัติ คือความสะดวกในการรับคีย์การ์ด ทำให้แขกเข้าห้องพักได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับแขกที่ไม่มีอีเมลหรือไม่สะดวกใช้ระบบเช็คอินผ่านมือถือ ช่วยยืนยันตัวตนของแขกที่มาถึงโรงแรม เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ข้อเสียที่ควรพิจารณา คือหากมีเครื่องไม่เพียงพอ อาจเกิดคิวยาวในช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่ต่างจากการรอเช็คอินที่เคาน์เตอร์ ต้นทุนการติดตั้งสูง ทั้งอุปกรณ์และระบบซอฟต์แวร์ ค่าบำรุงรักษาอาจแพงกว่าระบบดิจิทัลอื่นๆ ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ใช้งานได้ตลอดเวลา

ในมุมมองของผู้ประกอบการ เคาน์เตอร์เช็คอินอัตโนมัติอาจดูเป็นประโยชน์ แต่สำหรับแขกอาจไม่ได้สะดวกสบายขึ้นมากนัก เพราะยังต้องรอในล็อบบี้ และเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องสัมผัสร่วมกับผู้อื่น ซึ่งในยุคที่ผู้คนใส่ใจเรื่องสุขอนามัย อาจเป็นสิ่งที่แขกต้องการหลีกเลี่ยง

ก่อนตัดสินใจลงทุน ผู้ประกอบการควรชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ดี และพิจารณาว่าเหมาะกับรูปแบบการให้บริการของโรงแรมและความต้องการของกลุ่มลูกค้าหรือไม่ บางทีการพัฒนาระบบเช็คอินผ่านมือถือหรือเว็บไซต์อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว

 

ระบบผ่านแอปพลิเคชันมือถือสำหรับโรงแรม

ทุกวันนี้ เราเห็นแอปมือถือของโรงแรมเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแอปเช็คอิน แอปขายบริการเสริม หรือแอปรับฟีดแบ็คจากลูกค้า ข้อดีของแอปพวกนี้คือใช้งานได้แม้ไม่มีเน็ต และหน้าตาสวยงามน่าใช้

แต่ปัญหาใหญ่อยู่ตรงที่ลูกค้าต้องโหลดแอปก่อน ซึ่งหลายคนไม่อยากทำ ผลสำรวจของ J.D. Power ยังพบว่า 38% ของแขกไม่ได้ใช้แอปเลยระหว่างพักโรงแรม

แอปเช็คอินมีข้อดีหลายอย่าง เช่น สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ สามารถทำงานแบบออฟไลน์ได้ แม้อยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี รองรับการเปิดประตูห้องพักแบบไร้กุญแจ ใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจได้ เพิ่มความสะดวกสบายและความทันสมัย

แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน แขกต้องดาวน์โหลดแอป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับบางคนที่ไม่ต้องการติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่ ปัญหาความเข้ากันได้กับโทรศัพท์ เนื่องจากไม่ใช่แขกทุกคนจะมีสมาร์ทโฟนที่รองรับแอปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการติดตั้งระบบซับซ้อนกว่าโซลูชันดิจิทัลอื่นๆ ทั้งในแง่การใช้งานของโรงแรมและแขก

แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไอเดียที่ไม่ดี หากโรงแรมของคุณเป็นเครือขนาดใหญ่และมีลูกค้าประจำจำนวนมาก การมีแอปเช็คอินบนมือถืออาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

มีโซลูชันหลากหลายประเภทในตลาดพร้อมช่วงราคาที่แตกต่างกัน บางครั้งข้อจำกัดอาจเป็นปัจจัยอื่นๆ เช่น ระบบจัดการโรงแรม (PMS) ขาดตัวเลือกการเชื่อมต่อ หรือระบบล็อคประตูล้าสมัย

]]>
คู่มือระบบจัดการโรงแรม (PMS) ครบ จบ ในที่เดียว https://www.siteminder.com/th/r/hotel-pms-guide/ Tue, 24 Sep 2024 05:09:35 +0000 https://www.siteminder.com/?p=177855 ระบบจัดการโรงแรม (PMS) คืออะไร?

ระบบ PMS โรงแรม หรือที่เรียกกันว่า PMS (Property Management System) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการและเจ้าของโรงแรมสามารถจัดการงานบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเพิ่มยอดการจองห้องพักทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ระบบบริหารจัดการโรงแรม PMS ไม่เพียงแต่สำคัญต่อการดำเนินงานประจำวันของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของแขกที่มาพัก ตั้งแต่เริ่มต้นการจองออนไลน์ ไปจนถึงการเช็คเอาท์และการให้ฟีดแบ็คหลังจากกลับบ้าน PMS จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับแขกของคุณตลอดการเข้าพัก

เรามาทำความรู้จักกับทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับระบบจัดการโรงแรม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ

สารบัญ

ระบบจัดการโรงแรมในอุตสาหกรรมธุรกิจโรงแรม

เทคโนโลยีในวงการโรงแรมมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และ ระบบ PMS โรงแรมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องการพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจของตน

การเลือกระบบซอฟต์แวร์บริหารโรงแรมที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีการจัดการโรงแรมคืออะไร และทำไมการนำมาใช้จึงสำคัญต่อธุรกิจของคุณ

โรงแรมทุกแห่งจำเป็นต้องมีระบบจัดการที่พัก หรือที่เรียกว่า PMS แต่ไม่ใช่ว่าทุกระบบจะเหมาะกับทุกโรงแรม การเลือกระบบที่ใช่สำหรับที่พักของคุณอาจทำให้งุนงงได้

ในสภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน การหาระบบจัดการโรงแรมที่มีฟีเจอร์ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของคุณ จะช่วยให้คุณบริหารโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบจัดการโรงแรม (PMS) แบบคลาวด์

ระบบ PMS โรงแรมแบบคลาวด์ช่วยให้การทำงานในโรงแรมของคุณเป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ ครอบคลุมทุกขั้นตอนสำคัญ เช่น:

  • การรับและยืนยันการจอง
  • การบริหารจัดการการจอง
  • การออกบิลและรายงาน
  • การเช็คอินและเช็คเอาท์
  • การย้ายห้องพัก
  • การตรวจสอบและแก้ไขจำนวนห้องว่าง
  • การติดต่อสื่อสารกับแขก

ระบบคลาวด์สามารถจัดการงานเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Channel Manager, Booking Engine หรือระบบบริหารรายได้ แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีคนกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความคุ้มค่าของ PMS แบบคลาวด์ เช่น:

ทำไมซอฟต์แวร์ PMS จึงสำคัญสำหรับโรงแรม?

ซอฟต์แวร์ PMS มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจโรงแรมที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานประจำวัน ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลไว้ในที่เดียว ไปจนถึงการทำงานอัตโนมัติ ช่วยให้งานที่ใช้เวลานานเสร็จเร็วขึ้น ส่งผลให้การทำงานโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณจึงสามารถทุ่มเทเวลาให้กับงานสำคัญอื่นๆ ของโรงแรมได้

ประโยชน์ของระบบจัดการโรงแรม

ในยุคที่การท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ การทำให้งานต่างๆ เป็นอัตโนมัติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เป็นสิ่งสำคัญ ระบบจัดการโรงแรมสามารถช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ นี่คือประโยชน์อื่นๆ ของการใช้ระบบ PMS:

ลดเวลาในการทำงานด้านเอกสาร

ระบบจัดการโรงแรมที่ดีควรทำงานแทนคุณได้มาก ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้กับงานเอกสาร ทำให้คุณสามารถโฟกัสกับภาพรวมของธุรกิจได้มากขึ้น นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ยังควรให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับการดูแลพนักงาน ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพการทำงานด้วย

เพิ่มการมีตัวตนออนไลน์

ซอฟต์แวร์จัดการที่เชื่อมต่อกับระบบสร้างเว็บไซต์ ช่วยให้คุณรับการจองออนไลน์โดยตรงและพัฒนาเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มอันดับในผลการค้นหาและการมีตัวตนออนไลน์ ทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสค้นพบที่พักของคุณมากขึ้นในระหว่างการจองออนไลน์

สร้างความสัมพันธ์กับแขก

พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ แขกประจำที่เคยมาพักหลายครั้งจะชื่นชมประสบการณ์ที่ดีขึ้น

ซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์กับแขกที่กลับมาพักซ้ำ แต่ยังช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยรู้จักแบรนด์ของคุณมาก่อน

จัดการช่องทางการขาย

ด้วยระบบจัดการโรงแรมที่เชื่อมต่อกับ Channel Manager คุณสามารถโฆษณาผ่านหลายช่องทางได้ พร้อมทั้งรักษาความเท่าเทียมของราคา ไม่ว่าจะเป็น OTA รายใหญ่ GDSs หรือตัวแทนท่องเที่ยวรายย่อย คุณสามารถให้ข้อมูลการจองแบบเรียลไทม์แก่ตัวแทนของคุณได้ทันที ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดจอง

เพิ่มรายได้ให้โรงแรม

ด้วยเครื่องมือตั้งราคาที่ทันสมัย ช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์การตั้งราคาห้องพักที่ยืดหยุ่น คุณสามารถเพิ่มรายได้ต่อห้องได้สูงสุดในทุกช่วงเวลา

การตั้งราคาห้องพักอย่างเหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงนี้ การมีเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยกลยุทธ์การบริหารรายได้ของโรงแรมคุณได้อย่างมาก

เพิ่มยอดจอง

ท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์ของทุกฟีเจอร์ในโซลูชันบริหารจัดการโรงแรมของคุณ ก็เพื่อเพิ่มยอดจองให้กับที่พักของคุณ

ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มยอดจองในช่วงโลว์ซีซั่น หรือขยายบริการไปสู่กลุ่มตลาดใหม่ ซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมที่เหมาะสมจะช่วยให้ที่พักของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น

ฟีเจอร์สำคัญของระบบจัดการโรงแรม (PMS)

ระบบบริการจัดการโรงแรมมีความสำคัญทั้งสำหรับผู้บริหารโรงแรมเครือขนาดใหญ่และเจ้าของโรงแรมอิสระ ระบบเหล่านี้มีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการบริหารงาน ดังนี้:

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 1: ระบบจองห้องพัก

ระบบ PMS ช่วยให้คุณบริหารจัดการการจองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานแบบอัตโนมัติแทนคุณ ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการดูแลแขก นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการจองห้องเกิน ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อประสบการณ์ของแขกที่มาพัก

ในยุคที่นักท่องเที่ยวนิยมจองห้องพักออนไลน์มากกว่าการโทรศัพท์หรือติดต่อผ่านเอเจนซี่ท่องเที่ยว คุณจำเป็นต้องรองรับทั้งการจองโดยตรงและการจองผ่านบุคคลที่สาม เพื่อเพิ่มรายได้ต่อการจองให้สูงสุด ควรเลือกซอฟต์แวร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบจองออนไลน์ได้

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 2: ระบบจัดการแผนกต้อนรับ

ฟีเจอร์นี้ช่วยให้พนักงานต้อนรับสามารถดูและอัพเดทข้อมูลการจองห้องพัก เช็คอินและเช็คเอาท์ รวมถึงรับชำระเงินได้อย่างสะดวก แขกต้องการประสบการณ์การเช็คอินที่ราบรื่น ความสะดวกสบายเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการมีระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจะช่วยสร้างความพึงพอใจให้แขก และทำให้พนักงานมีเวลาดูแลแขกได้มากขึ้น

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 3: ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager)

การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีระบบ Channel Manager จะช่วยให้คุณสร้างและดำเนินกลยุทธ์การกระจายช่องทางการขายที่หลากหลาย เพื่อดึงดูดการจองอย่างต่อเนื่อง การสร้างพันธมิตรกับตัวแทนประเภทต่างๆ ในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ OTA ไปจนถึง GDS เป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดในสภาวะการแข่งขันที่สูง

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 4: การบริหารรายได้ (Revenue management)

ระบบบริหารรายได้ (RMS) ช่วยให้ทีมบริหารโรงแรมเข้าใจวิธีการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน ตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการเข้าพัก, RevPAR (รายได้ต่อห้องพักที่มี) และ GOPAR (กำไรจากการดำเนินงานต่อห้องพักที่มี) ล้วนเป็นมาตรวัดที่ช่วยปรับปรุงกลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อขายห้องพักให้ได้มากขึ้นในราคาที่เหมาะสมที่สุด

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 5: การจัดการข้อมูลลูกค้าและการเชื่อมต่อ CRM

การเก็บรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลแขกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม ระบบ CRM ต้องเชื่อมต่อกับระบบแผนกต้อนรับและระบบการจองเพื่อรวบรวมข้อมูลแขกจากทุกแหล่งที่มา ซึ่งจะสร้างฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสำหรับทีมบริหาร ช่วยให้คุณสามารถติดต่อกับแขกได้ทั้งระหว่างเข้าพักและหลังจากเช็คเอาท์ ส่งเสริมการตลาด แบ่งปันโปรโมชั่น และขอความคิดเห็นจากแขก นอกจากนี้ยังสามารถให้รางวัลแก่ลูกค้าประจำผ่านโปรแกรมสมาชิก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับโรงแรมเครือขนาดใหญ่และรีสอร์ท

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 6: ระบบแม่บ้าน

โมดูลแม่บ้านในระบบ PMS ช่วยเชื่อมต่อพนักงานแม่บ้านกับทีมงานส่วนหน้า ฟังก์ชันหลักของโมดูลนี้คือการดูแลรักษาที่พัก เช่น การจัดการสถานะห้อง การมอบหมายงานให้พนักงานทำความสะอาด และการกำหนดงานต่างๆ สำหรับแม่บ้าน หากคุณใช้ซอฟต์แวร์ PMS แบบคลาวด์ แม่บ้านสามารถอัพเดทสถานะงานผ่านอุปกรณ์ดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 7: การใช้งานบนมือถือ

การใช้งานบนมือถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีโรงแรมทุกประเภท รวมถึงกระบวนการในระบบจัดการโรงแรม เช่น การเช็คอินผ่านมือถือและการสื่อสารกับพนักงาน

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 8: บริการจุดขาย

โรงแรมของคุณอาจมีจุดขายหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นแผนกต้อนรับ ร้านอาหารในโรงแรม หรือสปา โมดูลจุดขายในระบบ PMS มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการธุรกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อทำงานอัตโนมัติและเก็บข้อมูลทางการเงินไว้ในที่เดียวอย่างปลอดภัย ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับแขกเมื่อต้องการคิดค่าสินค้าและบริการเข้าห้องพัก เพื่อความสะดวกสบายตลอดการเข้าพัก

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 9: ตัวเลือกการออก Invoice และการชำระเงิน

เมื่อระบบ PMS ของโรงแรมเชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน คุณจะได้รับประโยชน์จากการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้น ข้อผิดพลาดลดลง และมีตัวเลือกสำหรับกระบวนการชำระเงินอัตโนมัติมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อแขกเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงแรมด้วย ระบบชำระเงินเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการชำระเงินด้วยบัตรเดบิตและเครดิตที่แผนกต้อนรับ การชำระเงินออนไลน์ และสามารถสร้างใบแจ้งหนี้ให้แขกโดยอัตโนมัติ

ฟีเจอร์ระบบจัดการโรงแรม (PMS) 10: การรายงานผลการดำเนินงาน

การตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจและปรับปรุงผลการดำเนินงานของธุรกิจ การรายงานและวิเคราะห์ช่วยให้คุณทบทวนกระบวนการปัจจุบัน พิจารณาว่าอะไรกำลังดำเนินไปด้วยดีและอะไรต้องปรับปรุง รายงานที่มีประสิทธิภาพผ่านระบบ PMS ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ที่ดีขึ้น และขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ PMS ที่คุณใช้ คุณอาจสามารถสร้างรายงานการตรวจสอบ รายงานแม่บ้าน และอื่นๆ ได้

สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกระบบจัดการโรงแรมของคุณ

การเลือกโปรแกรมที่มีเครื่องมือสร้างและแก้ไขเว็บไซต์ จะช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่สะอาดตา น่าสนใจ และใช้งานง่าย ซึ่งจะกระตุ้นให้แขกจองห้องพักกับคุณ ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมองหา ได้แก่:

  • ระบบแบบคลาวด์
  • การเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นๆ
  • ฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย
  • มีฟังก์ชันบริการตัวเอง
  • กระบวนการจองและเพิ่มยอดขายที่ง่าย
  • รองรับโมเดลราคาแบบคลาสสิกและไดนามิก
  • ช่วยระบุลูกค้าประจำ
  • ทำให้งานประจำวันง่ายขึ้น

ข้อดีของระบบจัดการ PMS โรงแรมแบบคลาวด์

มีข้อมูลมากมายที่แสดงว่าโดยรวมแล้ว ระบบ PMS แบบคลาวด์สามารถให้คุณควบคุมธุรกิจโรงแรมได้มากขึ้น ในด้านต่างๆ เช่น:

  • ปรับแต่งได้มากขึ้น
  • ความสามารถในการรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล
  • เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ เช่น OTA และระบบจองห้องพัก
  • เข้าถึงได้ง่ายจากทุกที่และทุกอุปกรณ์

รวมระบบ PMS ในอุตสาหกรรมโรงแรม

มีระบบบริหารจัดการโรงแรมในตลาดหลายร้อยรายการ สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกคือต้องแน่ใจว่าใช้งานง่าย มีฟังก์ชันที่คุณต้องการครบถ้วน และสามารถเชื่อมต่อกับระบบสำคัญอื่นๆ ของคุณได้ เช่น Channel Manager

ตัวอย่างที่นิยมใช้กัน ได้แก่:

  • Little Hotelier
  • Sirvoy Reservation System
  • Frontdesk Anywhere
  • eZee Technosys
  • OPERA
  • Hotelogix
  • Maestro PMS
  • Avvio

ยังมีอีกมากมาย การหา PMS ถ้าคุณยังไม่มี จำเป็นต้องศึกษา รวบรวมข้อมูลและประเมินอย่างรอบคอบ

ซอฟต์แวร์จัดการโรงแรม: คำถามที่ควรถามผู้ให้บริการ

การเลือกซอฟต์แวร์โรงแรมที่เหมาะสมนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนกับซอฟต์แวร์ที่ใช่อาจเป็นตัวแปรสำคัญต่อความสำเร็จของคุณในฐานะผู้ประกอบการโรงแรม แต่ก่อนจะตัดสินใจ คุณควรศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน

นี่คือ 7 คำถามหลักที่คุณควรถามผู้ให้บริการระบบ PMS โรงแรมที่คุณสนใจ:

  1. ผลิตภัณฑ์ของคุณปรับตัวให้ทันสมัยในวงการโรงแรมอย่างไร?

แม้ว่าหลักการทำงานของระบบอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ผลิตภัณฑ์ควรปรับตัวตามเทรนด์และความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป คำตอบจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าระบบนี้จะช่วยให้โรงแรมของคุณเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมได้อย่างไร

  1. แพลตฟอร์มมีการอัปเดตหรืออัปเกรดบ่อยแค่ไหน?

ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีย่อมมีช่องทางให้พัฒนาได้เสมอ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์โรงแรมที่ดีจะมีการอัปเดตและอัปเกรดให้ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ คุณควรรู้ว่าการอัปเกรดจะมีให้บ่อยแค่ไหน คุณจะนำไปใช้ได้อย่างไร และจะส่งผลต่อช่องทางการขายหรือการรายงานของคุณหรือไม่

  1. บริษัทให้บริการลูกค้าระดับไหน?

น่าเสียดายที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีโรงแรมหลายรายมุ่งเน้นแต่การขายอย่างเดียว พอขายเสร็จก็ทิ้งลูกค้าไป คุณควรสอบถามให้แน่ใจว่าจะมีทีมซัพพอร์ตคอยช่วยเหลือเรื่องซอฟต์แวร์ จัดอบรมให้เมื่อต้องการ และทำงานร่วมกับทีมของคุณหลังติดตั้งระบบแล้ว

  1. แพลตฟอร์มมีความปลอดภัยแค่ไหน?

ความปลอดภัยควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้ให้บริการที่คุณเลือก ลองถามรายละเอียดเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยของเขา เพราะทั้งข้อมูลของโรงแรมและแขกของคุณต้องปลอดภัย

  1. ปรับแต่งระบบให้เข้ากับแต่ละแบรนด์โรงแรมได้ง่ายไหม?

ผู้ให้บริการควรมีระบบที่ยืดหยุ่น ไม่ใช่แค่มีฟีเจอร์พื้นฐานที่โรงแรมทั่วไปต้องใช้ แต่ควรมีฟีเจอร์ที่ปรับแต่งได้ด้วย เพื่อให้คุณปรับให้เข้ากับแบรนด์ของคุณได้ สุดท้ายแล้ว เงินที่คุณลงทุนไปควรได้ระบบที่ตอบโจทย์โรงแรมของคุณจริงๆ

  1. มีฟีเจอร์การรายงานอะไรบ้าง?

ฟีเจอร์การรายงานเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดของซอฟต์แวร์จัดการโรงแรม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสามารถดึงรายงานละเอียดแบบเรียลไทม์ได้ เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้คุณเข้าใจตลาด ดูผลงานของคุณเอง และจับตาคู่แข่ง เพื่อให้แบรนด์ของคุณเติบโตได้

  1. หลังติดตั้งแล้ว ฉันจะเข้าใช้งานระบบได้อย่างไร?

เลือกระบบที่ช่วยให้คุณบริหารโรงแรมได้จากทุกที่ คุณต้องการเทคโนโลยีที่ใช้งานได้ดีกับทุกอุปกรณ์ ทั้งมือถือและแท็บเล็ต

อนาคตของระบบจัดการโรงแรม (PMS)

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ระบบจัดการโรงแรมหรือ PMS ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจโรงแรมทุกขนาด การมีซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยจะช่วยยกระดับโมเดลธุรกิจของคุณได้อย่างมาก ผู้ประกอบการโรงแรมต่างพึ่งพาเทคโนโลยีนี้ในการบริหารจัดการทั้งส่วนหน้าบ้าน อย่างเช่นงานต้อนรับส่วนหน้า และหลังบ้าน เช่น การสร้างรายงานต่างๆ

การอัพเกรดระบบ PMS ของคุณ ไม่เพียงแค่ทำให้คุณก้าวทันเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ความคาดหวังของทั้งแขกและพนักงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดังนั้นซอฟต์แวร์โรงแรมของคุณจึงต้องพัฒนาตามให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย ระบบเปิดประตูห้องพักแบบไร้กุญแจ หรือการเช็คอินด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมโรงแรมในปัจจุบัน

]]>
การเปรียบเทียบราคาโรงแรม: วิธีใช้ซอฟต์แวร์เช็คราคาคู่แข่ง https://www.siteminder.com/th/r/hotel-rate-shopping/ Tue, 24 Sep 2024 05:02:00 +0000 https://www.siteminder.com/?p=177850 การเปรียบเทียบราคาโรงแรมคืออะไร?

การเปรียบเทียบราคาโรงแรม หรือการเช็คราคาคู่แข่ง ทั้งติดตามและเฝ้าดูราคาห้องพักในตลาดและของคู่แข่งในละแวกเดียวกัน รวมถึงการตรวจสอบราคาของเราเองในบรรดาเว็บจองห้องพักต่างๆ ด้วย

ผู้ประกอบการโรงแรมใช้วิธีนี้เพื่อเทียบเคียงกับคู่แข่ง ปรับราคาให้เหมาะสม และหาโอกาสเพิ่มรายได้และกำไร

บทความนี้จะให้ภาพรวมเกี่ยวกับการเช็คราคาคู่แข่งและเครื่องมือที่ใช้ ซึ่งคุณสามารถนำไปใช้เพิ่มรายได้ให้ธุรกิจได้

สารบัญ

ทำไมการเช็คราคาคู่แข่งถึงมีประโยชน์?

การเช็คราคาคู่แข่งสำคัญมากถ้าคุณอยากรักษาความได้เปรียบในตลาดโรงแรมยุคนี้ ปัจจุบันต้องใช้การปรับราคาแบบไดนามิก โรงแรมหลายแห่งเปลี่ยนราคาทุกวันหรือแม้แต่หลายครั้งในวันเดียว

การเช็คราคาคู่แข่งช่วยให้คุณ:

  • ปรับราคาให้เหมาะสม: รู้ราคาคู่แข่งช่วยให้คุณตั้งราคาสู้ตลาดได้ ทำเงินได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเสียลูกค้า
  • มองหาช่องว่างราคา: คุณจะเห็นจังหวะที่จะขึ้นราคาได้โดยไม่เสียลูกค้าให้คู่แข่ง
  • หลีกเลี่ยงสงครามราคา: เฝ้าดูราคาคู่แข่งช่วยป้องกันการตัดราคากันเองแบบไม่จำเป็นและไม่ตั้งใจ
  • คาดการณ์ได้แม่นยำ: วิเคราะห์การเปลี่ยนราคาของคู่แข่งช่วยให้คุณคาดการณ์ทิศทางความต้องการของตลาดได้ และปรับราคาห้องพักคุณให้เหมาะกับสถานการณ์

การจับตาราคาตลาดในพื้นที่และคู่แข่งไม่ควรเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ของคุณทั้งหมด แต่สิ่งนี้มีประโยชน์มากในการช่วยให้คุณกำหนดราคาที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง เพื่อเพิ่มกำไรให้ได้มากที่สุด

ประโยชน์ของการรู้เท่าทันราคาในธุรกิจโรงแรมมีอะไรบ้าง?

การรู้เท่าทันราคาในธุรกิจโรงแรมไม่ใช่แค่การรู้ราคาของคู่แข่ง แต่ยังมีประโยชน์มากมายต่อธุรกิจของคุณ ดังนี้:

เทียบเคียงกับคู่แข่งได้

เปรียบเทียบราคาของคุณกับโรงแรมใกล้เคียงที่คล้ายกัน ช่วยให้เข้าใจตำแหน่งของคุณในตลาด

ข้อมูลนี้ช่วยให้คุณเห็นจุดแข็งจุดอ่อน ตั้งเป้าหมาย และปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีที่สุด

ปรับกลยุทธ์ราคาให้เหมาะสม

ปรับกลยุทธ์ราคาเพื่อเพิ่มรายได้ โดยดูจากราคาคู่แข่งและความต้องการของตลาด

รวมถึงการหาวิธีสร้างความแตกต่าง เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะ และตั้งราคาแบบไดนามิกเพื่อเพิ่มราคาเฉลี่ยต่อคืนและกำไร

บริหารรายได้ได้ดีขึ้น

ข้อมูลตลาดที่ทันสมัยและการมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนช่วยปรับปรุงการบริหารรายได้โดยรวม

เพิ่มอัตราการเข้าพักและกำไรโดยใช้ประโยชน์จากแนวโน้มอุปสงค์และอุปทาน – รู้ว่าเมื่อไหร่ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อจองห้อง หรือเมื่อไหร่ต้องเพิ่มมูลค่าเพื่อดึงดูดการจอง

การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลช่วยให้คุณทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมเสมอ

รักษาความเท่าเทียมของราคา (rate parity)

การตรวจสอบราคาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณเห็นว่าราคาของคุณแสดงอย่างไรในทุกช่องทางการจอง ช่วยให้คุณสังเกตความแตกต่างและปรับให้สอดคล้องกัน

ความเท่าเทียมของราคา (rate parity) สำคัญในการป้องกันการสูญเสียรายได้ ถ้าลูกค้าเห็นราคาต่างกันในแต่ละช่องทาง อาจรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบหรือสับสน ส่งผลต่อความไว้วางใจ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงปัญหากับ OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com มักมีข้อตกลงว่าโรงแรมต้องให้ราคาเท่ากันในทุกช่องทาง ถ้าไม่ทำตาม อาจโดนลดอันดับในการค้นหา หรือในกรณีร้ายแรงอาจถูกระงับการใช้งานชั่วคราว

ยกระดับประสบการณ์ของแขก

เมื่อคุณรู้ตลาดดีพอ คุณก็สามารถปรับราคาและโปรโมชั่นให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น แขกก็จะรู้สึกคุ้มค่าเงิน ส่งผลให้พวกเขาพอใจมากขึ้นด้วย

เครื่องมือวิเคราะห์ราคาจะช่วยประหยัดเวลาของคุณ ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับงานอื่นๆ เช่น การดูแลให้แขกประทับใจมากขึ้น

hotel rate shopping

เครื่องมือเปรียบเทียบราคาโรงแรมคืออะไร?

เครื่องมือเปรียบเทียบราคาโรงแรมคือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้คุณเช็คราคาคู่แข่งได้แบบอัตโนมัติและเป็นดิจิทัล คุณสามารถติดตามและเทียบราคาของคุณกับคู่แข่งได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอง หรือสร้างรายงานยุ่งยาก

เครื่องมือนี้ให้ข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ และสร้างรายงานได้ทันที ช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์ราคาได้อย่างมั่นใจ

ข้อดีของการใช้ซอฟต์แวร์เปรียบเทียบราคาโรงแรม

นี่คือข้อดีที่คุณจะได้จากการใช้ซอฟต์แวร์เปรียบเทียบราคาโรงแรม เทียบกับการค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง:

  • ทำงานได้เร็วขึ้น: สามารถรวบรวมและแสดงข้อมูลได้เร็วกว่ามาก สร้างกราฟและแดชบอร์ดให้ดูง่าย และดาวน์โหลดรายงานให้วิเคราะห์ได้ทันที
  • เข้าใจตลาดลึกซึ้ง: ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่อ่านง่าย คุณจะเห็นเทรนด์การจอง รูปแบบตามซีซั่น และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
  • ตัดสินใจได้มั่นใจขึ้น: คุณจะแน่ใจได้ว่าข้อมูลถูกต้องและทันสมัย ไม่มีข้อผิดพลาดจากการจดบันทึกหรือแสดงผล
  • ศูนย์รวมข้อมูลที่เชื่อถือได้: การใช้เครื่องมือเปรียบเทียบราคาที่ดีควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ๆ อย่างเช่น SiteMinder คุณจะได้ข้อมูลผลงานที่ต้องการ โดยไม่ต้องไปต่อพ่วงกับโปรแกรมอื่นให้วุ่นวาย
  • เหนือกว่าคู่แข่ง: เมื่อคุณมีข้อมูลที่แม่นยำและเข้าใจความหมายของมันดี คุณก็สามารถตั้งราคาที่แข่งขันได้ตลอดเวลา ช่วยให้คุณทำยอดจองและรายได้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้

วิธีใช้เครื่องมือเปรียบเทียบราคาโรงแรม

เครื่องมือนี้จะช่วยทำงานหนักๆ แทนคุณเยอะเลย แต่คุณก็ยังต้องตัดสินใจบางอย่างและรู้วิธีใช้มันให้เป็น

ลองทำตามขั้นตอนนี้ดู:

1. เลือกคู่แข่งให้ถูก

ดูว่าโรงแรมไหนบ้างที่ต้องการลูกค้ากลุ่มเดียวกับคุณ ลองดูจากที่ตั้ง ระดับดาว สิ่งอำนวยความสะดวก และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

2. วิเคราะห์ราคาคู่แข่ง

ดูว่าคู่แข่งตั้งราคายังไง เช่น เปลี่ยนราคาตามวันในสัปดาห์ ตามจำนวนห้องว่าง หรือตามเทศกาลต่างๆ หรือเปล่า ดูด้วยว่าราคาของคุณต่างจากคู่แข่งแค่ไหน

3. ตรวจสอบราคาของคุณเอง

ดูว่าราคาของคุณที่โฆษณาในทุกช่องทางการจอง รวมถึงเว็บไซต์ของคุณเอง เรทราคาห้องพักเท่ากันทั้งหมดไหม

4. ปรับราคา

ใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาปรับเรทราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพสูงสุด ในราคาที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ

5. ติดตามผลและวิเคราะห์รายงาน

ถ้าเชื่อมต่อกับระบบจัดการช่องทางการขาย (channel manager) คุณจะได้รายงานที่มีประโยชน์มากๆ ทำให้เห็นผลประกอบการย้อนหลัง ช่องทางไหนทำยอดได้ดีที่สุด เปรียบเทียบความเร็วในการขายกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย

วิธีเลือกเครื่องมือเปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ

ในการเลือก คุณต้องดูว่าซอฟต์แวร์นั้นๆตรงกับความต้องการที่สำคัญของคุณไหม

โดยทั่วไป คุณควรหาเครื่องมือที่ช่วยให้คุณติดตามตลาดในพื้นที่ได้เร็วและง่าย และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

มองหาตัวเลือกที่มีฟีเจอร์เหล่านี้:

  • ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ของคู่แข่งในพื้นที่อย่างน้อย 10 ราย
  • แสดงข้อมูลเป็นภาพที่อ่านง่าย เข้าใจเร็ว
  • มีหน้าจอเดียวที่รวมข้อมูลทั้งหมดไว้
  • เช็คราคาได้ไม่จำกัดในแต่ละวัน คุณจะได้รู้ทันทุกความเคลื่อนไหว
  • โปร่งใสในการแสดงราคาของคุณเอง
  • มีรายงานผลประกอบการละเอียด
  • วิเคราะห์ให้ว่าขายผ่านช่องทางไหนเยอะ ลูกค้ามาจากประเทศอะไรบ้าง
  • มีการสาธิตหรือทดลองใช้ให้ดูว่าเหมาะกับคุณไหม

นอกจากนี้ อย่าลืมหาข้อมูลด้วยการอ่านรีวิวของเครื่องมือที่คุณสนใจ ลองถามตัวเองด้วยว่าคุณต้องการแค่เครื่องมือเปรียบเทียบราคา หรืออยากได้โซลูชั่นที่ล้ำสมัยกว่านั้น ที่มีฟีเจอร์เพิ่มรายได้อื่นๆ ด้วย

ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือเปรียบเทียบราคาที่คุ้มจริงและเชื่อถือได้ ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ครบครันของแพลตฟอร์มครบวงจร คุณมาถูกที่แล้วล่ะ

]]>
การออกแบบโรงแรม: ไอเดียดีไซน์และสไตล์การตกแต่ง https://www.siteminder.com/th/r/hotel-design/ Mon, 09 Sep 2024 04:33:38 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176955 การออกแบบโรงแรม (Hotel Design) คืออะไร?

การออกแบบโรงแรม คือศิลปะของการสร้างสรรค์พื้นที่ภายในโรงแรมให้สไตล์การตกแต่งโรงแรมทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง โดยมุ่งเน้นยกระดับประสบการณ์ของแขก พร้อมทั้งสะท้อนเทรนด์ปัจจุบันและความชอบของผู้บริโภค

การออกแบบโรงแรมก็เหมือนกับสื่อระดับโลกอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่กับเทรนด์ซึ่งมาจากทัศนคติและความชอบของผู้บริโภค

ดีไซน์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะผู้คนมีไอเดียใหม่ๆ เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กิน เสื้อผ้าที่สวมใส่ รถที่ขับ บ้านที่อยู่อาศัย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ และแน่นอนว่ารวมถึงโรงแรมที่เข้าพักด้วย

อุตสาหกรรมโรงแรมเป็นธุรกิจที่ต้องการนวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เนื่องจากมีการแข่งขันสูงในระดับโลก แบรนด์โรงแรมทุกแห่งต้องการสร้างความแตกต่าง แต่ในขณะเดียวกัน การสร้างนวัตกรรมล้ำๆและการทดลองอะไรใหม่ๆต้องสมดุลกับความรับผิดชอบทางการเงิน หากต้องการให้โรงแรมประสบความสำเร็จระยะยาว แทนที่จะเป็นเพียงกิมมิคชั่วครั้งชั่วคราว

เทรนด์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามุ่งเน้นไปที่การออกแบบที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่น โรงแรมที่เน้นไลฟ์สไตล์ และพื้นที่ส่วนกลางที่มีชีวิตชีวา แล้วการออกแบบโรงแรมจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือไม่ หรือจะมีแนวคิดใหม่ที่นำทางสู่อนาคต?

สารบัญ

ทำไมการออกแบบจึงเป็นปัจจัยสำคัญของสถาปัตยกรรมโรงแรม?

การออกแบบถือเป็นหัวใจสำคัญของสถาปัตยกรรมโรงแรม เพราะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของแขกผู้เข้าพัก การดีไซน์สไตล์การตกแต่งโรงแรมที่ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบนั้นผสมผสานความสวยงามเข้ากับประโยชน์ใช้สอย ทำให้พื้นที่ต่างๆ ทั้งดึงดูดใจและใช้งานได้จริง นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของแบรนด์โรงแรมและสร้างความประทับใจให้กับแขก ด้วยการนำเอาองค์ประกอบทางวัฒนธรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้

การออกแบบที่ดียังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและสนับสนุนความยั่งยืน ซึ่งสามารถยกระดับชื่อเสียงของโรงแรมในฐานะสถานที่ที่มีนวัตกรรมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยรวมแล้ว การออกแบบที่มีประสิทธิภาพช่วยให้มั่นใจได้ว่าแขกจะได้รับประสบการณ์ที่ดีระหว่างการเข้าพัก และมองว่าโรงแรมเป็นจุดหมายปลายทางที่ทันสมัยและให้ความสำคัญกับผู้เข้าพักอย่างแท้จริง

ทำให้โรงแรมของคุณมีชีวิตออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มอัจฉริยะของ SiteMinder

ทำให้การมีอยู่ของคุณออนไลน์น่าดึงดูดเหมือนกับโรงแรมของคุณเอง ด้วยคุณสมบัติของเราที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมสำหรับโรงแรมขนาดกลางถึงใหญ่

เรียนรู้เพิ่มเติม

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการออกแบบภายนอกโรงแรม

เมื่อคิดคอนเซ็ปต์การออกแบบภายนอกโรงแรม มีหลายองค์ประกอบสำคัญที่ควรคำนึงถึง เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลอย่างมากต่อความประทับใจแรกและการใช้งานของโรงแรม:

อัตลักษณ์หรือสไตล์โรงแรมของโรงแรมคุณคือแนวไหน?

การออกแบบภายนอกควรสะท้อนอัตลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ สร้างความประทับใจแรกที่น่าจดจำ นี่หมายถึงการเลือกดีไซน์ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรู บูทีค หรือเป็นมิตรกับครอบครัว สถาปัตยกรรมสามารถเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ที่แขกจะได้รับผ่านการมองเห็น

คุณจะผสมผสานกับบริบทและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างไร?

การนำองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมและวัสดุท้องถิ่นมาใช้ จะช่วยให้โรงแรมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและสะท้อนวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น นอกจากจะเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังดึงดูดแขกที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่นด้วย

ทำยังไงให้การออกแบบมีประโยชน์ใช้สอยจริงและเข้าถึงง่าย?

ด้านการใช้งานจริงของการออกแบบโรงแรม ต้องคำนึงถึงแขกและการขนส่ง งานบริการ การจราจรที่ไหลลื่น และความปลอดภัย ผังโรงแรมควรเอื้อต่อการดำเนินงานที่ราบรื่นและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ที่จอดรถ จุดรับ-ส่ง และทางเข้าสำหรับผู้พิการ

จะทำให้การออกแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร?

การออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากขึ้นในอุตสาหกรรมการโรงแรม ควรพิจารณาใช้วัสดุที่ยั่งยืน หลังคาสีเขียว หน้าต่างประหยัดพลังงาน และดีไซน์ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและดึงดูดแขกที่ใส่ใจเรื่องนี้

จะจัดการเรื่องไฟส่องสว่างและป้ายภายนอกโรงแรมอย่างไร?

แสงไฟที่เหมาะสมช่วยเพิ่มทัศนวิสัย ความปลอดภัย และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น การจัดวางไฟอย่างพิถีพิถันสามารถเน้นจุดเด่นทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนป้ายควรมองเห็นชัดเจนและสะท้อนแบรนด์ของโรงแรม ช่วยนำทางและให้ข้อมูลแก่แขกตั้งแต่มาถึง

สีที่ดีที่สุดสำหรับไฟส่องสว่างภายนอกโรงแรม ได้แก่ สีขาวอุ่นเพื่อบรรยากาศต้อนรับ สีขาวเย็นสำหรับลุคทันสมัย สีเหลืองอ่อนเพื่อกลิ่นอายคลาสสิก สีอำพันเพื่อลดการรบกวนสัตว์ป่า ไฟ LED RGB สำหรับการเปลี่ยนสีแบบไดนามิก และสีฟ้าเพื่อเน้นองค์ประกอบน้ำและสร้างความรู้สึกสงบ

Hotel Design

อนาคตของการออกแบบโรงแรม

ผู้บริโภคยุคใหม่มีความซับซ้อนและเข้าใจยากกว่าที่เคยมีมา การแพร่หลายของกระแสโลกาภิวัตน์และการให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกบุคคล ได้ทำให้แนวคิดการตลาดแบบเหมารวมหรือวิธีการแก้ปัญหาแบบเดียวกันทั้งหมดไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ในทุกวงการ – รวมถึงธุรกิจโรงแรม

เทรนด์ทั่วไปที่เห็นได้ชัดคือการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การต่อสู้กับความชรา และความต้องการที่จะพัฒนาสมรรถภาพร่างกายให้ดีที่สุด ไม่เคยเป็นเทรนด์กระแส ได้รับความสนใจมากเท่านี้มาก่อน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นจากการเติบโตของเทคโนโลยีแวร์เอเบิล (อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ) และการเพิ่มขึ้นอย่างมากของคอนเทนต์เกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายในสื่อและโซเชียลมีเดียต่างๆ

แต่เทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นในธุรกิจโรงแรมหรือยัง? จากที่สังเกต ส่วนใหญ่แล้วสิ่งอำนวยความสะดวกด้านฟิตเนสในโรงแรมยังคงรูปแบบเดิมๆ อยู่ ซึ่งนี่เป็นจุดที่น่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ และมีแนวโน้มว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ด้วย

ตัวอย่างไอเดียการออกแบบโรงแรมที่น่าสนใจ

การออกแบบโรงแรมสไตล์โมเดิร์น (Modern hotel design)

modern hotel design

โรงแรมสไตล์โมเดิร์นมักเน้นความเรียบง่าย ด้วยรูปทรงเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้โทนสีกลางๆ แต่เพิ่มความน่าสนใจด้วยงานศิลปะร่วมสมัยที่มีสีสันสะดุดตา การใช้กระจกและเหล็กเป็นที่นิยม เพื่อสร้างพื้นที่โปร่งโล่งที่รับแสงธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีอันชาญฉลาดมาใช้ เช่น ระบบเช็คอินดิจิทัลและการควบคุมห้องพัก เพื่อความสะดวกสบายและความทันสมัยสำหรับแขก

การออกแบบโรงแรมบูทีค (Boutique hotel design)

boutique hotel design

บูทีคโฮเทลโดดเด่นด้วยธีมที่เป็นเอกลักษณ์และประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว การออกแบบมักผสมผสานหลายสไตล์ ทั้งวินเทจและโมเดิร์น เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์และอบอุ่น โรงแรมเหล่านี้อาจใช้งานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบพิเศษ และโทนสีสดใสที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือธีมเฉพาะของโรงแรม

การออกแบบโรงแรมหรู (Luxury hotel design)

luxury hotel design

โรงแรมหรูเน้นความอลังการและความสะดวกสบาย ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ใช้วัสดุระดับไฮเอนด์ เช่น หินอ่อน ผ้าไหม และกำมะหยี่ แสงไฟเป็นสิ่งสำคัญ มักใช้โคมไฟหรูหราอย่างโคมระย้าหรือโคมไฟดีไซเนอร์ สิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรู เช่น ห้องน้ำสไตล์สปา ห้องสวีทขนาดใหญ่ และพื้นที่รับประทานอาหารแบบกูร์เมต์ เป็นองค์ประกอบที่พบได้ทั่วไป

การออกแบบโรงแรมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable hotel design)

sustainable hotel design

โรงแรมที่ออกแบบเพื่อความยั่งยืนให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุและวิธีการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาจรวมถึงการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน หลังคาเขียว และระบบรีไซเคิลน้ำ ภายในมักใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้รีไซเคิลและหิน และออกแบบอาคารให้ใช้ประโยชน์จากการให้ความร้อน การทำความเย็น และแสงสว่างตามธรรมชาติ เพื่อลดการใช้พลังงาน

]]>
รีวิว Hopper: ใช้จองโรงแรมดีไหม? https://www.siteminder.com/th/r/hopper-reviews/ Mon, 09 Sep 2024 04:23:40 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176949 Hopper คืออะไร?

Hopper เป็นแอปพลิเคชันจองการเดินทางที่ใช้อัลกอริทึมในการคาดการณ์ราคาเที่ยวบินและโรงแรมในอนาคต ช่วยให้นักท่องเที่ยวหาดีลที่ดีที่สุดและประหยัดเงินในการเดินทาง ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและความสามารถในการคาดการณ์ความผันผวนของราคา ทำให้ Hopper เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ฉลาดเลือก

บทความนี้จะมาแชร์ข้อดีข้อเสียของ Hopper และวิธีที่โรงแรมไทยสามารถใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

สารบัญ

รีวิว Hopper: น่าเชื่อถือไหมสำหรับการจองโรงแรม?

คุณอาจสงสัยว่า Hopper เป็นแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้สำหรับการจองโรงแรมใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่ Hopper เป็น OTA ที่มีชื่อเสียงและกำลังเติบโต กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวและกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ จริงๆ แล้ว Hopper เป็นหนึ่งใน OTA ที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา

แต่ก็เหมือนกับแพลตฟอร์มจองที่พักอื่นๆ Hopper ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก่อนจะตัดสินใจใช้งาน Hopper เราลองมาดูกันว่ามันทำงานยังไงจากมุมมองของโรงแรมกันดีกว่า

ข้อดี:

  • เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่: Hopper มีฐานผู้ใช้ที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบหาที่พักราคาประหยัด ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้
  • เพิ่มโอกาสให้คนเห็น: ลงขายห้องพักบน Hopper ช่วยให้โรงแรมคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าราคาน่าสนใจ อาจทำให้ยอดจองและรายได้พุ่งขึ้นได้
  • ช่วยเพิ่มอัตราเข้าพัก: Hopper เน้นขายดีลนาทีสุดท้ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่อ่อนไหวเรื่องราคา ช่วยให้ห้องว่างถูกจองและเพิ่มอัตราเข้าพักได้
  • จองได้หลากหลาย: Hopper เปิดให้โรงแรมขายห้องแบบรายชั่วโมงหรือรายเดือนได้ด้วย ไม่ใช่แค่พักข้ามคืนแบบปกติ
  • จองง่าย สะดวก: แอป Hopper ใช้งานง่าย ขั้นตอนการจองไม่ยุ่งยาก ทำให้ลูกค้าจองห้องคุณได้สะดวก

ยืนยันด้วยข้อมูลจากรายงานเทรนด์การจองโรงแรมล่าสุดของเรา:

“ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในประเทศ มองหาดีลที่พักผ่าน Hopper ซึ่งมีฐานในแคนาดา ตลาดออนไลน์นี้ได้เข้าสู่อันดับ Top 12 ตามที่คาดการณ์ไว้ในปี 2023”

ข้อเสีย:

  • เสียค่าคอมมิชชั่น: Hopper หักค่าคอมฯ ทุกครั้งที่มีการจอง อาจทำให้กำไรลดลง ต้องคิดให้ดีตอนตั้งราคา
  • ราคาอาจต่ำกว่าปกติ: Hopper มักเน้นขายราคาพิเศษ ทำให้โรงแรมอาจต้องยอมขายในราคาที่ต่ำกว่าช่องทางอื่น
  • ติดต่อแขกโดยตรงได้น้อยลง: บางครั้ง Hopper จะเป็นคนจัดการติดต่อกับแขกเอง ทำให้โรงแรมอาจไม่ได้คุยกับแขกโดยตรง
  • ต้องทำการตลาดเอง: ไม่ใช่แค่ลงขายแล้วจบ ต้องทำการตลาดและโปรโมทโรงแรมบน Hopper อย่างจริงจังเพื่อดึงดูดลูกค้า
  • แข่งขันสูง: ต้องแข่งกับโรงแรมอื่นๆ บน Hopper เพื่อให้ได้การจอง ต้องโดดเด่นทั้งเรื่องราคา โปรโมชั้น และการทำตลาด

จัดการ Hopper และเว็บไซต์อื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย SiteMinder

ทำให้การกระจายของโรงแรมคุณง่ายขึ้นด้วยแพลตฟอร์มของ SiteMinder ที่ช่วยให้คุณลงรายการบนช่องทางมากกว่า 450 แห่งทั่วโลก

เรียนรู้เพิ่มเติม

ทำไมโรงแรมของคุณควรขายห้องพักบน Hopper?

Hopper เป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับโรงแรมคุณ เพราะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ที่ชอบเปรียบเทียบราคา มาดูกันว่าทำไม:

  • เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่: Hopper มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ เปิดโอกาสให้โรงแรมคุณได้เข้าถึงแขกกลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพ
  • เพิ่มโอกาสให้คนเห็น: แค่ลงขายบน Hopper ก็ช่วยให้โรงแรมคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น ดึงดูดการจองได้เพิ่มขึ้น
  • รายได้งอกเงย: ลูกค้า Hopper ขึ้นชื่อเรื่องชอบเปรียบเทียบราคา นั่นหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มจะจองโรงแรมที่เสนอราคาน่าสนใจ

Hopper Reviews

วิธีเข้าร่วมขายห้องพักบน Hopper

การเริ่มต้นขายห้องพักของคุณบน Hopper ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แค่ทำตามขั้นตอนนี้:

  1. สมัครใช้งาน: สร้างบัญชีบนแพลตฟอร์ม Hopper Partner Central แล้วกรอกข้อมูลโรงแรม ใส่รูปภาพ คำอธิบาย และรายละเอียดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ครบ
  2. ระบุประเภทห้องพัก: บอกว่าคุณมีห้องแบบไหนบ้าง เช่น ห้องมาตรฐาน ห้องสวีท ประเภทเตียงต่างๆ รวมถึงตัวเลือกจองรายชั่วโมงหรือรายเดือน (ถ้ามี)
  3. เพิ่มโปรโมชั่นพิเศษ: ลองเสนอแพ็กเกจน่าสนใจ เช่น แพ็กเกจรวมอาหารเช้า หรือแพ็กเกจท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น
  4. เลือกวิธีรับชำระเงิน: ตัดสินใจว่าจะรับเงินผ่านช่องทางไหนบ้าง เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือจะใช้บริการ Stayhopper

การเข้าสู่ระบบ Extranet ของ Hopper สำหรับโรงแรม

เมื่อโรงแรมของคุณลงทะเบียนกับ Hopper แล้ว คุณสามารถจัดการรายการห้องพักผ่านระบบ Extranet ของ Hopper ได้ แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้คุณอัปเดตราคา ห้องว่าง และข้อมูลสำคัญอื่นๆ นอกจากนี้ยังแสดงผลการดำเนินงานของโรงแรม ทำให้คุณตัดสินใจเรื่องราคาและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างแม่นยำ

แม้ว่า Extranet ของ Hopper จะมีประโยชน์ แต่มันจำกัดอยู่แค่การจัดการห้องพักบน Hopper เท่านั้น ไม่ครอบคลุมทุกช่องทางการขาย ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับโรงแรมส่วนใหญ่ที่มีห้องพักกระจายอยู่บน OTA หลายเจ้า รวมถึงระบบจองตรงของโรงแรมเอง หากไม่สามารถจัดการห้องว่าง ราคา และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตรงกันได้ อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาด ไม่สอดคล้องกัน และอาจส่งผลเสียต่อการขาย ไม่เฉพาะบน Hopper แต่รวมถึงทุกช่องทางการขาย

นี่คือจุดที่ระบบ Channel Manager อย่าง SiteMinder เข้ามาช่วย SiteMinder ช่วยให้คุณจัดการห้องพักในทุกช่องทางจากที่เดียว ไม่ว่าจะอยู่บนแพลตฟอร์มไหนก็ตาม นั่นหมายถึง: อัปเดตราคาอัตโนมัติ (รวมถึงราคาแบบไดนามิกและราคาสำหรับมือถือ) ปรับเปลี่ยนห้องว่างอัตโนมัติ (ลดปัญหาจองซ้ำซ้อน!) แก้ไขรายละเอียดห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกอัตโนมัติ (ไม่ต้องกังวลว่าจะโฆษณาสิ่งที่ไม่มีแล้ว)

SiteMinder ช่วยจัดการทุกอย่างให้คุณในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการรักษาราคาให้เท่ากันทุกช่องทาง (Rate Parity) การบริหารห้องว่าง และฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย คุณไม่ต้องเสียเวลาเข้า-ออกระบบ Extranet ของ OTA แต่ละเจ้าอีกต่อไป

]]>
คู่มือ OTA Channel Manager ครบ จบ ในที่เดียว https://www.siteminder.com/th/r/ota-channel-manager/ Mon, 09 Sep 2024 04:14:54 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176942 OTA Channel Manager คืออะไร?

OTA Channel Manager เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดการเว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์ (OTA) หลายๆ แห่งในระบบเดียว เหมาะสำหรับฝ่ายขายและผู้จัดการรายได้ของโรงแรมในการอัปเดตห้องพักและราคาแบบเรียลไทม์

OTA Channel Manager ช่วยซิงค์ราคาห้องพักและจำนวนห้องว่างระหว่างระบบจัดการโรงแรม (PMS) กับ OTA ทั้งหมดที่เชื่อมต่อ เช่น Booking.com, Agoda, Traveloka และ Airbnb

สารบัญ

ทำไมโรงแรมควรใช้ Channel Manager สำหรับ OTA?

OTA Channel Manager ช่วยให้โรงแรมจัดการเว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์ได้จากที่เดียว ช่วยประหยัดเวลาและลดความผิดพลาดในการทำงาน

หากไม่ใช้ Channel Manager การอัปเดตราคา ห้องว่าง และข้อมูลบน OTA แต่ละแห่งจะใช้เวลามากและเสี่ยงต่อความผิดพลาด

แทนที่จะแก้ไขข้อมูลบนเว็บ OTA ทีละแห่ง คุณสามารถใช้ Channel Manager อัปเดตข้อมูลทั้งหมดพร้อมกันในระบบเดียว ทำให้ข้อมูลถูกต้องและตรงกัน

การใช้ OTA Channel Manager ยังช่วยเพิ่มยอดขายโรงแรมและเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ด้วยการเชื่อมต่อกับช่องทางการจองที่หลากหลาย ทำให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างทั่วโลก

การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงนี้ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคน เพิ่มยอดจองออนไลน์ และทำให้อัตราการเข้าพักสูงสุด

OTA Channel Manager ทำงานอย่างไร?

โดยทั่วไป OTA Channel Manager ทำงานผ่านการเชื่อมต่อแบบสองทางระหว่างระบบ PMS ของคุณกับช่องทาง OTA ต่างๆ

เมื่อแขกทำการจองผ่าน OTA เช่น Hostelworld ทาง Channel Manager จะส่งรายละเอียดการจองไปยัง PMS ของคุณ ซึ่งจะอัปเดตจำนวนห้องและห้องว่างโดยอัตโนมัติ

PMS ของคุณยังสามารถส่งข้อจำกัดต่างๆ เช่น การหยุดขาย (stop sell) การเข้าพักขั้นต่ำ และการเข้าพักสูงสุด ไปยัง Channel Manager ซึ่งจะใช้พารามิเตอร์เหล่านี้เพื่อลดจำนวนห้องว่างบนเว็บไซต์จองอื่นๆ ที่เชื่อมต่อ ช่วยขจัดความเสี่ยงในการจองเกินหรือจองซ้ำ

ota channel manager
Example of how an OTA channel manager works

 

5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการใช้ OTA Channel Manager สำหรับโรงแรมของคุณ:

1. สมัครทดลองใช้ OTA Channel Manager ฟรี

เริ่มต้นด้วยการเลือก Channel Manager ชั้นนำที่มีโปรแกรมทดลองใช้ฟรี อย่างเช่น SiteMinder ผู้นำระดับโลกด้าน Channel Manager ที่มาพร้อมระบบเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเสถียรที่สุด ครอบคลุม OTA กว่า 450 ช่องทางทั่วโลก

มีลูกค้าที่ประทับใจ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “ผมลองใช้โปรแกรมฟรี 14 วันของ SiteMinder แล้วประทับใจมาก พอหมดช่วงทดลอง เลยตัดสินใจสมัครใช้งานเลย ที่สำคัญคือตั้งค่าใช้งานง่ายมาก ใช้เวลาไม่นานเลยครับ”

เริ่มต้นทดลองใช้ฟรีวันนี้

2. เตรียมข้อมูลโรงแรมและรายละเอียด OTA ของคุณ

รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับโรงแรมของคุณ ซึ่งรวมถึงชื่อโรงแรม ที่อยู่จดทะเบียน ประเภทห้องพัก อัตราค่าห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก นโยบายต่างๆ และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น รูปภาพและคำอธิบาย

คุณจะต้องเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับ OTA และช่องทางอื่นๆ ที่คุณต้องการเชื่อมต่อด้วย เช่น ID บัญชี OTA และ ID โรงแรมบน OTA เป็นต้น

ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราจะแนะนำคุณตลอดกระบวนการตั้งค่า นอกจากนี้ เรายังมีแหล่งข้อมูลการฝึกอบรม คู่มือ เอกสารต่างๆ และแหล่งข้อมูลสนับสนุนเพื่อช่วยให้คุณคุ้นเคยกับ OTA Channel Manager ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. เชื่อมต่อ PMS กับ Channel Manager

OTA Channel Manager สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) มากกว่า 250 ระบบ ตั้งแต่ระบบขั้นสูงอย่าง Opera PMS ไปจนถึงซอฟต์แวร์ครบวงจรอย่าง Little Hotelier

การเชื่อมต่อกับ PMS มีความสำคัญมากในการตั้งค่า Channel Manager เพราะช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนระหว่างสองแพลตฟอร์มได้อย่างราบรื่น ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะอัปเดตและซิงค์แบบเรียลไทม์

ตัวอย่างเช่น เมื่อ Channel Manager เชื่อมต่อกับ PMS ของคุณ คุณสามารถนำเข้าการจองที่มีอยู่และรับการจองใหม่ได้อย่างง่ายดาย โดยมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะสอดคล้องตรงกันทั้งหมด

หากคุณบริหารโรงแรมขนาดเล็กและยังไม่มี PMS ลองพิจารณาใช้ระบบจัดการโรงแรมของ Little Hotelier ดู คุณสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 35 นาทีต่อการจองและได้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) สูงถึง 63 เท่า ลองใช้ฟรี 30 วัน

4. ตั้งค่าราคาห้องพัก จำนวนห้องว่าง และข้อจำกัดต่างๆ

กำหนดกฎการตั้งราคา จัดสรรจำนวนห้องพัก และตั้งข้อจำกัดต่างๆ ใน OTA Channel Manager

คุณมีอิสระเต็มที่ในการกำหนดราคาห้องพักสำหรับแต่ละเทศกาลหรือแต่ละช่วงของปี ปรับราคาตามอัตราการเข้าพัก และใช้ส่วนลดหรือโปรโมชันต่างๆ

คุณยังสามารถจัดการจำนวนห้องว่างสำหรับแต่ละประเภทห้อง และตั้งข้อจำกัดเฉพาะ เช่น จำนวนคืนขั้นต่ำในการเข้าพักช่วงไฮซีซัน

เพื่อแสดงราคาห้องพักและจำนวนห้องว่างที่อัปเดตแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลใน PMS, Channel Manager และรายละเอียดช่องทาง OTA ถูกต้องตรงกันเมื่อคุณกำหนดราคาห้องพัก5. ทดสอบระบบและเริ่มจัดการช่องทาง OTA

จำลองการจองทดสอบผ่าน OTA ที่เชื่อมต่อไว้ เช่น Hotels.com และสังเกตว่าการจองถูกส่งไปยัง PMS ของคุณอย่างราบรื่น

คุณควรเห็นว่าราคา จำนวนห้องว่าง และข้อจำกัดต่างๆ ซิงค์กันโดยอัตโนมัติระหว่าง Channel Manager และ OTA

ด้วย OTA Channel Manager คุณสามารถดูการจองจาก OTA ต่างๆ ในแพลตฟอร์มเดียว

คุณยังสามารถวิเคราะห์รายงานประสิทธิภาพเพื่อระบุช่องทางที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ติดตามแนวโน้มรายได้ และตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์การตั้งราคาและการกระจายช่องทางขายได้อย่างชาญฉลาด

OTA ไหนบ้างเชื่อมต่อกับ Channel Manager ได้?

ช่องทางการขายออนไลน์ (OTA) ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Channel Manager นั้นขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย

ยกตัวอย่างเช่น SiteMinder สามารถเชื่อมต่อกับ OTA นับร้อยช่องทาง ตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Booking.com, Expedia และ Airbnb ไปจนถึงแพลตฟอร์มชั้นนำในภูมิภาคอย่าง AirAsia, Mr. & Mrs. Smith และ British Airways Holidays คุณสามารถดูรายชื่อ OTA ทั้งหมดที่เชื่อมต่อได้ผ่านลิงก์ด้านล่าง

]]>
คู่มือ Revenue optimization สำหรับธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/revenue-optimization/ Mon, 09 Sep 2024 03:48:30 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176937 Revenue optimization คืออะไร?

Revenue Optimization หรือ การเพิ่มประสิทธิภาพของรายได้ ในธุรกิจโรงแรมเป็นกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทุกช่องทางการสร้างรายได้ โดยใช้ข้อมูลเพื่อยกระดับผลประกอบการโดยรวมของธุรกิจ เป็นกระบวนการแบบองค์รวมที่โรงแรมสามารถใช้จัดการราคา สินค้าคงคลัง ช่องทางการขาย ความต้องการของลูกค้า และอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของรายได้

การเพิ่มประสิทธิภาพของรายได้ (Revenue Optimization) ไม่เพียงแต่มองหาโอกาสในการขายให้มากขึ้น แต่ยังมุ่งเน้นการขายอย่างมีกำไรมากขึ้นด้วย โดยใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ และรายงานต่างๆ เพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงตัวชี้วัดสำคัญ แบบจำลองการคาดการณ์ และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ต่างๆ

Revenue optimization ต่างกับ Revenue management ยังไง

ในแง่ของคำจำกัดความและในเชิงปฏิบัติ มีความแตกต่างกันอยู่ระหว่าง Revenue Optimization และ Revenue Management

โดย Revenue Management มุ่งเน้นไปที่การจัดการราคาและความพร้อมให้บริการของโรงแรมเพื่อเพิ่มรายได้สูงสุด Revenue Optimization มีมุมมองที่กว้างกว่า โดยครอบคลุมแหล่งรายได้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม บริการสปา การจัดงานอีเวนต์ คลาสต่างๆ และรายได้เสริมอื่นๆ

Revenue Management อาจมองว่าเน้นไปที่กลยุทธ์ระยะสั้น เช่น การปรับราคาแบบไดนามิก และการจัดการสินค้าคงคลังที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มรายได้จากห้องพักสูงสุด ในขณะที่ Revenue Optimization มีแนวทางที่ครอบคลุมและมองการณ์ไกลมากกว่า

ในบทความนี้ เราจะชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของ Revenue Optimization และแนะนำไอเดียเล็กๆน้อยๆที่คุณสามารถนำไปปรับปรุงใช้ในโรงแรมของคุณได้

สารบัญ

ทำไม Revenue Optimization จึงสำคัญสำหรับโรงแรม?

Revenue Optimization มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับโรงแรมที่ต้องการความสำเร็จในระยะยาว เนื่องจาก Revenue Optimization ให้ความสำคัญกับการจัดการรายได้แบบองค์รวมโดยมีเป้าหมายระยะยาว ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด จึงสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเพิ่มประสิทธิภาพของรายได้ (Revenue Optimization) ช่วยให้มั่นใจว่าโรงแรมหรือแบรนด์กำลังสร้างผลกำไรสูงสุดจากทรัพยากรและโอกาสที่มีอยู่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังช่วยระบุวิธีการสร้างกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและปรับปรุงประสบการณ์ของแขกที่เข้าพัก

การให้ความสำคัญกับ Revenue Optimization จะช่วยให้โรงแรมของคุณอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งขึ้นในการใช้ประโยชน์จากข้อมูล เทรนด์ และข้อมูลเชิงลึกของตลาด

รายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรที่มากขึ้น

จะเป็นอย่างไรถ้าคุณสามารถเพิ่มรายได้และกำไรของโรงแรม พร้อมกับลดภาระงานของคุณ? แพลตฟอร์มโรงแรมอัจฉริยะของเราช่วยให้คุณทำได้อย่างแท้จริง

เรียนรู้เพิ่มเติม

ประโยชน์ของการปรับราคาและเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ (Revenue optimization)

หนึ่งในข้อดีหลักๆ ของการปรับราคาและเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ (Revenue Optimization) คือการใช้ข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัย ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มีให้ใช้งานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารรายได้ ระบบสำรองห้องพักส่วนกลาง เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจแบบเรียลไทม์ หรือระบบจัดการช่องทางการขาย (channel manager)

สำหรับโรงแรมและธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการ การทำ Revenue Optimization นั้นมีประโยชน์มากมาย มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:

  • กำไรเพิ่มขึ้น: การตั้งราคาห้องพักให้เหมาะสมและบริหารห้องว่างอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้โรงแรมทำรายได้สูงสุดโดยไม่จำเป็นต้องลดอัตราการเข้าพัก
  • คาดการณ์แม่นยำขึ้น: Revenue Optimization ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลการจองในอดีต ราคาคู่แข่ง และสภาพตลาด ทำให้โรงแรมประเมินความต้องการในอนาคตและปรับกลยุทธ์ราคาได้ทันท่วงที
  • เหนือกว่าคู่แข่ง: ในธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างการท่องเที่ยว การปรับราคาได้ไวช่วยให้โรงแรมได้เปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน
  • จัดสรรทรัพยากรดีขึ้น: ช่วยให้โรงแรมวางแผนกำลังคนตามจำนวนแขกที่คาดว่าจะเข้าพัก มีพนักงานพอในช่วงไฮซีซั่นและไม่สิ้นเปลืองในช่วงโลว์ซีซั่น
  • ตัดสินใจด้วยข้อมูลจริง: ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในการกำหนดกลยุทธ์ราคาและช่องทางขาย ลดการคาดเดาและช่วยให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้
  • แบ่งกลุ่มลูกค้าได้ชัดเจน: เครื่องมือ Revenue Optimization ช่วยจำแนกกลุ่มลูกค้า (เช่น นักธุรกิจ ครอบครัว) ทำให้ปรับราคาและโปรโมชั่นให้โดนใจแต่ละกลุ่ม
  • พนักงานมีเวลาทำงานอื่นมากขึ้น: การใช้ระบบอัตโนมัติช่วยให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานสำคัญอื่นๆ เช่น การบริการลูกค้าและการตลาด

revenue optimization

การพัฒนากลยุทธ์ Revenue Optimization สำหรับโรงแรมของคุณ

ก่อนจะเริ่มระดมไอเดียและวางแผนกลยุทธ์ คุณต้องรู้ก่อนว่าอยากเพิ่มประสิทธิภาพอะไรและจะเข้าถึงมันอย่างไร

ข้อดีของ Revenue Optimization คือสามารถใช้ได้กับทุกฝ่ายของโรงแรมที่สร้างรายได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 หมวดใหญ่ๆ:

1. แหล่งรายได้หลัก

  • การจองห้องพัก
  • OTA (เว็บจองออนไลน์ต่างๆ)
  • GDS (ระบบจองห้องพักและบริการท่องเที่ยวทั่วโลก)
  • การจองสำหรับองค์กร/กรุ๊ป
  • การจัดการช่องทางการขาย

2. แหล่งรายได้รอง

  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • พื้นที่จัดงานและประชุม
  • บริการสปาและเวลเนส
  • ที่จอดรถและบริการรถรับส่ง
  • ร้านค้าและของที่ระลึก
  • กิจกรรมสันทนาการ

3. การขายเพิ่ม (Upselling)

  • อัพเกรดห้องพัก
  • แพ็คเกจและโปรโมชั่น
  • โปรแกรมสมาชิก
  • สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก
  • ทัวร์และประสบการณ์พิเศษ

สำหรับการผลักดันให้เกิดผลในด้านต่างๆ เหล่านี้ คุณควรลงทุนใน 3 สิ่งหลักๆ เพื่อเริ่มต้น:

  • ระบบอัตโนมัติสำหรับการตลาดและการดำเนินงาน
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการขาย
  • การเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น แพลตฟอร์มอย่าง SiteMinder จะช่วยให้คุณจัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น และเข้าใจว่าควรตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างไรให้เหมาะกับโรงแรมของคุณ

10 ไอเดียเด็ดเพิ่มรายได้ให้โรงแรมคุณ

เมื่อพูดถึงการนำไอเดียไปปฏิบัติจริงและสร้างกลยุทธ์ มีหลายวิธีที่อาจเหมาะกับธุรกิจของคุณ นี่คือ 10 ไอเดียที่คุณสามารถเริ่มต้นได้เลย:

  1. ใช้ราคาแบบไดนามิก: ปรับราคาห้องพักตามความต้องการแบบเรียลไทม์ ช่วงไฮซีซั่นหรือมีงานใหญ่ๆ ก็ขึ้นราคาเพื่อเพิ่มรายได้ต่อห้อง ส่วนช่วงโลว์ซีซั่นก็ลดราคาเพื่อดึงดูดการจอง
  2. คาดการณ์ความต้องการ: ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์อัตราการเข้าพักในอนาคต ช่วยให้วางแผนกลยุทธ์ราคา จัดการพนักงาน และบริหารห้องพักได้แม่นยำขึ้น
  3. แบ่งกลุ่มลูกค้า: ทำแคมเปญการตลาดและข้อเสนอเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
  4. แพ็กเกจดีลสุดคุ้ม: สร้างแพ็กเกจที่รวมห้องพักกับบริการอื่นๆ เช่น สปา อาหาร หรือกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นให้แขกใช้จ่ายมากขึ้นและเพิ่มรายได้โดยรวม
  5. อัพเซลล์และครอสเซลล์: ชวนให้แขกอัพเกรดห้องหรือเพิ่มบริการ เช่น อาหารเช้าหรือที่จอดรถ และแนะนำบริการเสริมที่เข้ากับการเข้าพัก เช่น รถรับส่งสนามบินหรือจองร้านอาหาร
  6. กำหนดระยะเวลาเข้าพัก: ตั้งเงื่อนไขการเข้าพักขั้นต่ำหรือสูงสุดเพื่อบริหารอัตราการเข้าพักในช่วงพีคและโลว์ซีซั่น เช่น กำหนดให้พักอย่างน้อย 3 คืนในช่วงหน้าหนาวถ้าคุณเป็นโรงแรมที่ปกติคนนิยมมาพักในหน้าร้อน
  7. บริหารช่องทางการขาย: ใช้ระบบจัดการช่องทางการขายเพื่อควบคุมการกระจายห้องพักผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ช่วยให้ราคาสอดคล้องกันและป้องกันการจองเกิน
  8. ปรับให้เข้ากับมือถือ: ทำให้เว็บไซต์โรงแรมและระบบจองใช้งานบนมือถือได้ดี เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนค้นหาและจองโรงแรม
  9. จัดการรีวิวและชื่อเสียงออนไลน์: กระตุ้นให้แขกรีวิวและรีบตอบกลับรีวิวเชิงลบอย่างทันท่วงที รีวิวที่ดีมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจจอง
  10. โปรแกรมแนะนำบอกต่อ: ให้รางวัลแขกประจำที่แนะนำโรงแรมให้คนอื่น เป็นวิธีประหยัดในการหาลูกค้าใหม่

การใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์และ Revenue Optimization สำหรับโรงแรม

เช่นเดียวกับที่มีกลยุทธ์มากมายให้คุณเลือกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายได้ของโรงแรม ก็มีโซลูชัน Revenue Optimization สำหรับโรงแรมมากมายเช่นกันที่จะช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น

การทำความเข้าใจว่าเครื่องมือไหนเหมาะกับคุณ และนำมาใช้ให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของโรงแรมคุณ จะช่วยให้คุณได้เปรียบในการสร้างกำไร

ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ:

  • ระบบจัดการช่องทางการขายห้องพัก (Channel Manager): ช่วยให้การจัดการห้องพักและการกระจายการขายง่ายขึ้น พร้อมทั้งให้รายงานผลงานสำคัญๆ ด้วย
  • ระบบบริหารรายได้ (RMS): ให้การวิเคราะห์และคำแนะนำด้านการบริหารรายได้ที่ใช้ข้อมูลเชิงลึกและซับซ้อน
  • ระบบจองห้องพักออนไลน์ (Booking Engine): ช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์โดยตรงกับแขก และเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้
  • ระบบบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM): จัดการการติดต่อและการสื่อสารกับแขกและลูกค้าที่มีโอกาสเข้าพักโดยเฉพาะ
  • ระบบการกระจายข้อมูลทั่วโลก (GDS): ช่วยให้คุณเข้าถึงเอเจนต์ท่องเที่ยวและ wholesaler นับพันราย เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการเข้าถึงลูกค้าและโอกาสในการสร้างรายได้
  • เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจ (Business Intelligence Tools): ให้ข้อมูลตลาดที่แม่นยำและเป็นปัจจุบัน ช่วยให้คุณจับตาดูราคาของตัวเองและคู่แข่งที่ใกล้เคียงได้อย่างทันท่วงที
  • แอปเพิ่มยอดขายและแอปอื่นๆ สำหรับแขก: แอปโรงแรมสามารถช่วยให้การเพิ่มยอดขาย การสื่อสาร การเช็คอิน บริการห้องพัก และอื่นๆ เป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังช่วยให้แขกได้รับประสบการณ์ที่ดี พร้อมทั้งรับรู้ถึงบริการเสริมต่างๆ ที่มีให้เลือกซื้อเพิ่มเติม
]]>
คู่มือล็อกอินเข้า Trip.com Extranet สำหรับเจ้าของที่พัก https://www.siteminder.com/th/r/trip-com-extranet/ Mon, 09 Sep 2024 03:21:54 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176921 Trip.com Extranet คืออะไร?

Trip.com Extranet เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้เจ้าของและผู้จัดการโรงแรมสามารถจัดการรายการที่พักบน Trip.com ได้อย่างสะดวก คุณสามารถอัปเดตจำนวนห้องว่าง ปรับราคา เพิ่มรายละเอียดที่พัก และจัดการการจองได้ในที่เดียว การใช้ Extranet จะช่วยให้ข้อมูลโรงแรมของคุณทันสมัยและน่าสนใจสำหรับแขกที่กำลังมองหาที่พัก ซึ่งสำคัญมากในการเพิ่มยอดจองและรายได้ของคุณ

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักทุกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับ Trip.com Extranet

สารบัญ

ทำไมคุณควรลิสที่พักใน Trip.com?

Trip.com เป็น OTA ระดับโลกที่เชื่อมโยงนักท่องเที่ยวนับล้านกับโรงแรมทั่วโลก การลิสใน Trip.com มีข้อดีหลายอย่าง:

  • เพิ่มการมองเห็น: ที่พักของคุณจะปรากฏต่อสายตาลูกค้าที่มีศักยภาพจากทั่วโลก
  • เพิ่มยอดจอง: ใช้เครื่องมือโปรโมทของ Trip.com เพื่อเพิ่มอัตราการจองได้
  • จัดการแบบครบวงจร: Extranet ช่วยให้คุณจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการแสดงผลออนไลน์ของที่พักได้ในที่เดียว
  • ยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า: จัดการรีวิวจากแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงชื่อเสียงของที่พัก
  • เพิ่มรายได้: ปรับแต่งรายการที่พักให้ดึงดูดการจองมากขึ้น และเพิ่มรายได้ของคุณ

ทำให้การจัดการของคุณง่ายขึ้นด้วยการผสานรวมระหว่าง SiteMinder และ Trip.com

จัดการราคาของโรงแรมคุณอย่างง่ายดาย เพิ่มการจองโดยตรง และขยายการเข้าถึงด้วยการผสานรวมอย่างราบรื่นของ SiteMinder กับ Trip.com

เรียนรู้เพิ่มเติม

eBooking Extranet กับ Ctrip Extranet: ต่างกันยังไง?

แม้ว่า eBooking และ Ctrip Extranet จะมีฟังก์ชันคล้ายกัน แต่ทั้งสองแพลตฟอร์มถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ต่างกัน eBooking เป็นแพลตฟอร์มทั่วไป ในขณะที่ Ctrip ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Trip.com Group เน้นตลาดจีนเป็นหลัก มาดูความแตกต่างกันคร่าวๆ:

  • หน้าตาการใช้งาน: Ctrip มีหน้าตาที่ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ชาวจีนโดยเฉพาะ ส่วน eBooking มีดีไซน์แบบทั่วไปเป็นสากล
  • กลุ่มเป้าหมาย: Ctrip เน้นนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่ eBooking เข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
  • ฟีเจอร์: ทั้งสองแพลตฟอร์มมีฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับจัดการการจองและรายการที่พัก แต่ Ctrip อาจมีเครื่องมือเพิ่มเติมที่ออกแบบมาเฉพาะเจาะจงสำหรับตลาดจีน
    Trip.com extranet

วิธีเข้าสู่ระบบ Trip.com Extranet

การเข้าสู่ระบบ Trip.com Extranet นั้นไม่ยุ่งยากเลย ทำได้ง่ายๆ ในไม่กี่ขั้นตอน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้ใหม่หรือใช้งานอยู่แล้ว คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงแดชบอร์ดได้อย่างสบายๆ

ขั้นตอนที่ 1: เข้าหน้าล็อกอิน

เปิดเบราว์เซอร์ที่คุณชอบ แล้วไปที่หน้าล็อกอิน Trip.com Extranet ง่ายๆ แค่พิมพ์ “Trip.com extranet login” ในกูเกิล หรือเข้า ebooking.trip.com/login/index โดยตรงก็ได้

ขั้นตอนที่ 2: กรอกข้อมูลเข้าระบบ

  • ชื่อผู้ใช้: ใส่ชื่อผู้ใช้ของบัญชี Trip.com ของคุณ ส่วนใหญ่จะเป็นอีเมลที่คุณใช้ตอนสมัคร
  • รหัสผ่าน: ใส่รหัสผ่านของคุณ ถ้าลืมรหัสผ่าน คลิกที่ “ลืมรหัสผ่าน?” เพื่อรีเซ็ตผ่านอีเมลที่คุณลงทะเบียนไว้

ขั้นตอนที่ 3: เข้าสู่แดชบอร์ด

พอระบบตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อย คุณจะเข้าสู่แดชบอร์ดของที่พักคุณ ตรงนี้คุณจัดการทุกอย่างได้เลย ทั้งห้องว่าง ราคา และการจอง

เทคนิคปรับแต่งข้อมูลที่พักหลังเข้าระบบ Trip.com Extranet

การปรับแต่งข้อมูลที่พักบน Trip.com นั้นสำคัญมาก ถ้าอยากดึงดูดการจองเพิ่มและทำรายได้ให้สูงสุด ข้อมูลที่พักที่ปรับแต่งมาอย่างดีจะช่วยให้ที่พักของคุณโดดเด่น ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าสนใจ และยกระดับประสบการณ์โดยรวมของแขก

มาดูกันว่าจะปรับแต่งข้อมูลที่พักให้ดีที่สุดหลังเข้าระบบ Trip.com Extranet ได้ยังไงบ้าง:

  • อัพเดตห้องว่าง: ใช้ระบบ Channel Manager เพื่อซิงค์ข้อมูลห้องว่างแบบเรียลไทม์กับทุกแพลตฟอร์ม ป้องกันการจองเกิน และบริหารห้องพักให้เต็มประสิทธิภาพ นำข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์ความต้องการ และตั้งกฎอัตโนมัติให้ปรับจำนวนห้องว่างตามอัตราการเข้าพักและรูปแบบการจอง
  • ปรับราคาสม่ำเสมอ: ใช้ระบบบริหารรายได้ (RMS) เพื่อปรับราคาแบบไดนามิกตามกิจกรรมหรือเทศกาลท้องถิ่น ราคาคู่แข่ง และเทรนด์ตลาด ช่วยให้แข่งขันได้ดี สร้างแพ็คเกจราคาหลากหลาย เช่น รวมอาหารเช้าหรือสปา เพื่อดึงดูดลูกค้าแต่ละกลุ่มและเพิ่มมูลค่าการจอง
  • ปรับปรุงคำอธิบายที่พัก: ให้รายละเอียดห้องแต่ละประเภทอย่างครบถ้วน ทั้งขนาด ลักษณะเตียง และสิ่งอำนวยความสะดวก เน้นจุดที่เพิ่งปรับปรุงใหม่เพื่อให้ข้อมูลสดใหม่อยู่เสมอ ใช้คีย์เวิร์ดเฉพาะและทำ SEO เพื่อดึงดูดแขกที่กำลังหาที่พักในย่านหรือใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่สนใจ
  • ใช้ภาพคุณภาพสูง: ลงทุนถ่ายภาพแบบมืออาชีพ โชว์ทุกมุมของที่พัก ทั้งภายในห้อง ห้องอาหาร และพื้นที่จัดงาน ลองใช้ภาพ 360 องศาให้ประสบการณ์เสมือนจริง อัพเดตภาพบ่อยๆ ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของการตกแต่ง บรรยากาศตามฤดูกาล และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ
  • ตอบรีวิว: ใช้เครื่องมือจัดการชื่อเสียงเพื่อติดตามและตอบรีวิวบนทุกแพลตฟอร์ม สร้างขั้นตอนมาตรฐานในการตอบรีวิวอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ วิเคราะห์เทรนด์จากรีวิวเพื่อหาปัญหาที่พบบ่อยและปรับปรุง เน้นย้ำการปรับปรุงเหล่านี้ในการตอบรีวิว เพื่อแสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับความเห็นของแขกและมุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์ของพวกเขา
]]>
วิธีสร้างเว็บจองโรงแรม https://www.siteminder.com/th/hotel-website-design-th/create-hotel-website-more-bookings/ Mon, 09 Sep 2024 03:02:28 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176917 เว็บจองโรงแรมคืออะไร?

เว็บจองโรงแรม คือเว็บไซต์ที่มีระบบจองห้องพักแบบครบวงจร นักท่องเที่ยวสามารถจองห้องพักผ่านเว็บของโรงแรมได้โดยตรง และข้อมูลการจองจะเข้าสู่ระบบจัดการโรงแรม (PMS) หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ที่เคาน์เตอร์แบบอัตโนมัติ

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของโรงแรมเล็กๆ ในเมืองเงียบสงบ หรือบริหารเครือโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังทั่วโลก คุณควรมีเว็บจองโรงแรมเป็นของตัวเอง เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและเพิ่มยอดจองห้องพัก

สารบัญ

ทำไมต้องมีเว็บจองโรงแรม?

การที่นักท่องเที่ยวสามารถจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมได้โดยตรง ช่วยลดความจำเป็นในการจองผ่าน OTA (Online Travel Agents) หรือตัวกลางอื่นๆ

นอกจากจะทำให้กระบวนการจองง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มการจองตรงซึ่งนำไปสู่รายได้ที่สูงขึ้นในที่สุด

และที่สำคัญ หากมีเว็บจองที่พักยังช่วยให้ทั้งแขกและพนักงานโรงแรมติดต่อกัรได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ด้วยการลดภาระงานด้านเอกสาร เว็บจองโรงแรมจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้าไปพร้อมๆ กัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเว็บจองโรงแรมเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การบริหารโรงแรม คุณจึงต้องพิจารณาทุกองค์ประกอบอย่างรอบคอบในการสร้างเว็บไซต์

เว็บไซต์โรงแรมของคุณเองพร้อมปฏิทินการจองและระบบชำระเงินในตัว

ใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามของเราเพื่อเพิ่มการจองโดยตรงและกระตุ้นรายได้ของโรงแรม

ดูการสาธิตทันที

องค์ประกอบสำคัญของเว็บจองโรงแรม

เมื่อคุณเริ่มสร้างเว็บจองโรงแรม มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง:

  • กลุ่มเป้าหมาย
  • แบรนด์ของโรงแรม
  • แบบฟอร์มการจอง
  • กลยุทธ์ SEO
  • การรองรับการใช้งานบนมือถือ
  • ความเร็วของเว็บไซต์

 

1. กลุ่มเป้าหมาย

ทุกฟีเจอร์บนเว็บไซต์ของคุณต้องตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ถ้าโรงแรมคุณเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวหรูหรา ก็ต้องใช้ภาพสวยๆ ของสิ่งอำนวยความสะดวกสุดพิเศษ และคอนเทนต์ที่ดึงดูดคนกลุ่มนี้ แต่ถ้าเป้าหมายคือคน Gen Y ภาพถ่ายก็ควรเป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังสนุกกับบริการของโรงแรม

2. แบรนด์โรงแรม

คุณอยากให้ผู้เข้าชมเว็บจดจำแบรนด์โรงแรมของคุณได้ ดังนั้นต้องแสดงแบรนด์อย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งเว็บไซต์ โลโก้สวยๆ และโทนสีที่ลงตัวจะช่วยสร้างเอกลักษณ์และความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

3. แบบฟอร์มการจอง

แขกต้องจองห้องพักบนเว็บไซต์คุณได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นคุณต้องลงทุนกับระบบจองห้องพักที่ใช้งานง่ายและช่วยเพิ่มอัตราการจองด้วย อย่าลืมใส่ปุ่ม “จองเลย” ขนาดใหญ่ที่สะดุดตาด้วย เพื่อดึงดูดให้กดจองทันที

4. กลยุทธ์ SEO

การลงทุนสร้างเว็บใหม่จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าหาไม่เจอบน Google ต้องทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาบนเว็บถูกปรับแต่งให้ติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง นี่เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงคนเข้าเว็บ ลองอ่านคู่มือฟรีของเราเกี่ยวกับ SEO สำหรับโรงแรม

5. รองรับการใช้งานบนมือถือ

คุณจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่รองรับทุกอุปกรณ์ และโปรแกรมสร้างเว็บไซต์โรงแรมของคุณต้องช่วยให้คุณทำสิ่งนี้ได้ การออกแบบเว็บไซต์โรงแรมแบบ responsive หรือตอบสนองได้ดี ช่วยให้ผู้ใช้สามารถท่องเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือก็ตาม

ระบบจองห้องพักออนไลน์ของโรงแรมคุณก็ต้องรองรับการจองผ่านมือถือด้วย เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นิยมจองห้องพักผ่านมือถือ การทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ แต่ยังช่วยให้การทำ SEO ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

6. ความเร็วของเว็บไซต์

เว็บไซต์ต้องโหลดได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนภายในไม่กี่วินาที มิฉะนั้นคุณเสี่ยงที่จะสูญเสียลูกค้าที่มีศักยภาพให้กับคู่แข่ง การออกแบบเว็บไซต์โรงแรมของคุณควรคำนึงถึงความเร็วในการโหลดเป็นสำคัญ

หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่พักขนาดเล็ก อาจลองพิจารณาใช้โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ของ Little Hotelier เขาออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้จัดการ เจ้าของ และผู้ดำเนินการโรงแรมขนาดเล็ก อย่างบูทีคโฮเทล เบดแอนด์เบรคฟาสต์ เป็นต้น

วิธีสร้างเว็บจองโรงแรม

การออกแบบและสร้างเว็บไซต์ใหม่อาจเป็นงานที่น่าหวั่นใจสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม สิ่งสำคัญคือคุณต้องถอยหลังมาประเมินความต้องการ งบประมาณ และความสามารถในการออกแบบของคุณก่อนเริ่มต้น

ผู้ประกอบการโรงแรมมีทางเลือกหลักสองทางในการสร้างเว็บไซต์ คือ ลงทุนในโปรแกรมสร้างเว็บไซต์อย่างง่าย หรือจ้างนักออกแบบเว็บมืออาชีพเพื่อสร้างดีไซน์แบบกำหนดเองตั้งแต่ต้น

ทางเลือกหลังสามารถให้ผู้ประกอบการได้เว็บไซต์ที่สวยงามและปรับแต่งได้ตามใจ แต่ก็อาจเป็นความท้าทายสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการออกแบบเว็บไซต์

การจ้างผู้รับเหมาเพื่อสร้างเว็บไซต์ตั้งแต่ต้นจะใช้เวลามาก และท้ายที่สุดก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ นอกจากนี้ การอัปเดตและแก้ไขเว็บไซต์ในอนาคตอาจทำได้ยาก เพราะต้องผ่านผู้รับเหมาที่ได้รับมอบหมายทุกครั้ง

อีกทางเลือกหนึ่งคือการลงทุนในโปรแกรมสร้างเว็บไซต์โรงแรมที่ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ปรับแต่งได้ตามแบรนด์ของคุณ วิธีนี้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เพราะคุณไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่ต้องการอัปเดตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนเว็บไซต์

เมื่อเลือกวิธีนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ออกแบบมาสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ เพราะจะมีฟีเจอร์ที่คุณต้องการและจำเป็นต้องใช้เพื่อดึงดูดการจองโดยตรง

ซอฟต์แวร์สร้างเว็บไซต์จองโรงแรม

เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ของ SiteMinder เป็นตัวเลือกที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสำหรับเจ้าของโรงแรมในการสร้างเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนมือถือ เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่พัก ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์อัจฉริยะ

นี่คือวิธีประหยัดงบประมาณที่ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมสร้างเว็บไซต์ที่มีเอกลักษณ์ ใช้งานได้จริง และออกแบบมาเพื่อเพิ่มยอดจองโดยตรงได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ:

  • ปรับปรุงเว็บไซต์โรงแรมได้ทันทีและง่ายดาย สร้างเว็บไซต์ในแบบของคุณได้ในไม่กี่นาที และไม่มีปัญหาในการดูแลรักษาเว็บไซต์เมื่อต้องการปรับแต่ง
  • สร้างเว็บไซต์ที่ตอบสนองทุกอุปกรณ์ ออกแบบเว็บไซต์สวยงามที่แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ช่วยเพิ่มยอดจองผ่านมือถือ
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะจองและเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า สร้างความสนใจให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงสุด และทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการออกแบบที่สวยงามและฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย คุณสามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าและเพิ่มยอดจองโดยตรงได้
  • เพิ่มองค์ประกอบภาพที่มีคุณค่าเพื่อโปรโมทที่พักของคุณ ไม่เคยง่ายขนาดนี้มาก่อนในการเพิ่มรูปภาพความละเอียดสูงและวิดีโอที่น่าสนใจลงในเว็บไซต์โรงแรมของคุณ เราเข้าใจถึงความสำคัญของสื่อมัลติมีเดียในการออกแบบเว็บไซต์โรงแรม และช่วยให้คุณเพิ่มฟีเจอร์เหล่านี้ลงในเว็บไซต์โรงแรมของคุณได้อย่างง่ายดาย

 

ค่าใช้จ่ายในการสร้างเว็บจองโรงแรมออนไลน์

ค่าใช้จ่ายในการทำเว็บไซต์โรงแรมของคุณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระบบที่คุณเลือกใช้ในการสร้าง และงานที่จำเป็นต้องทำเพื่อดูแลรักษาเว็บไซต์ในอนาคต

หากคุณเลือกจ้างนักพัฒนาเว็บไซต์มาสร้างเว็บให้ตั้งแต่ต้น ค่าใช้จ่ายอาจสูงมาก และยังคงต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในเดือนและปีต่อๆ ไปเพื่อบำรุงรักษาเว็บไซต์

ทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดคือการลงทุนในเครื่องมือออกแบบเว็บไซต์สำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรมสร้างเว็บของ SiteMinder เครื่องมือราคาย่อมเยานี้ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและเชื่อมต่อกับระบบจองห้องพัก (Booking engine) ของโรงแรมได้ คุณสามารถอัปเดตและดูแลเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก

นอกจากนี้ เว็บไซต์ของคุณจะช่วยดึงดูดทราฟฟิก เพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า และสร้างการจองจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงกลุ่มตลาดใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยพบมาก่อน

ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุณจะได้รับนั้นสูง ทำให้นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสร้างเว็บไซต์โรงแรม

เคล็ดลับการดูแลเว็บจองโรงแรมคุณให้น่าสนใจอยู่เสมอ

หลังจากที่คุณสร้างเว็บจองที่พักโรงแรมเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการดูแลให้เว็บไซต์ยังคงน่าสนใจอยู่เสมอ เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดูสดใหม่และมีประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาที่พักดีๆ:

1. อัปเดตเนื้อหาใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ

คอนเทนต์ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์นั้นจำเป็นมากในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายของคุณ และยังช่วยรักษาอันดับในหน้าผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน คอนเทนต์ของคุณต้องถูกต้อง เกี่ยวข้อง และทันสมัย

ลองพิจารณาเพิ่มบทความลงในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่กำลังจะมาถึง โปรโมชั่นใหม่ๆ และจุดเด่นของที่พักคุณ บล็อกเป็นวิธีง่ายๆ ในการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยและทำให้คุณยังคงปรากฏอยู่ในสายตาของคนที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของคุณ

2. ปรับปรุงรูปภาพ วิดีโอ และสไลด์โชว์อย่างสม่ำเสมอ

คุณไม่อยากให้เว็บไซต์ของคุณดูเก่าหรือล้าสมัย นั่นคือเหตุผลที่คุณจำเป็นต้องเพิ่มองค์ประกอบภาพใหม่ๆ ลงในเว็บไซต์อยู่เสมอ

คุณอาจพิจารณาอัปเดตภาพถ่ายให้สอดคล้องกับฤดูกาลปัจจุบัน หรือเปลี่ยนภาพให้แสดงถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่คุณกำลังพยายามดึงดูด

การอัปเดตวิดีโอเกี่ยวกับที่พักของคุณทุกสัปดาห์จะช่วยให้นักท่องเที่ยวที่สนใจกลับมาที่หน้าเว็บของคุณ และยังช่วยให้พวกเขายังคงสนใจในแบรนด์ของคุณ องค์ประกอบด้านภาพของเว็บไซต์มีความสำคัญมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาให้สดใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ

3. แสดงราคาและจำนวนห้องว่างแบบเรียลไทม์เสมอ

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อดูว่ามีห้องว่างในช่วงที่พวกเขาต้องการเข้าพัก และราคาอยู่ในงบประมาณของพวกเขาหรือไม่

สร้างเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับระบบจองห้องพักของโรงแรมคุณ เพื่อให้ราคาและจำนวนห้องว่างแบบเรียลไทม์แสดงอย่างเด่นชัดบนเว็บไซต์ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมและกระตุ้นให้พวกเขาจองห้องพักโดยตรงบนเว็บไซต์ของคุณ

เมื่อคุณออกแบบเว็บไซต์โรงแรมที่รองรับการใช้งานบนมือถือและเชื่อมต่อกับระบบจองห้องพักได้อย่างสมบูรณ์ คุณจะพบว่าการเพิ่มยอดจองโดยตรงนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

การเพิ่มขึ้นของการจองโดยตรงจะช่วยให้คุณสร้างรายได้ต่อห้องได้มากขึ้น และในที่สุดก็จะช่วยให้คุณพัฒนาธุรกิจที่พักของคุณได้เต็มศักยภาพ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเพิ่มยอดจองโดยตรงผ่านเว็บไซต์โรงแรม เริ่มทดลองใช้ฟรีได้วันนี้

]]>
วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากการจองห้องพักออนไลน์ของโรงแรมคุณ https://www.siteminder.com/th/r/online-bookings/ Wed, 04 Sep 2024 05:51:18 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176738 การจองห้องพักออนไลน์ในธุรกิจโรงแรมคืออะไร?

การจองห้องพักออนไลน์เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมโรงแรมยุคใหม่ เพียงแค่แตะสมาร์ทโฟนไม่กี่ครั้งหรือคลิกเมาส์บนคอมพิวเตอร์ ลูกค้าก็สามารถจองห้องพักที่โรงแรมของคุณได้จากทุกมุมโลก กระบวนการที่ราบรื่นนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบจองออนไลน์ที่ซับซ้อนแต่ใช้งานง่าย เว็บไซต์ของโรงแรมเอง และ OTA หรือผู้ให้บริการด้านการจองที่พักและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ

การจองออนไลน์ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การจองเหล่านี้เปิดโอกาสพิเศษให้โรงแรมได้เก็บข้อมูลและความชอบของแขก ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่า ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ลองนึกภาพว่าคุณรู้ชนิดหมอนโปรดหรือเวลาเช็คอินที่ลูกค้าชอบก่อนที่พวกเขาจะมาถึง นี่คือการใส่ใจลูกค้าที่จะเปลี่ยนแขกที่มาพักครั้งแรกให้กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของโรงแรมคุณ

บทความนี้จะบอกทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการจองออนไลน์และวิธีใช้ประโยชน์จากมัน

สารบัญ

ระบบการจองห้องพักออนไลน์ของโรงแรมทำงานอย่างไร?

การจองห้องพักออนไลน์สำหรับโรงแรมนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีเส้นทางการจองของลูกค้าที่แตกต่างกันไป

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วมีสองช่องทางหลักๆ ดังนี้:

  1. การจองตรงผ่านช่องทางออนไลน์ของโรงแรม: วิธีนี้คือการที่แขกจองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมโดยตรง ซึ่งมักจะมีระบบจองออนไลน์เฉพาะตัว นอกจากนี้ โรงแรมยังสามารถดึงดูดลูกค้าให้จองตรงผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาหรือหน้าโซเชียลมีเดียของโรงแรมได้ด้วย การจองแบบนี้จะเก็บข้อมูลทั้งหมดของแขก นำเข้าสู่ระบบบริหารจัดการโรงแรม และบล็อกห้องที่จองในช่วงเวลานั้นๆ ในระบบตารางของโรงแรมโดยอัตโนมัติ
  2. การจองผ่าน OTA: วิธีนี้คือการที่แขกจองผ่านผู้ให้บริการออนไลน์ อย่างเช่น Expedia หรือ Booking.com ในกรณีนี้ แขกจะทำการจองผ่านระบบของ OTA โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจองผ่านเว็บไซต์ของ OTA นั้นๆ โรงแรมจำเป็นต้องลงทะเบียนกับ OTA ก่อน จึงจะปรากฏเป็นตัวเลือกให้แขกเลือกจองได้ เมื่อมีการจองเกิดขึ้น OTA จะหักค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย แล้วส่งรายละเอียดการจองมาให้โรงแรม จากนั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อระบบ ระบบบริหารจัดการโรงแรมจะนำข้อมูลนั้นเข้าสู่ปฏิทิน ตารางเวลา และอัพเดทจำนวนห้องว่างของโรงแรมโดยอัตโนมัติ

ที่กล่าวมานี้เป็นภาพรวมของวิธีการทำงานของระบบจองออนไลน์สำหรับโรงแรม แม้ว่าในความเป็นจริงอาจมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันไปตามแต่ละโรงแรม แต่โดยทั่วไปแล้ว การจองออนไลน์จะเป็นไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งระหว่างการจองตรงกับโรงแรมหรือการจองผ่าน OTA

ทำไมการจองโรงแรมออนไลน์ถึงสำคัญ?

เราทราบกันดีว่าแม้โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่ความตื่นเต้นของการเดินทางระหว่างประเทศกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อความกังวลลดลงและข้อจำกัดต่างๆ ผ่อนคลายลง

ตัวเลขจากองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) แสดงให้เห็นว่าในปี 2022 จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศพุ่งสูงถึง 900 ล้านคน ให้ทุกฝ่ายเริ่มมองอนาคตในแง่ดีขึ้น แม้จะยังระมัดระวังอยู่บ้าง สำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ทั้งหมด การจองที่พักออนไลน์คงเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับทริปต่างประเทศที่กำลังจะมาถึง

การจองห้องพักออนไลน์กำลังเติบโตเร็วกว่าตลาดท่องเที่ยวทั้งหมดเสียอีก สมาคมโรงแรมและที่พักแห่งสหรัฐฯ หรือ AHLA ประเมินว่าในอเมริกาประเทศเดียว มีการจองออนไลน์ถึงนาทีละ 500 รายการ เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมาก และชี้ให้เห็นว่าธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนไปขนาดไหนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และการจัดการระบบจองออนไลน์ให้ดีนั้นสำคัญแค่ไหนสำหรับเจ้าของโรงแรมทุกระดับ

ความอยากเที่ยวและเห็นโลกกว้างที่เมื่อ 25 ปีก่อนอาจดูเป็นไปไม่ได้และแพงเกินเอื้อม ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจยุคอินเทอร์เน็ต ความต้องการประสบการณ์แบบที่เมื่อก่อนมีแต่คนรวยๆ ถึงจะได้ลอง และข้อมูลมากมายที่นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

แต่ถ้าเราลองมองลึกๆ การที่ใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายนี่ ไม่ได้แค่เปลี่ยนเทรนด์การท่องเที่ยวไปนิดหน่อย แต่มันกำลังพลิกโฉมหน้าวงการเลยทีเดียว จากที่เคยเป็นโลกของผู้บริโภคที่ต้องพึ่งคนกลาง มาเป็นโลกที่ผู้ใช้จัดการทุกอย่างได้เอง

จากโลกของผู้บริโภค สู่โลกของผู้ใช้

เมื่อก่อน ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่ในมือของบริษัทและเอเจนซี่ใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญที่แทบไม่มีใครกล้าท้าทาย

แต่อินเทอร์เน็ตได้พลิกเกมนี้ ทำให้โรงแรมสามารถขายตัวเองให้กับลูกค้าที่รู้ว่าต้องการอะไร และรู้ว่าต้องหาข้อมูลอะไรบ้างเพื่อให้ทริปในฝันเป็นจริงได้

ทั้งรูปภาพและรีวิวจากแขก ทำให้เรามีข้อมูลล้นหลาม ขณะที่เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างเองกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจมากขึ้น สมัยก่อน ไกด์และผู้เชี่ยวชาญมีอิทธิพลต่อนักท่องเที่ยวด้วยประสบการณ์และโบรชัวร์สวยๆ

ต่อมา OTA โดยเฉพาะ Booking.com ได้ปฏิวัติวงการด้วยการให้ข้อมูลมากมายแก่นักท่องเที่ยว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าควบคุมการเดินทางได้เอง

ตอนนี้เราเห็นโลกของผู้ใช้กำลังมาแรง ด้วยการเติบโตของ Airbnb, Uber, Flip.to และอีกหลายแพลตฟอร์มที่ให้คนเลือกเองได้ทุกอย่าง นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์แบบคนท้องถิ่นจริงๆ พักในย่านที่คนท้องถิ่นอยู่ ไปเที่ยวที่เจ้าของบ้านแนะนำ และบ่อยครั้งก็ถูกกว่าด้วย นักท่องเที่ยวพร้อมจะจ่ายเงินกับอะไรที่มากกว่าแค่ห้องพักในโรงแรม และผลก็คือพวกเขาตัดสินใจจองได้เร็วและแม่นยำขึ้น

ของใหม่ไม่ได้มาแทนที่ของเก่าเสมอไป

แม้ว่าการจองออนไลน์จะฮิตมากในหมู่นักท่องเที่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่าการจองผ่านบริษัททัวร์แบบเดิมๆ จะหายไปเลย ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ชอบใช้บริการบริษัททัวร์ที่มีหน้าร้านจริงๆ จากการวิจัยพบว่าประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยวยังจองทริปผ่านบริษัททัวร์หรือผู้จัดทัวร์ ซึ่งใกล้เคียงกับคนที่จองตรงกับโรงแรมเลย

แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในข้อมูล เราจะเห็นอะไรที่น่าสนใจ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นนักเดินทางตัวยง เกือบครึ่งชอบใช้ OTA มากกว่า รองลงมาคือจองตรงกับโรงแรม เหลือแค่ 20% ที่ยังใช้บริษัททัวร์ แต่สำหรับคนที่แทบไม่ค่อยได้เที่ยวเลย กลับตรงกันข้าม ครึ่งหนึ่งใช้บริษัททัวร์เป็นหลัก ส่วนที่เหลือแบ่งๆ กันระหว่าง OTA กับจองตรง

สรุปง่ายๆ คือ การจองออนไลน์กำลังมาแรง โดยเฉพาะในกลุ่มนักเดินทางขาประจำที่มีค่าต่อธุรกิจสูง โรงแรมไหนที่ยังไม่เก่งเรื่องออนไลน์ ควรรีบพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด สำหรับคนทำธุรกิจโรงแรม มันเป็นเรื่องของการจัดการและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนา ไม่ใช่การรื้อของเก่าทิ้งไปซะหมด

วิธีใช้ประโยชน์จากการจองโรงแรมออนไลน์

คนทำธุรกิจโรงแรมต้องคิดแบบโลกกว้าง แต่ทำแบบท้องถิ่น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการตัดสินใจของแขก เราอยู่ในโลกที่มีหน้าจอหลายอัน มีจุดที่คนจะตัดสินใจจองได้หลายจุด และต้องจำไว้ว่าราคาไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่คนใช้ตัดสินใจ

ถึงแม้ราคาเป็นตัวแปรสำคัญเวลาเทียบกับคู่แข่งอย่าง Airbnb แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะที่ต้องคำนึงถึง โรงแรมสามารถรับมือกับความท้าทายนี้ได้หลายวิธี

1. มอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

หนึ่งในนั้นคือการเน้นบริการที่ดีเยี่ยม โฟกัสไปที่สิ่งที่โรงแรมมี แต่การเช่าบ้านไม่มี เช่น ไกด์นำเที่ยว คนขับรถ บริการซักรีด ร้านอาหาร ฟิตเนส และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย รวมถึงคะแนนสะสม

การมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แขก จะช่วยให้โรงแรมได้ประโยชน์จากคอนเทนต์ที่ผู้ใช้สร้างเอง ไม่ว่าจะเป็นรีวิว การเช็คอินในโซเชียล คอมเมนต์ หรือคะแนน และนำสิ่งดีๆ เหล่านี้มาช่วยดึงดูดการจองได้

2. รู้ว่าการจองมาจากไหน

อาวุธสำคัญที่สุดของโรงแรมในการแข่งขันเรื่องการจอง คือการรู้จักธุรกิจของตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่ง ต้องถามตัวเองว่าการจองมาจากไหน คู่แข่งในพื้นที่ทำอะไรเพื่อให้จองเต็ม และเรากำลังดึงดูดลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ยังไง ซึ่งอยู่ที่การลงรายละเอียดจริงๆ

3. ใช้ระบบ channel manager (ระบบจัดการช่องทางการขาย)

คนทำธุรกิจโรงแรมต้องหาจุดสมดุลและควบคุมการกระจายห้องพักให้ดี จัดการสัดส่วนการจองให้เหมาะ เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้ดี

เทคโนโลยีคลาวด์ อย่างเช่นระบบจัดการช่องทางการขายของ SiteMinder กำลังทำให้โรงแรมอิสระแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ช่วยให้โรงแรมทุกขนาดสามารถไปอยู่ตรงจุดที่นักท่องเที่ยวกำลังมองหา โดยไม่ต้องลงทุนหนักด้านไอทีและระบบต่างๆ เหลือเวลาให้คิดสร้างสรรค์และดูแลแขกได้มากขึ้น

ตอนนี้โลกที่มีหลายช่องทางและหลายหน้าจอเข้าถึงได้ง่ายมาก ทำให้โรงแรมมีโอกาสมากขึ้นในการเข้าถึง ดึงดูด และเปลี่ยนแขกทั่วโลกให้มาเป็นลูกค้า โรงแรมเครือใหญ่ๆ ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว ได้ประโยชน์จากการมีตัวตนออนไลน์ที่เห็นได้ชัด ทำให้คนที่แค่ดูๆ กลายเป็นคนจองจริง ถึงเวลาแล้วที่โรงแรมอิสระจะต้องลุกขึ้นมาจัดการ ท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่ และแข่งขันในแบบเดียวกัน

4. ขั้นตอนการจองที่ใช้งานง่าย

ในโลกดิจิทัลทุกวันนี้ ระบบจองที่ลื่นไหลและไม่ยุ่งยากเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หน้าเว็บที่ซับซ้อนหรือใช้ยากอาจทำให้แขกที่สนใจเปลี่ยนใจไป และทิ้งการจองไว้กลางคัน ระบบจองที่พักของ SiteMinder ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย พาแขกผ่านแต่ละขั้นตอนอย่างราบรื่น

ตั้งแต่เลือกห้อง ไปจนถึงยืนยันการชำระเงิน ทุกจุดออกแบบมาให้สะดวกและเร็วที่สุด การลดความยุ่งยากในขั้นตอนการจองไม่เพียงแต่ทำให้แขกประทับใจ แต่ยังเพิ่มโอกาสที่คนที่แค่เข้ามาดูจะกลายเป็นแขกที่จองจริงๆ

5. โชว์รีวิวที่น่าสนใจ

รีวิวคือสกุลเงินใหม่ในยุคดิจิทัล มันเป็นหลักฐานทางสังคมที่มีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจจอง ซึ่งทาง SiteMinder ช่วยให้คุณโชว์รีวิวและคะแนนจากแขกบนแพลตฟอร์มการจองได้อย่างง่ายดาย การนำความคิดเห็นเหล่านี้มาแสดง ไม่ใช่แค่การโชว์ดาว แต่เป็นการเล่าเรื่องราวของแขกที่พอใจและการพักที่น่าจดจำ รีวิวจริงเหล่านี้เป็นเหมือนคำรับรองที่ทรงพลัง สร้างความมั่นใจให้กับแขกที่กำลังพิจารณา และช่วยให้พวกเขาตัดสินใจจองได้ง่ายขึ้น

เพิ่มยอดจอง อัพรายได้ให้โรงแรมคุณด้วย SiteMinder

อยากรู้ไหมว่าทำยังไงถึงจะเพิ่มรายได้และยอดจองออนไลน์ให้พุ่งแบบไม่หยุด? คำตอบอยู่ที่การใช้เทคโนโลยีให้เป็น! SiteMinder มีทุกอย่างที่คุณต้องการ ช่วยให้คุณจัดการโรงแรมได้อย่างมือโปรตั้งแต่แขกเริ่มมองหาที่พักจนกระทั่งเช็คเอาท์

ไม่ว่าจะเป็นการทำให้โรงแรมคุณดังทั่วโลกออนไลน์ ตั้งราคาแบบชาญฉลาด หรือสร้างประสบการณ์ประทับใจให้แขก เรามี 3 จุดเด่นที่จะช่วยยกระดับโรงแรมคุณให้ไปไกลกว่าที่เคย:

  • เพิ่มโอกาสให้คนเห็นโรงแรมคุณในทุกช่องทาง: ด้วยระบบจัดการช่องทางการขายของ SiteMinder คุณสามารถลงประกาศโรงแรมบน OTA หลายเจ้า โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ของคุณเอง จากหน้าจอเดียว ง่ายแค่ปลายนิ้ว!
  • ตั้งราคาอัจฉริยะด้วยข้อมูลเรียลไทม์: SiteMinder มีระบบวิเคราะห์ราคาที่ใช้ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณตั้งราคาห้องพักแข่งกับคู่แข่งได้อย่างชาญฉลาด
  • สร้างประสบการณ์ประทับใจ ทำให้แขกอยากกลับมาพักซ้ำ: SiteMinder มีเครื่องมือครบครันที่จะช่วยให้คุณสร้างความประทับใจให้แขกแบบเฉพาะตัว ตั้งแต่ตอนจอง จนถึงเช็คเอาท์ รวมถึงการส่งข้อความถึงแขกแบบอัตโนมัติ

Banner offering a free demo of SiteMinder's platform

]]>
จากความสะดวกสบายสู่บทบาทหลัก: เทคโนโลยีกำลังขับเคลื่อนอนาคตของการบริหารรายได้โรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/technology-future-revenue-management/ Thu, 29 Aug 2024 05:09:20 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176562 แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าการบริหารรายได้โรงแรมเป็นอย่างไรก่อนที่จะมีซอฟต์แวร์และระบบสำหรับโรงแรม ด้วยโซลูชันเหล่านี้ ผู้จัดการฝ่ายรายได้ในปัจจุบันสามารถทำการคาดการณ์ กระจายห้องพัก และปรับราคาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากในอดีตที่ต้องทำแบบแมนวลและใช้เวลานาน

เทคโนโลยีได้นำความสะดวกมาสู่การบริหารรายได้อย่างปฏิเสธไม่ได้ และเมื่อมองไปยังอนาคต เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะแกนหลัก ขณะที่การบริหารรายได้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

“ถ้าเราพูดถึงอนาคตของการบริหารรายได้ เราควรเริ่มจากความจริงที่ว่ามันไม่ควรถูกเรียกว่า ‘การบริหารรายได้’ อีกต่อไป” คุณอิรา โวค ที่ปรึกษาด้านธุรกิจโรงแรม ผู้เขียนหนังสือด้านการบริหารรายได้ชื่อดัง และสมาชิกคณะที่ปรึกษา HITEC กล่าว “เราจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘การเพิ่มประสิทธิภาพรายได้และกำไร’ และเริ่มคิดถึงตัวชี้วัดที่เน้นกำไรมากกว่า RevPAR (รายได้ต่อห้องพักที่มี)”

ในอนาคตที่ต้องการการมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพรายได้และกำไรมากขึ้น เทคโนโลยีจะแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วน ขับเคลื่อนการหลอมรวมของข้อมูล ระบบ และบุคลากร จริงๆ แล้วการหลอมรวมนี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อมองไปข้างหน้า ปัจจัยทั้งสามนี้ ซึ่งแต่เดิมทำงานแยกส่วนกัน จะเชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

บทบาทของข้อมูลในการเพิ่มประสิทธิภาพรายได้และกำไร

ในขณะที่โรงแรมต่างๆ หันมาใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นกำไรมากขึ้น การรวมแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อการบริหารรายได้ก็ยิ่งทวีความสำคัญ คุณเอนโซ ไอตา ผู้ที่เคยเป็นผู้บริหารโรงแรมมาก่อนและปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้ง FunnelTV ช่องออนไลน์ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีโรงแรม เชื่อว่าความสำเร็จทางธุรกิจของโรงแรมขึ้นอยู่กับข้อมูลที่พวกเขามีอยู่

“ข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด” คุณไอตา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจที่ HyperGuest กล่าว “หากระบบปัจจุบันได้รับข้อมูลที่ไม่ดีพอหรือไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้”

คุณไอตาเน้นย้ำว่า การมีปริมาณข้อมูลที่เพียงพอนั้นมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของระบบบริหารรายได้ (RMS) และแพลตฟอร์มอัจฉริยะในการประมวลผลข้อมูล

“AI และ machine learning จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของคำแนะนำที่ได้จาก RMS ระบบเหล่านี้จะสามารถใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบเปิด (open-pricing) ซึ่งสามารถปรับราคาตามปัจจัยต่างๆ เช่น อุปสงค์ การแข่งขัน ชื่อเสียง อัตราการเข้าพัก และข้อมูลในอดีต ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่สามารถเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ได้”

ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดการฝ่ายรายได้จะต้องคิดสร้างสรรค์มากขึ้นในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของตลาด นอกเหนือจากข้อมูลในอดีตที่มีอยู่ในระบบภายใน ชุดข้อมูลที่สมบูรณ์ขึ้นจะช่วยให้เห็นภาพสภาวะตลาดได้ชัดเจนขึ้นและปรับปรุงการคาดการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

คุณ Vouk เน้นย้ำว่า “ตอนนี้มีจุดข้อมูลมากมายที่เราสามารถรวบรวมเพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นจริงๆ ในตลาด การเปรียบเทียบเพียงแค่ข้อมูลการจองของโรงแรมกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เราจำเป็นต้องนำข้อมูลการจองจากเว็บไซต์เมตาเสิร์ช OTA ระบบ GDS ข้อมูลจุดหมายปลายทาง ข้อมูลเกี่ยวกับอีเวนต์ต่างๆ และแม้แต่ข้อมูลจากบริษัทรถเช่าและหน่วยงานความปลอดภัยด้านการขนส่งมาพิจารณาด้วย”

ความจำเป็นของระบบที่ทันสมัยและเชื่อมโยงกัน

หากการเพิ่มรายได้และกำไรต้องอาศัยข้อมูลจากทุกแหล่งที่เป็นไปได้ การรวมระบบต่างๆ เข้าด้วยกันก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ในแง่นี้ คุณไรอัน ทัคเคอร์แมน ผู้อำนวยการกลุ่มฝ่ายขาย รายได้ และการกระจายการขายของเครือโรงแรมโอโวโล อธิบายถึงความสำคัญของการเชื่อมต่อระหว่างระบบต่างๆ ในการกำหนดอนาคตของการบริหารรายได้

“ไม่เพียงแค่การตัดสินใจเรื่องรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ระบบและแพลตฟอร์มที่ช่วยเราตัดสินใจเชิงพาณิชย์ก็เปลี่ยนไปด้วย” คุณทัคเคอร์แมนกล่าว “ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะส่งผลต่อการทำงานอย่างแน่นอน เพราะเรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงในวิธีที่ระบบเหล่านี้จะเชื่อมต่อกัน”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอุตสาหกรรมจะตระหนักถึงความจำเป็นในการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงประสบปัญหากับระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่แยกส่วน ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างระบบบริหารรายได้ (RMS) และระบบจัดการโรงแรม (PMS) คุณไอตา หมายเหตุว่า “อุปสรรคสำคัญที่อุตสาหกรรมเผชิญคือจำนวน PMS มหาศาลที่ RMS ต้องเชื่อมต่อด้วยเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรายังคงเห็นอุปสรรคทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์มากมายในการเชื่อมต่อจากฝั่ง PMS เหมือนกับว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาในพื้นที่ของตน และต้องการรักษาลูกค้าไว้ในขอบเขตของตัวเอง”

เมื่อเผชิญกับความท้าทายในการบูรณาการเหล่านี้ อุตสาหกรรมต้องพยายามขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้ผู้จัดการฝ่ายรายได้ได้รับข้อมูลเชิงกลยุทธ์แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพด้านกำไร

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ การทำให้ระบบต่างๆ หลอมรวมกันจะช่วยเสริมพลังให้กับธุรกิจที่พักอิสระอย่างมาก ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่มีสัดส่วนมากที่สุดในอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลก แต่มักประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากรและความสามารถในการบริหารรายได้ ด้วยระบบที่บูรณาการกันมากขึ้น ที่พักเหล่านี้จะสามารถคาดการณ์และเพิ่มประสิทธิภาพได้ทัดเทียมกับโรงแรมเครือใหญ่ และได้เรียนรู้ทักษะการบริหารรายได้ไปในตัว

อย่างไรก็ตาม ระบบที่มีให้กับผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องเป็นระบบอัตโนมัติและบูรณาการเข้ากับขั้นตอนการทำงานของพวกเขา คุณ Vouk อธิบายว่า “สมองกลเบื้องหลังเทคโนโลยีนี้จะต้องฉลาดมาก เพราะกลุ่มนี้จะพึ่งพาระบบอัตโนมัติค่อนข้างมาก นี่คือจุดที่ AI โดยเฉพาะ machine learning จะเข้ามามีบทบาท โดยจะรวบรวมข้อมูลสำคัญจากทุกแหล่ง คำนวณการคาดการณ์และการตัดสินใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แล้วส่งต่อไปยัง PMS”

ผู้จัดการฝ่ายรายได้ในอนาคต

เช่นเดียวกับหลายอาชีพที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ในวงการโรงแรมก็มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับบทบาทของ AI โดยเฉพาะว่ามันจะช่วยเสริมหรือแทนที่ผู้จัดการฝ่ายรายได้ในปัจจุบัน คุณดิเอโก เดอ ปองกา ซีอีโอคนปัจจุบันของ Port Hotels และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารรายได้ของเครือโรงแรมพัลลาเดียม เชื่อว่าสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการฝ่ายรายได้ในการปรับตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“ผู้จัดการฝ่ายรายได้ต้องเข้าใจภาพรวมของโรงแรม ผนวกกลยุทธ์ด้านการกระจายการขายและต้นทุนเข้ากับรายได้ของโรงแรม และเข้าใจว่ารายได้นำไปสู่กำไรได้อย่างไร ถ้าคุณสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ AI ก็ไม่สามารถเปลี่ยนงานของคุณได้ แต่ถ้าคุณวัดผลงานแค่ผ่าน ADR ไม่สนใจเรื่องต้นทุน และงานของคุณมีแค่การตรวจสอบคู่แข่งและขึ้นราคา คุณจะไม่มีงานทำภายในสองปี” คุณเดอ ปองกากล่าว

คุณทัคเคอร์แมนเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาชี้ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานปัจจุบัน ผู้จัดการฝ่ายรายได้ในอนาคตควรมีอิทธิพลมากกว่าแค่การกำหนดราคาและการจัดการห้องพัก แต่ต้องมีส่วนในกลยุทธ์ทางธุรกิจทั้งหมดของโรงแรมด้วย

“หมดยุคแล้วที่ผู้จัดการฝ่ายรายได้ใช้เวลา 80% ไปกับการทำรายงาน” คุณทัคเคอร์แมนกล่าว “การเป็นผู้จัดการฝ่ายรายได้ตอนนี้คือการปรับปรุงตำแหน่งของคุณและเปลี่ยนแปลงอนาคต มันเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลโรงแรม สร้างข้อมูลเชิงลึก และนำไปสู่การปฏิบัติ”

เนื่องจากความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการมองภาพรวมในการดำเนินงานของโรงแรม คุณทัคเคอร์แมนเน้นย้ำว่าผู้จัดการฝ่ายรายได้ที่ประสบความสำเร็จในอนาคตต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกับแผนกอื่นๆ โดยเฉพาะแผนกที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ

“ผู้จัดการฝ่ายรายได้เมื่อ 5-10 ปีที่แล้วอาจซ่อนตัวอยู่หลังสเปรดชีทและไม่ต้องมีส่วนร่วมมากเท่าที่จำเป็นในตอนนี้ แต่ด้วยการเติบโตของ OTA และพันธมิตรด้านการกระจายการขายที่สำคัญซึ่งมีแนวทางเชิงพาณิชย์มากขึ้น ผู้จัดการฝ่ายรายได้จำเป็นต้องปรับมุมมองให้สอดคล้องกัน

“คนที่จะเป็นผู้นำในการบริหารรายได้จะต้องมีทักษะผสมผสานทั้งด้านรายได้ การกระจายการขาย และการขาย และสามารถใช้ประโยชน์จากพันธมิตรภายในได้ตามที่จำเป็น จุดเน้นสำหรับแผนกรายได้และการกระจายการขายที่ประสบความสำเร็จ คือ การมีแนวทางแบบองค์รวมในการสร้างรายได้”

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์บทความเชิงลึก “การบริหารรายได้: การสนทนาเชิงลึก” จาก SiteMinder ซึ่งรวบรวมความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโรงแรมเพื่อจุดประกายการสนทนาจริงและยกระดับการอภิปรายเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในด้านนี้

]]>
ความไม่รู้นำมาซึ่งความเสี่ยง: ความสำคัญของการบริหารรายได้สำหรับโรงแรมยุคนี้ และผลกระทบจากการละเลย https://www.siteminder.com/th/r/ignorance-means-risks-revenue-management/ Thu, 29 Aug 2024 05:02:53 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176558 หากลองค้นหาความหมายของ ‘การบริหารรายได้’ บนอินเทอร์เน็ต คุณจะพบคำนิยามมากมาย บางอันก็เป็นทฤษฎีแบบวิชาการ หลายอันก็อ้างอิงคำจำกัดความคลาสสิกที่ว่า ‘ขายห้องที่ใช่ ให้แขกที่ชอบ ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยราคาที่โดนใจ’

แต่สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ความต้องการด้านการบริหารรายได้โรงแรม มีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เมื่อต้นทุนสูงขึ้น พฤติกรรมของแขกเปลี่ยนไป และมีธุรกิจที่พักรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น การบริหารรายได้จึงมีความหมายต่างกันไปสำหรับแต่ละโรงแรม

ยกตัวอย่างเช่น คุณดิเอโก เดอ ปองกา ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารรายได้ของเครือโรงแรมพัลลาเดียม มองว่าคำนิยามแบบดั้งเดิมนั้นไม่สอดคล้องกับตลาดปัจจุบัน ที่การขายห้องพักต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม

“ผมนิยามการบริหารรายได้ว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจที่พักสร้างรายได้เพิ่มขึ้น” คุณเดอ ปองกากล่าว “ทุกวันนี้ การยึดติดกับคำนิยามเก่าๆ ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติได้จริง บางครั้งผมอาจต้องขายในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด แต่ขายในราคาที่เหมาะสม ถ้าคุณเป็นผู้จัดการฝ่ายรายได้ของโรงแรมที่มีห้องพัก 100 ห้อง งานของคุณคือทำให้ห้องทุกห้องสร้างกำไรสูงสุด ไม่ว่าสภาพตลาดจะเป็นอย่างไร”

มุมมองที่ลึกซึ้งของคุณเดอ ปองกาเกี่ยวกับการบริหารรายได้ในยุคนี้ มาจากประสบการณ์หลายปีในวงการ แต่สำหรับผู้ประกอบการที่พักอิสระจำนวนมาก การบริหารรายได้ยังคงเป็นเรื่องใหม่ที่มักเข้าใจผิดและปฏิบัติไม่ถูกต้อง

ความต้องการที่ท่วมท้น

การที่ผู้ประกอบการที่พักหลายรายขาดความรู้ด้านการบริหารรายได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางคนเพิ่งเริ่มเรียนรู้พื้นฐานการบริหารโรงแรม ซึ่งก็เป็นงานที่ซับซ้อนในตัวเองอยู่แล้ว

“เจ้าของที่พักบางรายเป็นนักธุรกิจมากประสบการณ์ แต่ยังใหม่กับการบริหารงานประจำวันของธุรกิจโรงแรม” คุณทามี แมทธิวส์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท RevenYou ที่ปรึกษาสำหรับโรงแรมอิสระกล่าว “แม้พวกเขาจะตื่นเต้นที่ได้เป็นเจ้าของกิจการ แต่ทุกอย่างก็เป็นเรื่องใหม่ พวกเขาต้องเรียนรู้ทุกอย่างพร้อมกัน”

การบริหารรายได้จึงถูกมองว่าเป็นงานที่ยุ่งยาก หรือไม่จำเป็นต้องทำ สำหรับเจ้าของที่มีเวลาจำกัดและต้องดูแลด้านอื่นๆ ของโรงแรมด้วย จริงๆ แล้ว เจ้าของโรงแรมอิสระขนาดเล็กหลายรายที่เราพูดคุยด้วยยืนยันว่าพวกเขา ‘ยุ่งเกินไป’ ที่จะหาเวลามาเรียนรู้เรื่องการบริหารรายได้ เพราะมีงานอื่นๆ ที่ต้องทำมากมาย

อย่างไรก็ตาม ที่พักหลายพันแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะโรงแรมอิสระขนาดเล็ก ก็กำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้อยู่แล้ว โดยที่อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

คุณเดอ ปองกาเล่าว่า ซอฟต์แวร์สำหรับโรงแรม เช่น ระบบจัดการช่องทางการขาย (channel manager) และระบบบริหารรายได้ (RMS) ได้ทำให้การบริหารรายได้เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของ OTA (Online Travel Agency) หรือบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์

“ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะทำงานโดยไม่มีระบบจัดการช่องทางการขายได้อย่างไร เมื่อมี OTA มากมายขนาดนี้ เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้จัดการฝ่ายรายได้สามารถวางกลยุทธ์การขายได้ ส่วนระบบบริหารรายได้ก็ช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกซึ้งขึ้น” คุณเดอ ปองกาเสริม

การเปลี่ยนผ่านสู่แนวคิดที่มุ่งเน้นกำไร

แม้จะมีเทคโนโลยีช่วย แต่การที่เจ้าของที่พักขาดความเข้าใจเชิงลึกและเชิงกลยุทธ์ในการบริหารรายได้ มักนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้เสียโอกาสในการสร้างรายได้และขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ

คุณแมทธิวส์เล่าจากประสบการณ์ว่า เจ้าของที่พักบางรายยังใช้วิธีการที่ล้าสมัยในการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ “ก่อนที่จะมาทำงานกับ RevenYou เราพบว่าเจ้าของหลายรายใช้ราคาเดียวตลอดทั้งปี พวกเขาขายในราคาเดียวกันให้กับลูกค้าทุกคน และคิดว่าการมีอัตราการเข้าพัก 100% คือเป้าหมายสูงสุด พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังแข่งขันกับใคร และไม่มีรายการกิจกรรมที่อาจช่วยกระตุ้นความต้องการและเพิ่มกำไรได้ พวกเขาขายที่พักของตัวเองแบบแยกส่วน โดยไม่สนใจปัจจัยภายนอก”

แนวทางที่ผิดพลาดและเป็นอันตรายนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การบริหารรายได้กำลังมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรมากขึ้น เมื่อราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ผู้ประกอบการที่พักทุกระดับจำเป็นต้องพิจารณาทั้งต้นทุนและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกของตนมากกว่าที่เคย

“การบริหารรายได้คือการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทุกตารางเมตรให้คุ้มค่าที่สุด” คุณแอนน์มารี กูบานสกี ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท Taktikon ที่ปรึกษาด้านรายได้และช่องทางการขายกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก เก้าอี้ ห้องทรีตเมนต์ หรือห้องประชุม… เราไม่เพียงแต่ต้องใช้ประโยชน์จากทุกตารางเมตรให้คุ้มค่า แต่ยังต้องทำให้ที่พักทั้งหมดมีกำไรด้วย นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของการบริหารรายได้สำหรับผม”

เมื่อการบริหารรายได้ก้าวข้ามเรื่องอัตราการเข้าพัก และหันมามุ่งเน้นที่การทำกำไร เห็นได้ชัดว่าเจ้าของที่พักไม่สามารถมองข้ามบทบาทสำคัญของการบริหารรายได้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้อีกต่อไป

“เป้าหมายหลักของการบริหารรายได้ควรเป็นเรื่องกำไร ไม่ใช่แค่รายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่คุณต้องคำนึงถึงต้นทุนของช่องทางการขายด้วย กำไรคือ DNA ของธุรกิจ และต้องได้รับการนำโดยทั้งผู้จัดการทั่วไปและผู้จัดการฝ่ายรายได้” คุณเดอ ปองกากล่าว

การเปลี่ยนแปลงมุมมอง

สำหรับเจ้าของที่พักและทีมงานที่มีภาระงานประจำวันในการบริหารโรงแรมอยู่แล้ว การนำการบริหารรายได้มาปรับใช้อาจดูเหมือนเป็นเส้นทางที่ยาวไกลและยากลำบาก อย่างไรก็ตาม มีวิธีปฏิบัติที่สามารถค่อยๆ นำมาใช้ได้ นอกเหนือจากการพึ่งพาเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อแนวคิดนี้กำลังมุ่งไปสู่การเน้นผลกำไรมากขึ้น

ทุกอย่างเริ่มต้นจากการเปลี่ยนมุมมอง คุณ Gubanski มองว่า ผู้ประกอบการที่พักต้องทิ้งความเชื่อเก่าๆ ที่ว่าการบริหารรายได้เป็นเรื่องของแบรนด์ใหญ่ๆ เท่านั้น หากต้องการให้ธุรกิจของตนสร้างกำไรได้อย่างเต็มที่

“หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบริหารรายได้คือ มันไม่เหมาะกับที่พักขนาดเล็ก หรือที่พักเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะถ้าอยู่ในตลาดที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย คุณสามารถนำการบริหารรายได้ไปใช้กับที่พักทุกประเภทได้ และที่จริงแล้ว ที่พักขนาดเล็กนี่แหละที่ยิ่งต้องใช้ เพราะพวกเขาต้องมั่นใจว่าทุกพื้นที่ถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าที่สุด”

ทีมงานฝ่ายอื่นๆ ในโรงแรมก็ควรทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของการบริหารรายได้ด้วย เพราะถ้าแนวคิดนี้มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากทุกพื้นที่และบริการที่โรงแรมมี การที่ทุกแผนกร่วมมือกันทำความเข้าใจ ‘ทำไม’ และ ‘อย่างไร’ ของการบริหารรายได้จึงสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับเจ้าของโรงแรมและผู้จัดการฝ่ายรายได้ นี่หมายถึงการต้องเข้าหาและทำงานร่วมกับทีมอื่นๆ เช่น แผนกต้อนรับ และแผนกอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้เพิ่มและเพิ่มผลกำไรให้กับโรงแรม

คุณเดอ ปองกากล่าวว่า “เราต้องเปิดใจและอธิบายเรื่องการบริหารรายได้ให้ทั้งโรงแรมเข้าใจในแบบที่ง่ายๆ พูดคุยกับแผนกอื่นๆ รวมถึงแผนกต้อนรับ เพราะพวกเขาดูแลกลยุทธ์การขายเพิ่ม (upselling) และการขายต่อเนื่อง (cross-selling) ซึ่งสามารถเพิ่ม RevPAR ให้คุณได้ 2-3 เปอร์เซ็นต์ คุณต้องสอนพวกเขาว่าจะควบคุมราคาอย่างไรเมื่อขายเพิ่มหรือขายต่อเนื่อง หรือแม้แต่ถามพวกเขาว่า ‘ทำไมสปาของเราถึงคิดราคาเท่ากันตลอดทุกช่วงของปี?'”

]]>
บทเรียนจากอดีตเรื่องการบริหารรายได้ และความท้าทายหลักของโรงแรมยุคนี้ https://www.siteminder.com/th/r/revenue-management-history-challenge/ Thu, 29 Aug 2024 04:48:17 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176550 ทุกปีที่ผ่านไป การบริหารรายได้โรงแรมยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นสำหรับโรงแรม ในขณะที่ธุรกิจต้องปรับตัวกับสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนไม่หยุดนิ่ง

โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อโรงแรมหลายแห่งต้องเผชิญกับภาวะเงินสดขาดมือ การบริหารรายได้ก็กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้บริหารโรงแรมทุกคนต้องให้ความสำคัญ ผู้จัดการฝ่ายรายได้จึงมีภารกิจสำคัญในการวางกลยุทธ์ด้านราคาและช่องทางการขายที่ตอบโจทย์ ท่ามกลางเทรนด์และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือร้าย

แม้ว่าการบริหารรายได้จะพัฒนาไปมากตั้งแต่เริ่มนำมาใช้ในวงการโรงแรม แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านนี้ กับจำนวนคนที่มีความสามารถจริงๆ ในอุตสาหกรรม ซึ่งมีจำนวนน้อยลง ดังที่เห็นได้จากแผนภูมิด้านล่างนี้

ช่องว่างนี้เป็นสิ่งที่คนในวงการสังเกตเห็นและประสบมากับตัว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมโรงแรมยังใช้ประโยชน์จากการบริหารรายได้ได้ไม่เต็มที่นัก

เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การบริหารรายได้ของโรงแรมในปัจจุบัน เราได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในวงการโรงแรม 3 ท่าน เพื่อแบ่งปันมุมมองว่าการบริหารรายได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตามกาลเวลา รวมถึงความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้

ประวัติย่อของการบริหารรายได้ในธุรกิจโรงแรม

คุณเทรเวอร์ สจ๊วต-ฮิลล์ ผู้ร่วมเขียนตำราเรียนเล่มแรกเกี่ยวกับการบริหารรายได้สำหรับโรงแรม และผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การบริหารรายได้ระดับโลกอย่าง Revenue Matters อธิบายว่า การนำการบริหารรายได้มาใช้ในวงการโรงแรมเริ่มต้นจากการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการพยากรณ์ความต้องการ โดยได้แรงบันดาลใจจากความสำเร็จของธุรกิจสายการบิน

“จุดกำเนิดที่แท้จริงของการบริหารผลตอบแทน (ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าการบริหารรายได้) ในธุรกิจโรงแรมนั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่” คุณสจ๊วต-ฮิลล์กล่าว “แต่ Marriott ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในวงการโรงแรมที่พัฒนาโมเดลคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องรายได้ จึงมักได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นรายแรก”

คุณสจ๊วต-ฮิลล์ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงแรกการบริหารรายได้ตกเป็นหน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายสำรองห้องพัก โดยเฉพาะในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ที่พวกเขาต้องรับหน้าที่พิเศษในการอธิบายแนวคิดใหม่เรื่องการปรับราคาแบบไดนามิกให้ลูกค้าเข้าใจ

จากนั้น ผู้จัดการฝ่ายสำรองห้องพักที่กลายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายรายได้ ก็เริ่มรับผิดชอบงานด้านช่องทางการจัดจำหน่าย เมื่อเว็บจองออนไลน์ (OTA เช่น Booking.com) เข้ามาเปลี่ยนโฉมวิธีการขายห้องพักของโรงแรม ต่อมาในช่วงปี 2000 การบริหารรายได้ก็พัฒนาเป็นศาสตร์เชิงรุกมากขึ้น อันเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในทศวรรษนั้น

“ฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000 ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกในปี 2007 และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเลห์แมน บราเธอร์สล่มสลาย เหตุการณ์เหล่านี้มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการของการบริหารรายได้ เพราะทำให้ผู้จัดการฝ่ายรายได้ต้องช่วยหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมให้กับโรงแรม” คุณสจ๊วต-ฮิลล์อธิบาย

แม้บทบาทเหล่านั้นจะสำคัญ แต่กว่าผู้จัดการฝ่ายรายได้จะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในโรงแรมก็ต้องรอจนถึงกลางทศวรรษ 2010 ในปี 2016 การศึกษาของ ดร.ไลลา ราช เรื่อง ภาพของผู้นำในการบริหารรายได้ พบว่า 65% ของผู้ปฏิบัติงานด้านรายได้มีตำแหน่งเป็น ‘รองประธาน’ หรือ ‘รองประธานอาวุโส’

เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2020 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กระตุ้นให้เกิด “การรีเซ็ตครั้งใหญ่” ทำให้ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจหันมาใช้เทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เมื่อการท่องเที่ยวหยุดชะงักและเกิดปรากฏการณ์ “โรงแรมกักตัว” ผู้จัดการฝ่ายรายได้จึงต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ โดยเริ่มจากการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด

การบริหารรายได้แบบองค์รวม

ปัจจุบัน การบริหารรายได้ของโรงแรมได้พัฒนาเป็นศาสตร์แบบองค์รวม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาความเท่าเทียมของราคาหรือการปรับราคาห้องพักอีกต่อไป คุณเดเร็ก มาร์ติน ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทวิเคราะห์ข้อมูล TrevPAR World Group มองว่าการบริหารรายได้เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของโรงแรมในยุคนี้

“การบริหารรายได้ได้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่และหัวใจของโรงแรมไปแล้ว” คุณมาร์ตินกล่าว “เมื่อมองการบริหารรายได้แบบองค์รวม มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่ห้องพักอีกต่อไป แต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งหมด ทั้งต้นทุน ผลการดำเนินงาน และกำไร มันกลายเป็นงานเชิงพาณิชย์มากกว่าจะเป็นแค่การบริหารรายได้อย่างเดียว”

คุณมาร์ตินมองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายที่ทำให้การทำธุรกิจของโรงแรมกลายเป็นธุรกิจ 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยังเป็นผลมาจากการเติบโตของ Big Data ด้วย เขาเสริมว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโรงแรม ผู้จัดการฝ่ายรายได้จึงมีโอกาสที่จะวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแยบยลมากขึ้น

การขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ

แม้ว่าความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารรายได้จะมีมาก แต่อุตสาหกรรมโรงแรมกำลังเผชิญความท้าทายหลายประการในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการในปัจจุบัน

คุณทามี่ แมทธิวส์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง RevenYou บริษัทที่ปรึกษาสำหรับโรงแรมอิสระ กล่าวว่า “ฉันค่อนข้างกังวลกับมาตรฐานประสบการณ์ที่เห็นอยู่ในอุตสาหกรรมตอนนี้” เธอชี้ให้เห็นถึงการขาดแคลนประสบการณ์แบบองค์รวมในหมู่ผู้จัดการฝ่ายรายได้ ในขณะที่การปฏิบัติงานจริงต้องใช้มุมมองแบบองค์รวมเช่นกัน

“แม้ว่าตอนนี้เราจะมีคนที่สามารถปรับราคาขึ้นลง ใช้ระบบบริหารรายได้ และวิเคราะห์ข้อมูลได้ แต่พวกเขายังขาดประสบการณ์ในการผลักดันยอดขาย สร้างกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ทำกำไร และดำเนินการระบบต่างๆ ที่เราใช้ทุกวันเพื่อสร้างรายได้” คุณแมทธิวส์อธิบาย

ความท้าทายในอุตสาหกรรมโรงแรม ที่สำคัญคือการขาดแคลนผู้จัดการฝ่ายรายได้ในโรงแรมที่ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งเลวร้ายลงจากการระบาดใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ที่ทำให้เกิดภาวะสมองไหลของผู้เชี่ยวชาญด้านรายได้ ก็ยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล ด้วยทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย ผู้จัดการฝ่ายรายได้ของโรงแรมจึงถูกดึงดูดให้ไปแสวงหาโอกาสนอกอุตสาหกรรมที่พัก ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่ากับทักษะที่เป็นที่ต้องการสูงของพวกเขามากกว่า

นอกจากนี้ การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงมักทำให้แนวคิดใหม่ๆ ด้านการบริหารรายได้ถูกมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดจากผู้จัดการฝ่ายรายได้รุ่นใหม่ คุณมาร์ตินมองว่าสถานการณ์นี้เกิดจากความแตกต่างระหว่างผู้นำโรงแรมอาวุโสกับลักษณะการทำงานในปัจจุบัน

“ผู้นำแบบเก่าอาจไม่เข้าใจการบริหารรายได้อย่างถ่องแท้ แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา หลายคนเป็นผู้จัดการทั่วไปมานานหลายสิบปี ในขณะที่แนวทางการบริหารรายได้ในปัจจุบันค่อนข้างใหม่” คุณมาร์ตินอธิบาย “ยิ่งการบริหารรายได้ได้รับความสนใจมากขึ้นเท่าไร การขาดแคลนบุคลากรก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น เราไม่สามารถสร้างบุคลากรได้เร็วพอ”

การลดช่องว่างเพื่อสร้างวัฒนธรรมการบริหารรายได้ที่แท้จริง

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ที่ขัดขวางศักยภาพของการบริหารรายได้ ทั้งผู้จัดการฝ่ายรายได้และอุตสาหกรรมโรงแรมโดยรวมต้องมีบทบาทเชิงรุกเพื่อผลักดันการปฏิบัติงานให้ก้าวหน้า

สำหรับคุณแมทธิวส์ การเปิดกว้างและมีทัศนคติช่างสงสัยของผู้จัดการฝ่ายรายได้เป็นสิ่งจำเป็นในการยกระดับประสบการณ์ด้านรายได้ในอุตสาหกรรม

“ผู้จัดการฝ่ายรายได้ที่คิดว่าตัวเองมีความสำคัญเพียงเพราะสามารถปรับราคาได้ทุกวัน คือผู้จัดการที่ยังคงอยู่ในอดีต เพื่อให้การบริหารรายได้เติบโตและพัฒนาต่อไปได้ ผู้จัดการฝ่ายรายได้ต้องขยายฐานความรู้ของตน พวกเขาต้องมีทัศนคติที่พร้อมเติบโตและมีความกระหายที่จะเรียนรู้” เธออธิบาย

ความจำเป็นในการขยายบทบาทของผู้จัดการฝ่ายรายได้ให้กว้างไกลกว่าแค่เรื่องการตั้งราคานี้ สอดคล้องกับความเห็นของคุณมาร์ติน ที่มองว่ากลยุทธ์การบริหารรายได้ ในปัจจุบันต้องรวมถึงการบริหารช่องทางการขายเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านรายได้ทุกคน

“เรากำลังมองหาผู้จัดการฝ่ายรายได้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการดำเนินงาน การควบคุมต้นทุน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือภาพรวมของช่องทางการขายทั้งหมด ตอนนี้การบริหารช่องทางการขายคือ 80% ของการบริหารรายได้ เราอาจคิดไอเดียเจ๋งๆ ได้ แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีนำเสนอไอเดียเหล่านั้นสู่โลกกว้างหรือบนอินเทอร์เน็ต ก็จะไม่มีใครจองหรือหาเราเจอ” เขาอธิบาย

นอกเหนือจากทักษะทางเทคนิคที่จำเป็นในการก้าวทันการบริหารรายได้ในปัจจุบันแล้ว ทักษะด้านอารมณ์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน คุณสจ๊วต-ฮิลล์เน้นย้ำว่าการสื่อสารและการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้จัดการฝ่ายรายได้ในการบรรลุเป้าหมายด้านรายได้

“ผู้ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในการบริหารรายได้ และยังเก่งในเรื่องการฟังอย่างตั้งใจ การสื่อสาร และการโน้มน้าวใจ จะพบว่าตัวเองได้กำหนดและขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ภายในองค์กรของตน” เขากล่าว

จากมุมมองที่กว้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและวัฒนธรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมโรงแรมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันการบริหารรายได้ให้ก้าวหน้า คุณมาร์ตินเสนอว่า ควรมีตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายรายได้โดยเฉพาะ แทนที่จะกระจายความรับผิดชอบไปยังหลายๆ แผนก

“ผู้จัดการฝ่ายรายได้ที่เก่งสุดคือคนที่เชี่ยวชาญเรื่องข้อมูลแถมสื่อสารเก่งด้วย เพราะเขาสามารถเล่าเรื่องราวจากข้อมูลของคุณได้ ถ้าคุณให้เขาต้องรับผิดชอบงานขาย การตลาด หรือการจองห้องพักไปด้วย โดยทำงานด้านรายได้แค่ 20% และงานปฏิบัติการ 80% โรงแรมก็จะล้มเหลว คุณต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การบริหารรายได้ไม่ใช่งานที่ทำแค่วันละ 10 นาที” คุณมาร์ตินอธิบาย

เขายังเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างคุณค่าที่ผู้จัดการฝ่ายรายได้สร้างให้กับธุรกิจ กับเงินเดือนที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบัน

“ผู้จัดการฝ่ายรายได้เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ได้รับเงินเดือนน้อยที่สุดในวงการโรงแรม วิธีที่เราคิดเรื่องเงินเดือนของพวกเขานั้น ถือเป็นการดูถูกคนเก่งๆ เราต้องการคนที่ฉลาด เชี่ยวชาญด้านข้อมูล สื่อสารเก่ง และรู้คุณค่าของตัวเอง” เขากล่าวเสริม

ในที่สุด คุณมาร์ตินเชื่อว่า การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนผู้จัดการฝ่ายรายได้และความคิดของพวกเขา เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการบริหารรายได้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

“การสร้างวัฒนธรรมการบริหารรายได้ ที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อทุกคนตั้งแต่ระดับบนถึงล่างเห็นด้วยและร่วมมือกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายและตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น ถ้าเราอยากให้การบริหารรายได้เป็นแนวหน้าของอุตสาหกรรมจริงๆ เราต้องให้โอกาสกับผู้จัดการฝ่ายรายได้ ให้พวกเขาได้พูด รับฟังพวกเขา และสนับสนุนความคิดของพวกเขา แค่เพราะเราเคยทำอะไรแบบเดิมๆ มา ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำแบบนั้นต่อไป ทำไมเราไม่ลองนำแนวคิด ‘การรีเซ็ตครั้งใหญ่’ มาใช้อีกครั้งล่ะ?”

]]>
ระบบชำระเงินออนไลน์สำหรับโรงแรม: วิธีการ ตัวเลือก และระบบยอดนิยมในไทย https://www.siteminder.com/th/r/online-payment-processing/ Thu, 22 Aug 2024 04:01:52 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176247 ระบบชำระเงินออนไลน์สำหรับโรงแรมคืออะไร?

ระบบชำระเงินออนไลน์สำหรับโรงแรม เป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจ่ายค่าจองห้องพักและบริการต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกสบาย

วิธีการทำธุรกรรมแบบดิจิทัลนี้กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในวงการโรงแรม เนื่องจากมอบความสะดวกและความปลอดภัยให้ทั้งผู้ประกอบการโรงแรมและแขกที่เข้าพัก

ปัจจุบัน มีโซลูชันการชำระเงินออนไลน์ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับธุรกิจโรงแรม ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมโรงแรมโดยเฉพาะ ช่วยให้การรับชำระเงินจากลูกค้าทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับวิธีรับชำระเงินออนไลน์สำหรับโรงแรม ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้งระบบ ไปจนถึงตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมขนาดเล็ก รีสอร์ท หรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์

สารบัญ

ทำไมโรงแรมต้องมีระบบชำระเงินออนไลน์?

ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของชีวิตประจำวัน การก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อาจไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป

โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรม ระบบชำระเงินออนไลน์ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกอย่างมาก

ลองนึกถึงบริการเรียกรถอย่าง Grab หรือ Bolt ที่ผู้ใช้สามารถเดินทางถึงที่หมายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชำระเงิน เพราะทุกอย่างจัดการผ่านระบบดิจิทัลหลังถึงที่หมาย หากโรงแรมสามารถนำเสนอบริการในลักษณะเดียวกันนี้ได้ นอกจากจะช่วยลดความยุ่งยากให้กับแขกแล้ว ยังอาจช่วยเพิ่มรายได้จากการจองห้องพักและบริการเสริมต่างๆ ได้อีกด้วย

ปัจจุบัน หลายประเทศเป็นผู้นำในการใช้ระบบชำระเงินออนไลน์ โดย 5 อันดับแรกที่มีสัดส่วนการชำระเงินแบบไร้เงินสดสูงสุด ได้แก่ เบลเยียม (93%), ฝรั่งเศส (92%), แคนาดา (90%), สหราชอาณาจักร (89%) และสวีเดน (89%)

สำหรับในเอเชีย ประเทศที่กำลังก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างรวดเร็ว อย่าง เกาหลีใต้ ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดมากที่สุดในโลก และกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ

ประเทศจีนก็กำลังเปลี่ยนผ่านจาก “mobile-first” (ให้ความสำคัญกับมือถือเป็นอันดับแรก) ไปสู่ “mobile-only” (ใช้มือถือในการชำระเงินเพียงอย่างเดียว)

ด้วยแนวโน้มนี้ โรงแรมจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจากการนำระบบชำระเงินออนไลน์อัตโนมัติมาใช้

7 วิธีการชำระเงินยอดนิยมสำหรับโรงแรม

การนำเสนอวิธีการชำระเงินที่หลากหลายในโรงแรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกและรับประกันการทำธุรกรรมที่ราบรื่น ตั้งแต่บัตรเครดิตและเดบิตแบบดั้งเดิม ไปจนถึงโซลูชันการชำระเงินดิจิทัลสมัยใหม่ ตัวเลือกที่หลากหลายนี้ช่วยตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ต่อไปนี้คือภาพรวมของ 7 วิธีการชำระเงินยอดนิยมสำหรับโรงแรม:

  1. บัตรเครดิตหรือเดบิต : วิธีการชำระเงินยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สะดวกสำหรับการทำธุรกรรมทั่วไป ทั้งการจองห้องพักล่วงหน้าและการชำระเงินเมื่อเช็คเอาท์ เป็นตัวเลือกที่คุ้นเคยสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่
  2. การโอนเงินผ่านธนาคาร : วิธีที่ปลอดภัยสำหรับการชำระเงินโดยตรง นิยมใช้สำหรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่หรือการจองเป็นกลุ่ม ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้บัตร ทำให้ทั้งโรงแรมและแขกมั่นใจในความปลอดภัย
  3. ระบบชำระเงินออนไลน์ : แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อระบบการจองของโรงแรมกับวิธีการชำระเงินต่างๆ เช่น ระบบที่ใช้งานร่วมกับ SiteMinder ช่วยให้การทำธุรกรรมราบรื่น ปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส เพิ่มความมั่นใจให้กับแขก
  4. แอปพลิเคชันชำระเงินบนมือถือ : เช่น TrueMoney Wallet หรือ Rabbit LINE Pay ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี ให้บริการแบบไร้สัมผัส ปลอดภัย และรวดเร็วผ่านสมาร์ทโฟน สอดคล้องกับเทรนด์การใช้งานมือถือเป็นหลัก
  5. ดิจิทัลวอลเล็ท : อย่าง PayPal ช่วยให้ชำระเงินออนไลน์ได้โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลบัตรทุกครั้ง สะดวกและปลอดภัย กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความง่ายในการใช้งานและระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี
  6. การชำระเงินผ่าน QR Code : วิธีที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย ด้วยความง่ายและไม่ต้องสัมผัส แขกเพียงสแกน QR Code ด้วยสมาร์ทโฟนก็สามารถชำระเงินได้ทันที เป็นตัวเลือกที่รวดเร็วและปลอดภัย ลดการสัมผัสเงินสด
  7. บัตรของขวัญหรือบัตรกำนัล : ทางเลือกที่ยืดหยุ่น ให้แขกใช้เครดิตที่ซื้อไว้ล่วงหน้าสำหรับการเข้าพักหรือบริการต่างๆ เหมาะสำหรับการมอบเป็นของขวัญหรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของโปรโมชัน ช่วยเพิ่มความประทับใจและสร้างประสบการณ์ส่วนตัวให้กับแขก

วิธีการชำระเงินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจองห้องพักโรงแรมคืออะไร?

วิธีการชำระเงินที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจองห้องพักโรงแรมนั้นขึ้นอยู่กับความสะดวกของแขกและบริบทเฉพาะของการจอง อย่างไรก็ตาม บัตรเครดิตหรือเดบิตถือเป็นตัวเลือกที่ได้รับการยอมรับและนิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากเป็นวิธีที่แพร่หลาย สะดวก และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี บัตรเหล่านี้ช่วยให้ได้รับการยืนยันการจองทันที และเหมาะสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ทำให้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการจองโรงแรมส่วนใหญ่

นอกจากนี้ ระบบชำระเงินออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับวิธีการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ รวมถึงบัตรเครดิต ก็ได้รับความนิยมสูงเช่นกัน ด้วยความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการประมวลผลธุรกรรมโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงแรม เช่น SiteMinder

การชำระเงินแบบพรีออโทไรซ์ (Pre-authorised) ในโรงแรมคืออะไร?

การชำระเงินแบบพรีออโทไรซ์ในโรงแรม คือการกันวงเงินชั่วคราวจำนวนหนึ่งในบัตรเครดิตหรือเดบิตของแขก เพื่อให้แน่ใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับการจองหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น การกันวงเงินนี้ไม่ใช่การเรียกเก็บเงินจริง แต่เป็นการสำรองเงินไว้จนกว่าจะเช็คเอาท์ ซึ่งจะมีการคิดเงินจริงหรือปลดล็อควงเงินหากไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

เทรนด์การชำระเงินออนไลน์และโซลูชันการชำระเงินสำหรับโรงแรม

นักท่องเที่ยวกำลังพึ่งพาอุปกรณ์มือถือมากขึ้นเรื่อยๆ และชื่นชอบความสะดวกสบายในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการออนไลน์

สำคัญมากที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องจับตาดูเทรนด์ที่กำลังมาแรงในอุตสาหกรรมการชำระเงินสำหรับโรงแรม เพราะการรู้ว่าแขกชอบจ่ายค่าห้องพักด้วยวิธีใดนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มยอดจองให้กับโรงแรมของเรา

นี่คือ 6 เทรนด์หลักในอุตสาหกรรมการชำระเงินสำหรับโรงแรมในขณะนี้:

1. สหภาพยุโรปเข้มงวดกับการชำระเงินออนไลน์ด้วย SCA

จะเห็นได้ว่ายุโรปกำลังเป็นผู้นำในการปฏิวัติสู่สังคมไร้เงินสด ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมในสหภาพยุโรป เนื่องจากมีการออกกฎหมายควบคุมอุตสาหกรรมการชำระเงินที่เรียกว่า Strong Customer Authentication (SCA) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Payment Services Directive ฉบับที่สอง (PSD2)

SCA เป็นชุดข้อกำหนดที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงินออนไลน์ และลดการฉ้อโกงในการชำระเงิน

SCA เพิ่มชั้นความปลอดภัยเมื่อลูกค้าชำระเงินออนไลน์ และนี่หมายความว่าเจ้าของโรงแรมในสหภาพยุโรปจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎนี้ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการไม่สามารถรับชำระเงินออนไลน์ได้

2. แขกต้องการการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ราบรื่น

แทนที่จะต้องเช็คเอาต์ที่เคาน์เตอร์และยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน แขกของคุณเริ่มคาดหวังประสบการณ์การชำระเงินที่ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่ต้องยุ่งยาก

จะดีที่สุดถ้าเราสามารถเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของแขก แสดงรายละเอียดค่าใช้จ่ายก่อนเช็คเอาท์ และหักเงินจากบัตรโดยอัตโนมัติในวันสุดท้ายของการเข้าพัก แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเฉพาะของทางโรงแรม

วิธีนี้ช่วยลดเวลาที่แขกต้องจัดการเรื่องชำระเงินในวันสุดท้าย ทำให้ประสบการณ์การเข้าพักที่โรงแรมของคุณดียิ่งขึ้น

3. การผสานการชำระเงินเข้ากับระบบการจองเป็นเรื่องปกติแล้ว

โซลูชันการชำระเงินออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมในปัจจุบัน ช่วยกำจัดความยุ่งยากของอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมที่เคยใช้ในการทำธุรกรรม

แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ระบบชำระเงินถูกรวมเข้ากับเว็บจองห้องพักโดยตรง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อแขกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พนักงานโรงแรมทำงานได้สะดวกขึ้นด้วย

เว็บจองห้องพักสมัยใหม่ใช้งานง่ายและเข้าใจความต้องการด้านการชำระเงินในธุรกิจโรงแรมได้ดีกว่า

4. ระบบไร้กระดาษ มาตรฐานใหม่ของโรงแรมยุคดิจิทัล

แขกโรงแรมไม่เพียงชื่นชอบความสะดวกของระบบยืนยันการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์

แทนที่จะพิมพ์ใบแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างเข้าพัก แขกส่วนใหญ่พอใจกับการรับข้อมูลเดียวกันผ่านอีเมลหรือ SMS ซึ่งสะดวกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

5. แขกพร้อมให้ข้อมูลบัตรเครดิตออนไลน์มากขึ้น

ปัจจุบัน ผู้บริโภคพร้อมและเต็มใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการเกือบทุกอย่างทางออนไลน์มากขึ้น พวกเขาไว้วางใจช่องทางนี้และชื่นชอบความสะดวกสบายที่การช้อปปิ้งออนไลน์มอบให้ ซึ่งหมายความว่า ลูกค้ายินดีให้ข้อมูลบัตรเครดิตหรือข้อมูลการชำระเงินทางออนไลน์มากขึ้นด้วย

ความสะดวกและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลโดยตรงให้การจองโรงแรมออนไลน์ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง

6. กระเป๋าเงินดิจิทัลและบัตรเครดิตเสมือนกำลังเป็นที่นิยม

บัตรเครดิตยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยม แต่กระเป๋าเงินดิจิทัล (หรือ e-wallet) เช่น Apple Pay, Samsung Pay หรือ Google Pay ถือว่าปลอดภัยและสะดวกกว่า

แม้จะไม่ใช่วิธีการชำระเงินหลักของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ แต่จำนวนคนที่ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นทุกปี

หากคุณขายห้องพักผ่าน Booking.com หรือ Agoda คุณอาจคุ้นเคยกับบัตรเครดิตเสมือน (VCC) บัตรเหล่านี้คือ MasterCard ดิจิทัลที่ช่วยให้ชำระเงินออนไลน์ได้ง่ายและปลอดภัย โดยปกติจะจัดการผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล

VCC แต่ละใบมีหมายเลขบัตร วันหมดอายุ และ CVC ที่ไม่ซ้ำกัน และใช้ได้เพียงครั้งเดียว สำหรับทุกการจองที่คุณได้รับ OTA จะส่ง VCC ใหม่ให้คุณ ดังนั้นหากมีใครเจาะระบบโรงแรมและขโมยข้อมูลบัตรเครดิต จะไม่สามารถใช้ VCC ได้เพราะเป็นบัตรที่ใช้ได้ครั้งเดียว

วิธีติดตั้งระบบชำระเงินและซอฟต์แวร์อัตโนมัติสำหรับโรงแรม

ตั้งแต่ยุคดิจิทัลเริ่มต้นขึ้น ระบบการชำระเงินของโรงแรมกลายเป็นหนึ่งในด้านที่ซับซ้อนที่สุดสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม

สาเหตุหลักเป็นเพราะกระบวนการชำระเงินของโรงแรมมีความซับซ้อนและมีกฎระเบียบมากมาย โดยเกี่ยวข้องกับทุกขั้นตอนในการจำหน่ายห้องพัก ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งมักประกอบด้วย:

  1. เว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์ (OTA) เช่น Agoda หรือ Booking.com
  2. ระบบการจองบนเว็บไซต์ของโรงแรมเอง (booking engine)
  3. ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager)
  4. ระบบจัดการโรงแรม (PMS)
  5. ระบบชำระเงินออนไลน์ (payment gateway)

และแน่นอนว่ารวมถึงตัวโรงแรมเอง ทุกฝ่ายมีบทบาทสำคัญในการรับและส่งต่อข้อมูลบัตรเครดิต ก่อนที่จะมีการชำระเงินจริง

ในขณะที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการปฏิวัติดิจิทัลไปข้างหน้า เทคโนโลยีเหล่านี้ก็จะช่วยให้โรงแรมเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงด้วย มี 3 วิธีหลักที่จะช่วยให้โรงแรมของคุณพร้อมรับมือกับการประมวลผลการชำระเงินออนไลน์:

1. ระบบจองห้องพักออนไลน์

เมื่อแขกจองห้องพักผ่านช่องทางตรงของโรงแรม เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย จำเป็นต้องมีระบบชำระเงินออนไลน์ นั่นหมายถึงโรงแรมต้องมีระบบการจองที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน (payment gateway) เช่น Stripe หรือ PayPal ซึ่งเป็นเครื่องมือชำระเงินออนไลน์จากบุคคลที่สาม

ระบบชำระเงินออนไลน์จะตรวจสอบข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าที่ต้องการจองทันทีผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม เปรียบเสมือนเครื่องรูดบัตรออนไลน์ ที่ช่วยให้โรงแรมสามารถตั้งค่าและเรียกเก็บเงินเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดจองหรือค่าธรรมเนียมคงที่ ณ เวลาที่ทำการจอง

โรงแรมยังสามารถเลือกที่จะอนุมัติยอดเงินทั้งหมดหรือบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตไว้เพื่อประมวลผลในวันเช็คเอาท์ หรือกรณีที่แขกไม่มาเข้าพักตามกำหนด (No-show)

ผู้ให้บริการระบบจองบางรายยังมีโซลูชันการชำระเงินในตัว ซึ่งช่วยให้การจัดการง่ายขึ้นสำหรับโรงแรม นอกจากนี้ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบการจองสามารถรองรับหลายสกุลเงิน เพื่อให้กระบวนการชำระเงินง่ายขึ้นสำหรับแขกและเพิ่มโอกาสในการจองมากขึ้น

ที่สำคัญ ระบบการจองต้องเชื่อมต่อกับ Channel Manager เพื่อให้การทำงานทั้งหมดในโรงแรมเป็นไปอย่างราบรื่นและไร้รอยต่อ

2. ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager)

Channel Manager เป็นเครื่องมือสำคัญในการอำนวยความสะดวกด้านการจองและการชำระเงินออนไลน์ บริษัทนำเที่ยวออนไลน์ (OTA) อย่าง Agoda และ Booking.com มีโครงสร้างการชำระเงินที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าใช้โมเดลแบบพ่อค้าคนกลาง (merchant model) หรือโมเดลตัวแทน (agency model)

แขกที่จองผ่าน OTA จะต้องชำระเงินเมื่อทำการจอง (merchant model) หรือเมื่อเช็คอิน (agency model) สำหรับ merchant model บัตรเครดิตเสมือน (virtual credit cards) เป็นวิธีการชำระเงินที่พบบ่อย

อย่างไรก็ตาม ในโลกของ OTA ไม่ได้ง่ายเพียงแค่นั้น เมื่อพิจารณาถึงธุรกิจต่างๆ ในอุตสาหกรรมและรูปแบบรายได้ที่หลากหลาย

สิ่งนี้นำไปสู่กระบวนการชำระเงินและข้อตกลงที่ซับซ้อนระหว่างโรงแรมและ OTA เกี่ยวกับเรื่องเวลา กฎระเบียบ PCI (การบันทึกและจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิต) กฎ PSD2/SCA (ระเบียบการชำระเงินออนไลน์ในยุโรป) และอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น Expedia Traveler Preference รวมทั้งโมเดลแบบตัวแทนและพ่อค้าคนกลาง เมื่อใช้โมเดลแบบพ่อค้าคนกลาง การเรียกเก็บเงินจะทำล่วงหน้า: เมื่อแขกเลือกชำระเงินตอนจอง เงินจะถูกเก็บผ่านระบบ Expedia Collect

Expedia จะเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตของลูกค้าและจ่ายเงินให้กับโรงแรมตามจำนวนที่ตกลงกันเมื่อการเข้าพักเสร็จสิ้น กำไรอาจสูงถึง 30% ขึ้นอยู่กับตลาดการท่องเที่ยว ความพร้อมของห้องพัก และความผันผวนตามฤดูกาล

หากลูกค้าเลือกชำระเงินที่โรงแรม Expedia จะใช้โมเดล Hotel Collect แบบตัวแทน โดยอาจมีหรือไม่มีข้อกำหนดเรื่องเงินมัดจำ ค่าคอมมิชชั่น ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ 20-25% จะถูกจ่ายให้ Expedia โดยโรงแรมหลังจากได้รับเงินจากลูกค้า

ไม่ว่าจะรับชำระเงินจาก OTA แบบใด ข้อมูลการชำระเงินและข้อมูลแขกจำเป็นต้องถูกส่งอย่างปลอดภัยและราบรื่นจากเว็บไซต์จองไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรม (และในทางกลับกันสำหรับกรณียกเลิกและคืนเงิน) Channel Manager ช่วยทำให้กระบวนการนี้เป็นอัตโนมัติ

3. ระบบจัดการโรงแรมแบบสองทาง (Two-way PMS integration)

ระบบจัดการโรงแรม (Property Management System หรือ PMS) เป็นกุญแจสำคัญในการประมวลผลการชำระเงินออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ PMS ช่วยอำนวยความสะดวกในการรวบรวม จัดเก็บ และสื่อสารข้อมูลของแขกโดยอัตโนมัติ

หากยังไม่มี PMS ควรมองหาระบบที่มีเครื่องมือจองออนไลน์ Channel Manager และโซลูชันการชำระเงินในตัว (แนะนำโซลูชันแบบครบวงจรอย่าง Little Hotelier สำหรับที่พักที่มีห้องน้อยกว่า 30 ห้อง)

หากไม่มี ควรตรวจสอบว่า PMS สามารถเชื่อมต่อกับระบบเหล่านี้ได้หรือไม่ วิธีนี้จะช่วยให้ข้อมูลการจองและการชำระเงินถูกส่งตรงจากแหล่งที่จอง (ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของโรงแรมหรือ OTA) ไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรมโดยตรง

วิธีป้องกันปัญหาในการชำระเงินออนไลน์สำหรับโรงแรม

ปัจจุบันการจองที่พักส่วนใหญ่ทำผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงแรมเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น แต่ก็สร้างความท้าทายในการปกป้องข้อมูลการชำระเงินของลูกค้าจากแฮกเกอร์หรือมิจฉาชีพ

ปัญหาด้านความปลอดภัยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ระบบจุดขาย (POS) และมักเป็นการฉ้อโกงแบบไม่มีบัตร (Card Not Present หรือ CNP)

เนื่องจากธุรกรรมแบบ CNP พบบ่อยในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโรงแรมกับลูกค้าจำนวนมาก จึงสำคัญที่ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่อาจเสี่ยงและจะป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้อย่างไร

แขกคาดหวังว่าโรงแรมจะเป็นสถานที่ปลอดภัย แม้แต่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในการปกป้องข้อมูลลูกค้าก็อาจส่งผลร้ายแรงต่อชื่อเสียงและการเงินของโรงแรม

สิ่งที่ควรระวัง:

การซื้อแบบเร่งรีบ

มิจฉาชีพมักติดต่อโรงแรมด้วยความตื่นตระหนก ต้องการจองที่พักอย่างเร่งด่วน อย่าตื่นตระหนกไปด้วย ใช้เวลาตรวจสอบบัตรเครดิต รายละเอียดหนังสือเดินทาง และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้แน่ใจว่าพวกเขาเป็นตัวจริง

แขกที่มาครั้งแรก

ควรระมัดระวังเป็นพิเศษกับคนที่ไม่เคยจองกับโรงแรมมาก่อน สำหรับลูกค้าประจำ โรงแรมสามารถสร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้พฤติกรรมการซื้อของพวกเขาได้ ควรระวังลูกค้าใหม่ที่ติดต่อทางออนไลน์เพื่อจองห้องพักจำนวนมากหรือจองในราคาสูง ควรเก็บข้อมูลยืนยันตัวตนที่จำเป็นทั้งหมด

เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น ใช้ระบบชำระเงินที่ออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูลธุรกรรมอย่างชาญฉลาด

ตำแหน่งของผู้ซื้อ

ปัจจุบันมิจฉาชีพหลายรายเชี่ยวชาญในการซ่อนตำแหน่งที่แท้จริงและหยุดการถูกติดตาม หากสงสัยเกี่ยวกับลูกค้า ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อยืนยันความถูกต้อง รวมถึงโทรศัพท์และส่งอีเมลเพื่อรวบรวมข้อมูลและยืนยันตัวตน

ที่อยู่ที่ไม่สอดคล้องกัน

สัญญาณเตือนใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งคือเมื่อมีคนต้องการใช้ที่อยู่ต่างกันสำหรับการเรียกเก็บเงินและการจัดส่ง แม้จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับโรงแรมโดยตรง แต่สำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม

5 วิธีรักษาความปลอดภัยระบบชำระเงินสำหรับการจองโรงแรมของคุณ

ความปลอดภัยในการชำระเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าผู้ประกอบการโรงแรมสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลดความเสี่ยง มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่คุณควรเริ่มทำ:

1. ใช้ระบบที่ปกป้องข้อมูลบัตรของลูกค้า

ควรใช้ระบบชำระเงินสำหรับโรงแรมที่เชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) หรือระบบจองห้องพัก ที่สามารถส่งและรับการอนุมัติบัตรแบบดิจิทัล และเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้อย่างปลอดภัยในที่เดียว

2. แจ้งนโยบายให้พนักงานทุกคนทราบ

พนักงานทุกคนควรทราบนโยบายของโรงแรมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบและการจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างปลอดภัย ทุกคนควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ที่ใช้และมีกระบวนการที่สอดคล้องกันในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง

3. ใช้ระบบ POS ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้

ลงทุนในเครื่องมือรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ล่าสุด รวมถึงการเข้ารหัส ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และไฟร์วอลล์ เพื่อป้องกันการโจมตีระบบ POS และมัลแวร์อื่นๆ ที่แฮกเกอร์อาจใช้เป็นเป้าหมาย

4. ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย PCI

าตรฐาน PCI ช่วยป้องกันการโกงบัตรเครดิตในธุรกิจโรงแรม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโรงแรมของคุณปฏิบัติตามมาตรฐานนี้อย่างเคร่งครัด

5. ตรวจสอบคู่ค้าอย่างรอบคอบ

โรงแรมมักทำงานร่วมกับหลายฝ่าย เช่น สายการบิน บริษัทรถเช่า หรือผู้ให้บริการเทคโนโลยี ต้องแน่ใจว่าทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเช่นเดียวกับคุณ

]]>
เทคโนโลยีโรงแรม: คู่มือสำหรับผู้ประกอบการไทย | นวัตกรรมสมัยใหม่ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-technology-systems-products/ Thu, 22 Aug 2024 03:42:25 +0000 https://www.siteminder.com/?p=176241 เทคโนโลยีโรงแรมคืออะไร?

เทคโนโลยีโรงแรมคือโซลูชันที่ช่วยให้โรงแรมบรรลุเป้าหมายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอัตโนมัติในชีวิตประจำวัน การเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายห้องพัก การกระตุ้นยอดจอง การสร้างรายได้ที่มั่นคง การวิเคราะห์ข้อมูล และการมอบประสบการณ์ที่ประทับใจให้แขก

โรงแรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมีจุดร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งอย่าง นั่นคือการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์โรงแรมที่ล้ำสมัย

เทคโนโลยีโรงแรมเป็นแนวคิดที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ยังมีโรงแรมอีกหลายพันแห่งทั่วโลกที่ยังไม่ได้นำกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีมาใช้อย่างครอบคลุม นี่จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับทั้งธุรกิจโรงแรมและผู้พัฒนาเทคโนโลยี

บทความนี้จะแนะนำทุกสิ่งที่ผู้ประกอบการโรงแรมควรรู้ ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาเทคโนโลยีมาใช้เป็นครั้งแรก หรือต้องการอัพเกรดระบบปัจจุบันให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

สารบัญ

ทำไมเทคโนโลยี Smart Hotel ถึงมีความสำคัญ?

เทคโนโลยี Smart Hotel กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนาก้าวกระโดดในช่วงหนึ่งถึงสองทศวรรษที่ผ่านมา เป็นนวัตกรรมในโรงแรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพสูงสำหรับผู้ประกอบการที่เล็งเห็นความจำเป็นในการใส่ใจรายละเอียดการบริหารจัดการธุรกิจที่พักในทุกๆ ด้าน

จากข้อมูลของ Statista เหตุผล 5 อันดับแรกที่ผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลกใช้นวัตกรรมการบริการ ได้แก่:

  1. ยกระดับประสบการณ์ของแขก (24%)
  2. เพิ่มผลกำไร (18%)
  3. เตรียมพร้อมธุรกิจสำหรับอนาคต (16%)
  4. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (15%)
  5. เพิ่มรายได้รวม (11%)

ในอดีต การเพิ่มอัตราการเข้าพักและการปรับราคาเป็นครั้งคราวอาจเป็นวิธีหลักในการเพิ่มรายได้ แต่ปัจจุบัน อัตราการเข้าพักไม่ใช่ตัวชี้วัดหลักของความสำเร็จอีกต่อไป นวัตกรรมธุรกิจโรงแรมได้เปลี่ยนแปลงวิธีการวัดผลความสำเร็จไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้ประกอบการที่พักในปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดหลากหลายด้านในทุกแผนกของโรงแรม และต้องคำนึงถึงนวัตกรรมที่ใช้ในโรงแรมเป็นอันดับแรกเมื่อวางกลยุทธ์ในด้านต่างๆ เช่น:

  • การกระจายห้องพักและการจัดการสินค้าคงคลัง
  • การบริหารรายได้และการกำหนดราคา
  • การจองโดยตรงจากลูกค้า
  • การบริหารจัดการทรัพย์สิน
  • ประสบการณ์ของแขก
  • ข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด
  • ข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจและผลการดำเนินงาน
  • อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้า
  • การขายและการตลาด
  • ชื่อเสียงของแบรนด์
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ธุรกิจโรงแรมที่ยังคงใช้วิธีการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมและใช้แรงงานคนเป็นหลักกำลังเสียเปรียบอย่างมาก โรงแรมชั้นนำตระหนักดีว่าเทคโนโลยี Smart Hotel ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์การตลาดที่สิ้นเปลือง แต่เป็นนวัตกรรมที่สามารถแก้ไขความท้าทายในอุตสาหกรรมยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้การบริหารธุรกิจที่พักง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการปูทางสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างชัดเจน

จริงๆแล้ว เทคโนโลยี Smart Hotel คือกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกเป้าหมายสูงสุดของโรงแรม นั่นก็คือการสร้างรายได้

การเพิ่มรายได้จำเป็นต้องอาศัยการเติบโตในหลายๆ ด้านของธุรกิจ ซึ่งมักเกิดขึ้นผ่านกระบวนการแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เพียงแค่การปรับราคาห้องพักเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น:

  • การเพิ่มรายได้อาจหมายถึงการปรับปรุงชื่อเสียงของแบรนด์
  • การปรับปรุงชื่อเสียงของแบรนด์หมายถึงการยกระดับประสบการณ์ของแขก
  • การยกระดับประสบการณ์ของแขกอาจหมายถึงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของที่พัก
  • หรือการทำให้กระบวนการจองง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • หรือการสื่อสารแบบส่วนตัวกับแขก
  • ซึ่งอาจหมายถึงการลงทุนในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มีฟีเจอร์ระบบการจองออนไลน์
  • ซึ่งนำไปสู่การเชื่อมต่อกับระบบเพิ่มเติมหรือระบบที่มีอยู่เดิม
  • และเปิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีคุณค่า
  • เพื่อเปิดช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ๆ

การเติบโตของธุรกิจโรงแรมขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงทุกส่วนของระบบที่ซับซ้อนนี้เข้าด้วยกัน ซึ่งมักเป็นจุดติดขัดสำหรับที่พักหลายแห่ง มีหลายสิ่งที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง และมีข้อมูลมากมายที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้

นวัตกรรมในโรงแรมอย่างเทคโนโลยี Smart Hotel สามารถจัดการกับความท้าทายในการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการทุกด้านของธุรกิจได้อย่างราบรื่น ตั้งแต่การจัดการห้องพัก การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับแขก ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคโนโลยีในโรงแรม

เทคโนโลยีอะไรบ้างที่ใช้ในโรงแรม?

โรงแรมใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเทคโนโลยีสำหรับพนักงานและเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของแขก ส่วนใหญ่โรงแรมใช้เทคโนโลยีคลาวด์และอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็ว ระบบอัตโนมัติ การบูรณาการ และความสะดวกในการใช้งาน

ตัวอย่างเช่น ระบบจัดการโรงแรม (PMS) ที่ผู้ประกอบการใช้บริหารธุรกิจประจำวัน หรืออุปกรณ์อัจฉริยะอย่างระบบควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างที่แขกสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ

ผลลัพธ์ของการใช้เทคโนโลยีในโรงแรมคืออะไร?

การใช้เทคโนโลยีในโรงแรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แขก และสร้างรายได้มากกว่าโรงแรมที่ยังใช้วิธีการบริหารจัดการแบบเก่าที่ต้องจัดการแบบแมนวล

เทคโนโลยีช่วยให้งานสำคัญหลายอย่างทำได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ และปรับปรุงผลลัพธ์ของกลยุทธ์ต่างๆ ที่ใช้อยู่

ทำไมเทคโนโลยีโรงแรมจึงมีความสำคัญมากขึ้น?

เทคโนโลยีโรงแรมมีความสำคัญมากขึ้นเพราะการท่องเที่ยวกำลังเติบโต อุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงขึ้น และความคาดหวังของแขกกำลังเปลี่ยนแปลง

เมื่ออุตสาหกรรมขยายตัว โรงแรมจำเป็นต้องหาวิธีสร้างรายได้และคว้าโอกาส ส่วนผู้บริโภคก็เคยชินกับการพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความเร็วและความสะดวกสบายในชีวิต

เพื่อให้อยู่รอดในตลาดปัจจุบัน เทคโนโลยีโรงแรมจึงมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโรงแรมต้องการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

อนาคตของเทคโนโลยีโรงแรมจะเป็นอย่างไร?

สำหรับเจ้าของและผู้จัดการโรงแรม เทคโนโลยีในอนาคตจะยังคงเน้นเรื่องการเพิ่มรายได้สูงสุดโดยอาศัยชุดข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน รวมถึงการให้ความสำคัญกับบริการส่วนบุคคลและกระบวนการอัตโนมัติมากขึ้น

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีบทบาทสำคัญทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าที่ติดต่อกับแขก เนื่องจากความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและให้ผลลัพธ์ที่มีคุณค่า ซึ่งคาดว่าจะเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์

สำหรับแขก เทคโนโลยีโรงแรมจะเกี่ยวข้องกับการตอบสนองและเกินความคาดหวัง เทคโนโลยีจะช่วยสร้างความประทับใจและความสะดวกสบายระดับสุดยอด โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเท่ากับการพักในรีสอร์ทห้าดาว

ทำความรู้จักเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน

ระบบอัตโนมัติและการบูรณาการเป็นคำสำคัญสำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยีทุกราย เพราะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของโรงแรม

สำหรับโรงแรมที่ต้องการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับแขก มีโซลูชันเทคโนโลยีหลากหลายที่สามารถนำมาใช้เพื่อส่งผลต่อทั้งกระบวนการเบื้องหลังและการดำเนินงานที่ติดต่อกับแขกโดยตรง

เทคโนโลยีโรงแรมที่คุณมักได้ยินบ่อยๆ ได้แก่:

เทคโนโลยีการกระจายห้องพักออนไลน์

เทคโนโลยีการกระจายห้องพักออนไลน์ช่วยให้คุณทำการตลาดและขายห้องพักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น channel manager ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติช่วยลงขายห้องพักบนช่องทางการจองต่างๆ และจัดการห้องพักให้เป็นระบบ

เทคโนโลยีการจองโดยตรง

เทคโนโลยีการจองโดยตรงช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชั่นของบรรดาเว็บจองออนไลน์ เช่น Agoda หรือ Booking.com โดยติดต่อกับลูกค้าโดยตรง ตัวอย่างเช่น ระบบการจองออนไลน์ที่ผสานรวมกับเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้แขกจองและชำระเงินกับธุรกิจของคุณโดยตรง

เทคโนโลยีการบริหารรายได้

เทคโนโลยีการบริหารรายได้ช่วยในการกำหนดกลยุทธ์ราคา ทบทวนและคาดการณ์ผลประกอบการ ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้สูงสุด และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ระบบบริหารรายได้ที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ รวมถึงให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์

เทคโนโลยีการจัดการโรงแรม

เทคโนโลยีการจัดการโรงแรมช่วยให้คุณควบคุมการดำเนินธุรกิจประจำวันได้ ตัวอย่างเช่น ระบบจัดการโรงแรม (PMS) ที่ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ เช่น การจอง ปฏิทินการจอง ข้อมูลแขก แม่บ้าน การซ่อมบำรุง และอื่นๆ ผ่านหน้าจอเดียว

เทคโนโลยีด้านข้อมูลธุรกิจ

เทคโนโลยีด้านข้อมูลธุรกิจช่วยให้คุณทันต่อสภาวะตลาดและการแข่งขันในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น SiteMinder Insights ที่ช่วยติดตามคู่แข่ง ดูและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน และรักษาค Rate Parity หรือให้ราคาขายที่เท่ากันบนทุกช่องทาง

เทคโนโลยีเว็บไซต์และ SEO

เทคโนโลยีเว็บไซต์และ SEO ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมและดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพมาสู่แบรนด์ของคุณ ตัวอย่างเช่น เครื่องมือสร้างเว็บไซต์โรงแรมที่ช่วยให้คุณมีเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับ SEO และมือถืออย่างรวดเร็ว ช่วยให้คุณแข่งขันบน Google และสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยว

เทคโนโลยีสำหรับแขก

เทคโนโลยีสำหรับแขกหรือในห้องพักส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของแขกที่โรงแรม มีผลิตภัณฑ์มากมายให้โรงแรมเลือกใช้ตามงบประมาณและประเภทของที่พัก หลายอย่าง เช่น Wi-Fi ฟรี หรือบริการสตรีมมิ่งและความบันเทิง อาจถือเป็นสิ่งจำเป็นในมุมมองของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

เทคโนโลยีการตลาด

เทคโนโลยีการตลาดมีประโยชน์ในการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้จองกับคุณ และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า ตัวอย่างเช่น เครื่องมือสร้างความผูกพันกับแขก ที่ช่วยให้การสื่อสารกับแขกและการปรับแต่งข้อเสนอหรือประสบการณ์ระหว่างเข้าพักเป็นไปอย่างง่ายดาย

เทคโนโลยีในโรงแรม: การดำเนินงานบนระบบคลาวด์

ปัจจุบันเทคโนโลยีคลาวด์เป็นกำลังหลักในการกระจายห้องพักออนไลน์ นอกจากช่วยเพิ่มยอดจองแล้ว ยังสามารถปรับปรุงการดำเนินธุรกิจโรงแรมได้แทบทุกด้าน

เทคโนโลยีคลาวด์เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์และคุ้มค่าโดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมอิสระที่มีงบประมาณจำกัด

ต่อไปนี้คือ 6 ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในโรงแรมของคุณ:

1. เทคโนโลยีคลาวด์คุ้มค่าคุ้มราคา

ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำเพราะคุณจ่ายเฉพาะสิ่งที่ต้องการในด้านพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและประสิทธิภาพการประมวลผล ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ พลังงาน และการดำเนินงานลดลง เนื่องจากผู้ให้บริการเป็นผู้รับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐาน ไม่มีค่าบำรุงรักษาเพราะหากอุปกรณ์ของคุณเสีย เพียงเข้าสู่ระบบด้วยอุปกรณ์อื่นก็สามารถทำงานต่อได้ทันที

2. เทคโนโลยีคลาวด์ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ

การประมวลผลบนคลาวด์เร็วกว่า และกระบวนการอัตโนมัติช่วยให้โรงแรมทำงานได้มากขึ้นในเวลาสั้นลง สามารถทำงานอัตโนมัติได้ทั้งการจอง อีเมล การอัปเดตห้องพัก การชำระเงิน และแม้แต่งานแม่บ้าน ความยืดหยุ่นของคลาวด์ยังช่วยให้คุณจัดการระบบได้จากทุกที่ เพียงมีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์

3. เทคโนโลยีคลาวด์ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

ข้อมูลถูกเก็บอย่างปลอดภัยบนระบบทางไกล ไม่ใช่ในสถานที่จริง ลดความเสี่ยงที่ข้อมูลและบันทึกจะถูกโจรกรรมหรือสูญหาย ใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ เพราะการอัปเดตหรือแอปพลิเคชันทำได้ในซอฟต์แวร์ ควรเลือกผู้ให้บริการที่ได้มาตรฐาน PCI DSS

4. เทคโนโลยีคลาวด์มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูง

การประมวลผลบนคลาวด์เร็วกว่าเพราะใช้ความสามารถเชื่อมต่อที่ไม่เคยทำได้บนคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทำให้ติดตาม รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลการจองได้ง่ายขึ้น

5. เทคโนโลยีคลาวด์ปรับปรุงการทำงานร่วมกันของพนักงาน

ระบบโรงแรมบนคลาวด์ช่วยให้พนักงานตอบสนองได้เร็วขึ้น ไม่ต้องอยู่แค่ที่เคาน์เตอร์ สามารถให้บริการที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ลดเวลาสูญเปล่า ทำให้แขกพึงพอใจและอยากกลับมาพักอีก

6. เทคโนโลยีคลาวด์ช่วยพัฒนาและดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจ

เทคโนโลยีนี้ช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแขกจำนวนมาก ทำให้พัฒนาโปรแกรมสมาชิกและแผนราคาที่เหมาะสมได้ง่าย เพิ่มทั้งการได้ลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า ยิ่งรู้จักแขกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำการตลาดโรงแรมได้แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น

เทคโนโลยีแบบเปิดสำหรับโรงแรม (Open hotel technology) คืออะไร และสำคัญอย่างไร?

เทคโนโลยีแบบเปิดสำหรับโรงแรม หมายถึงระบบที่ ‘เปิด’ ให้บุคคลที่สามเข้าถึงและมีปฏิสัมพันธ์ได้ ลักษณะการเปิดนี้เกิดขึ้นจากการเผยแพร่ Application Programming Interfaces (APIs) ซึ่งอนุญาตให้มีการเข้าถึงจากภายนอก

ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มแบบเปิดสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าสู่ระบบได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขยายระบบนิเวศ (เช่น แอปพลิเคชันสำหรับโรงแรมของบุคคลที่สาม) และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

ซึ่งต่างจากระบบ ‘ปิด’ ที่มักจำกัดการเข้าถึงและการเชื่อมต่อกับบริการและเทคโนโลยีเฉพาะที่กำหนดไว้ ผู้ประกอบการโรงแรมที่ใช้ระบบปิดจะมีอิสระและความยืดหยุ่นน้อยกว่า และมีโอกาสเติบโตจำกัด

การเชื่อมต่อกับระบบนิเวศแบบเปิดที่พัฒนาอยู่เสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงและรับมือความท้าทายด้วยโซลูชันที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ‘เปิด’ ในที่นี้หมายถึงการเข้าถึงและการเชื่อมต่อ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ ข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบเปิด แต่เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่เข้าถึงได้

ประโยชน์ของแพลตฟอร์ม open technology สำหรับโรงแรมของคุณ

ปัจจุบันผู้ประกอบการโรงแรมเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งการขาดแคลนพนักงาน รายได้ที่ไม่แน่นอน การจัดการผู้ให้บริการหลายราย การเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายและการขาย การรับประกันความพึงพอใจของแขก การจัดการซ่อมบำรุงและงานธุรการ รวมถึงการบริหารธุรกิจให้มีกำไร

เทคโนโลยีแบบเปิดช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมมั่นใจได้ว่าเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและปรับตัวตามความต้องการของแขกและการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน แทนที่จะถูกคู่แข่งทิ้งห่างอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มแบบเปิดเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ช่วยให้คุณเชื่อมต่อโซลูชันของบุคคลที่สามเข้ากับระบบเทคโนโลยีที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น

สิ่งนี้เพิ่มความสามารถในการใช้กลยุทธ์และบริการที่ช่วยเพิ่มรายได้และประสิทธิภาพของโรงแรมคุณอย่างมาก

นอกจากนี้ยังช่วยลดอุปสรรคด้านค่าใช้จ่ายที่มักเกิดขึ้นเมื่อต้องการปรับแต่งหรือเพิ่มเทคโนโลยี เทคโนโลยีแบบเปิดช่วยลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายโดยให้คุณเข้าถึงฟีเจอร์ ‘plug and play’ ที่ใช้งานได้ตามความต้องการของคุณ

แพลตฟอร์มแบบเปิดยังเป็นประโยชน์ต่อโรงแรมของคุณโดย:

  • พัฒนาฟังก์ชันและบริการเฉพาะสำหรับโรงแรมของคุณ เพื่อปรับปรุงการทำงานทั้งเบื้องหลังและส่วนที่ติดต่อกับลูกค้า
  • รวมศูนย์แหล่งข้อมูลเพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
  • เพิ่มความยืดหยุ่นและอิสระในการดำเนินงานผ่านการเชื่อมต่อที่มากขึ้น
  • ร่วมมือและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและมืออาชีพในอุตสาหกรรม
  • นำโซลูชันเทคโนโลยีมาใช้ได้เร็วขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลง
  • แก้ปัญหาการสื่อสาร ทั้งภายในองค์กรและระหว่างคุณกับแขก ด้วยการผสานรวมที่ราบรื่น
  • มองเห็นภาพรวมของธุรกิจ ช่วยให้ระบุปัญหา ช่องว่าง และโอกาสในการเติบโต
  • ขายบริการเสริมให้แขกและเพิ่มรายได้ต่อแขก
  • เข้าถึงโซลูชันที่มีความหมายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปหรือขั้นตอนที่ยุ่งยาก

ไม่ว่าคุณจะต้องการทำให้การทำงานประจำวันง่ายขึ้น ขายห้องพักได้มากขึ้น เพิ่มรายได้ ยกระดับประสบการณ์ของแขก หรือทั้งหมดที่กล่าวมา แพลตฟอร์มแบบเปิดคือวิธีที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างปราศจากความเครียดและมีค่าใช้จ่ายต่ำ

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจโรงแรม

เมื่อพิจารณาทุกด้านแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มีความสำคัญต่อโรงแรมของคุณไม่แพ้เตียงนอน มินิบาร์ หรือบริการห้องพัก เมื่อการดำเนินงานของโรงแรมราบรื่นแล้ว คุณจึงจะสามารถมุ่งเน้นไปที่การยกระดับประสบการณ์ของแขกได้อย่างเต็มที่

ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีที่ IT ช่วยปรับปรุงอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว:

การขายแบรนด์ของคุณ

ประสบการณ์แรกของนักท่องเที่ยวกับโรงแรมของคุณมักเริ่มจากการเยี่ยมชมเว็บไซต์ จากนั้นจะเข้าดูรูปภาพและรีวิว พร้อมกับอัตราค่าห้องพักและเนื้อหาอื่นๆ ที่คุณแสดงอย่างโดดเด่น การใช้การโฆษณาออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์ บล็อก และโปรโมชันอย่างมีประสิทธิภาพจึงสำคัญมากในการโน้มน้าวและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า

ระบบภายใน

ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยให้การสื่อสารเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และครอบคลุมมากขึ้น ทำให้เครือโรงแรมสามารถจัดการที่พักในหลายๆ สถานที่ได้ง่ายขึ้น ยังช่วยให้พนักงานทำงานประสานกัน และเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยรวมคำขอของแขก ข้อมูลแม่บ้าน และการจองไว้ในที่เดียวกัน เมื่อระบบเบื้องหลังทำงานได้ดี คุณก็มีเวลามากขึ้นในการพัฒนาส่วนหน้าที่แขกมองเห็น

ฟังก์ชันการใช้งานบนมือถือ

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจำนวนมากค้นหาและจัดการการเดินทางผ่านอุปกรณ์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมอีกต่อไป โรงแรมจึงต้องตอบสนองความต้องการนี้บนเว็บไซต์ของตน นอกจากนี้ ระบบ IT ยังช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถจัดการที่พักผ่านอุปกรณ์มือถือได้อีกด้วย

ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของเทคโนโลยีสารสนเทศคือความเร็วและความแม่นยำ การเร่งความเร็วในการจัดการโรงแรมและบริการจุดขายช่วยลดต้นทุนแรงงานและสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้า

บทบาทของ IT ในอุตสาหกรรมโรงแรมคืออะไร?

IT มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและรักษาความสามารถในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม เนื่องจากความสำเร็จส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด และนำไปใช้ ระบบ IT จึงเป็นตัวแปรสำคัญ

IT ช่วยตอบสนองความต้องการข้อมูลที่ทันสมัยและแม่นยำของทั้งลูกค้าและผู้จัดการโรงแรม เป็นตัวช่วยที่สำคัญมาก ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบ IT ที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยผู้จัดการให้บริการที่มีคุณภาพแก่ลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และควบคุมต้นทุน

หากโรงแรมไม่สามารถใช้ระบบ IT ที่เหมาะสมได้ จะมีปัญหาในการจัดการและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่ การลงทุนด้าน IT จึงกลายเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในกลยุทธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม

ด้านที่ IT ส่งผลกระทบต่อวงการโรงแรม:

  • ระบบการจอง
  • การสื่อสารผ่านมือถือ
  • เทคโนโลยีในห้องพัก
  • การจัดการองค์กร
  • การประสานงาน
  • ระบบการจองห้องพัก

สถิติเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า IT มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมมากเพียงใด

  1. สองในสามของแขกต้องการเช็คอินผ่านสมาร์ทโฟน
    แขกต้องการให้การเช็คอินสะดวกที่สุด โดยเฉพาะหลังการเดินทางไกลหรือจากต่างประเทศ พวกเขาไม่อยากรอนานเพื่อเข้าห้องพัก การเช็คอินผ่านมือถือยังช่วยลดความแออัดในล็อบบี้โรงแรม
  2. มากกว่าครึ่งของโรงแรมวางแผนเพิ่มการลงทุนด้าน IT
    คู่แข่งจำนวนมากกำลังลงทุนอย่างชาญฉลาดในเทคโนโลยี ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ควรละเลยการพัฒนาด้านนี้ เพราะแขกมีความคาดหวังสูงในเรื่องนวัตกรรมและบริการที่ทันสมัย การไม่ก้าวตามอาจทำให้คุณเสียเปรียบในการแข่งขันและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. สามในสี่ของแขกต้องการข้อเสนอส่วนตัวหรือโปรแกรมสมาชิก
    ระบบ IT ช่วยสร้างโปรไฟล์แขก บันทึกความชอบ และทำข้อเสนอเฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถจดบันทึกคำขอพิเศษ รายการสั่งอาหารในห้องพัก และข้อมูลอื่นๆ เมื่อแขกกลับมาพักอีกครั้ง คุณสามารถสร้างความประทับใจด้วยการบริการที่ใส่ใจ เช่น จัดเตรียมสิ่งที่แขกชอบไว้ในห้องล่วงหน้า หรือเสนอโปรโมชันที่ตรงใจ ทำให้แขกรู้สึกพิเศษและอยากกลับมาพักซ้ำ
  4. มากกว่าครึ่งของโรงแรมทั้งหมดใช้งานบนคลาวด์
    แนวโน้มนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการเก่าอย่างการใช้สมุดบันทึกและสเปรดชีต การใช้ระบบอย่าง Channel Manager กำลังกลายเป็นมาตรฐานการดำเนินงาน รงแรมที่ยังไม่ได้ปรับตัวอาจพบว่าตนเองกำลังล้าหลังและเสียเปรียบในการแข่งขัน
  5. ครึ่งหนึ่งของนักเดินทางเพื่อธุรกิจใช้ Wi-Fi ฟรีเป็นปัจจัยในการตัดสินใจจอง
    Wi-Fi ฟรีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักธุรกิจ หากไม่มีบริการนี้ถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่ยอมรับไม่ได้ แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากไม่มีให้ อาจสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับแขก ปัญหานี้แก้ไขได้ง่าย แต่หากละเลย อาจส่งผลกระทบต่อรีวิวออนไลน์และชื่อเสียงของโรงแรมคุณได้

โรงแรมของคุณควรนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เมื่อไหร่และอย่างไร?

การรู้ว่าเทคโนโลยีใดคุ้มค่าแก่การลงทุน และอะไรเป็นเพียงกิมมิคที่สิ้นเปลืองงบประมาณของโรงแรม เป็นเรื่องสำคัญมาก

เทคโนโลยีนั้นจะช่วยดึงดูดแขกและเพิ่มยอดจองได้หรือไม่? หรือราคาห้องพักที่สูงขึ้นจะทำให้อุปกรณ์ไฮเทคเหล่านั้นไม่น่าสนใจ?

บางโรงแรมทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุดให้แขก โดยหวังว่าประสบการณ์ระดับ ‘ห้าดาว’ จะช่วยโน้มน้าวนักท่องเที่ยวให้จอง ในขณะที่บางแห่งมีความระมัดระวังมากกว่า โดยเลือกใช้ระบบเทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วและวัดผลได้ชัดเจน ท้ายที่สุด หากคุณไม่มีกลยุทธ์การกระจายห้องพักที่ดีพอให้นักท่องเที่ยวค้นพบโรงแรมของคุณ การมีหุ่นยนต์ในโรงแรมจะมีประโยชน์อะไร?

เรามาดูตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีที่น่าประทับใจในโรงแรมปัจจุบัน และพิจารณาคุณค่าของแต่ละอย่างกัน ก่อนจะดูเทคโนโลยีที่รับประกันการเพิ่มรายได้

เทคโนโลยีโรงแรมที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก

การเปิดประตูแบบไร้กุญแจ

เทคโนโลยีนี้ช่วยให้พนักงานโรงแรมใช้ NFC, RFID หรือบลูทูธจับคู่โทรศัพท์ของแขกกับล็อคประตูอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ไม่ต้องใช้กุญแจแบบเดิม

แม้จะสะดวก แต่ก็มีราคาแพงและยังไม่เป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีข้อเสียบางประการ เช่น หากแขกลืมที่ชาร์จโทรศัพท์และแบตเตอรี่หมด จะทำอย่างไร? หรือถ้าเดินทางมาเป็นกลุ่ม จะส่งกุญแจไปยังโทรศัพท์ทุกเครื่องหรือไม่?

ท้ายที่สุด เทคโนโลยีนี้อาจไม่ใช่แรงจูงใจสำคัญให้แขกจองห้องพัก อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เมื่อคำนึงถึงต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับผู้ประกอบการโรงแรม

หุ่นยนต์

มีตัวอย่างมากมายของหุ่นยนต์ในโรงแรมที่สามารถต้อนรับและเช็คอินแขก จัดการกระเป๋าเดินทาง ให้ข้อมูล และทำหน้าที่ Concierge ได้

ข้อดีของหุ่นยนต์คือเป็นสิ่งแปลกใหม่และอาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการจอง อีกทั้งไม่ต้องจ่ายค่าแรง ทำให้โรงแรมสามารถนำเงินไปใช้ในการยกระดับประสบการณ์ของแขกได้มากขึ้น ข้อเสียคือหากเกิดปัญหา อาจต้องใช้เวลาและเงินมากในการแก้ไข และสร้างความไม่สะดวกให้แขกที่ต้องรอคนจริงๆ มาช่วย นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้แขกบางคนรู้สึกแปลกแยก เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากยังต้องการการบริการจากพนักงานที่เป็นคนจริงๆ

ประสิทธิภาพและการใช้งานของหุ่นยนต์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ด้วยความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ โรงแรมควรพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง แต่ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ควรระมัดระวังในการนำมาใช้

การระบุตำแหน่ง

โรงแรมบางแห่งใช้แอปพลิเคชันระบุตำแหน่งเพื่อติดตามแขกในทุกส่วนของโรงแรม เช่น หากแขกอยู่ใกล้ฟิตเนส อาจได้รับข้อความเสนอบริการพิเศษหรือส่วนลด หรือถ้ากำลังพักผ่อนใกล้บาร์ริมสระว่ายน้ำ ก็จะได้รับข้อเสนอที่เกี่ยวข้อง

แม้จะดูเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและทันสมัย แต่แขกอาจรู้สึกว่าเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวและน่ารำคาญ นอกจากนี้ การสร้างและดูแลแอปเหล่านี้มีราคาแพงและไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจมากนัก จึงไม่น่าจะเป็นแรงจูงใจสำคัญในการจอง

เทคโนโลยีในห้องพัก ต่อไปนี้คือ 5 ตัวอย่างของเทคโนโลยีในห้องพักที่แขกจะชื่นชอบ:

1. อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับแขกของโรงแรม
หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ความจริงคือโรงแรมบางแห่งยังไม่ให้บริการตามที่แขกต้องการ แขกใช้เวลาในห้องพักมากเพื่อค้นหาร้านอาหาร การแสดง สถานที่ท่องเที่ยว และทำการจองต่างๆ หากอินเทอร์เน็ตช้า พวกเขาจะหงุดหงิดและโรงแรมจะต้องรับมือกับข้อร้องเรียนมากมาย แขกคาดหวังความเร็วที่ใกล้เคียงกับที่ใช้ที่บ้าน

สิ่งสำคัญคือต้องให้บริการ Wi-Fi ฟรี การคิดค่าบริการอินเทอร์เน็ตมักเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกโรงแรมหนึ่งมากกว่าอีกแห่ง
2. คำนึงถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อยกระดับประสบการณ์ในห้องพัก
นอกจากอินเทอร์เน็ตเร็วแล้ว การมีจุดชาร์จอุปกรณ์ที่เพียงพอก็สำคัญไม่แพ้กัน แขกต้องการจุดชาร์จสำหรับอุปกรณ์หลายเครื่อง พื้นที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ และแท่นวางโทรศัพท์หรือเครื่องเล่นเพลงเพื่อความบันเทิงส่วนตัว

จุดชาร์จ โต๊ะขนาดเล็ก และแท่นวางอุปกรณ์ เป็นสิ่งที่ติดตั้งง่ายและแขกจะรู้สึกประทับใจมาก
3. Netflix และ YouTube สำหรับความบันเทิงของแขก
ความสามารถในการเชื่อมต่อและส่งภาพจากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น มือถือ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต ไปยังจอขนาดใหญ่ในห้องพักเป็นสิ่งสำคัญ โรงแรมควรรองรับการใช้งานแอปพลิเคชันยอดนิยม เช่น Netflix, YouTube, Spotify หรือแม้แต่การท่องเว็บผ่านเบราว์เซอร์บนหน้าจอใหญ่

แขกอาจต้องการใช้ฟีเจอร์นี้เพื่อความบันเทิงหรือเพื่อทำงานผ่านทีวีดังนั้นควรจัดเตรียมไว้ให้พร้อม
4. เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อความสะดวกสบายและความหรูหรา
ในส่วนนี้ โรงแรมสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้นได้ เทคโนโลยีอัจฉริยะที่เหมาะสมจะมอบความสะดวกสบายและความรู้สึกหรูหราให้แขก

เทอร์โมสตัทอัจฉริยะช่วยให้แขกใช้แอปปรับอุณหภูมิห้องได้ สามารถควบคุมไฟอัจฉริยะ หรี่หรือเพิ่มแสงสว่างจากโทรศัพท์ได้ รวมถึงปรับตำแหน่งเตียงหรือเปิดปิดม่านได้อีกด้วย

กุญแจประตูบนมือถือเป็นเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาให้สมบูรณ์แบบ เมื่อใช้ร่วมกับการเช็คอินผ่านมือถือ จะช่วยให้การเข้าพักของแขกสะดวกยิ่งขึ้น
5. บริการส่งข้อความสำหรับ concierge และบริการต่างๆของโรงแรม
การให้แขกใช้การส่งข้อความหรือแอปแชทสื่อสารกับโรงแรม เป็นการตอบสนองความต้องการการดูแลเอาใจใส่ คาดว่าภายในปี 2021 จำนวนผู้ใช้แอปส่งข้อความเพื่อสื่อสารจะเพิ่มขึ้นถึง 2.5 พันล้านคน

เพียงปลายนิ้ว แขกสามารถขอข้อมูลจาก concierge สั่งรูมเซอร์วิส จองสิ่งอำนวยความสะดวก แสดงความคิดเห็น หรือแจ้งปัญหากับพนักงานได้ โดยไม่ต้องออกจากห้องหรือรอสายโทรศัพท์

โรงแรมหลายแห่งติดตั้งแท็บเล็ตหรือ iPad ในห้องพักให้แขกปรับอุณหภูมิ สั่งรูมเซอร์วิส ขอบริการแม่บ้าน ปรับไฟ ควบคุมทีวี และอื่นๆ

นี่อาจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจองมากที่สุดเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีที่แขกควบคุมเองในโรงแรม ทั้งหมดนี้มีราคาไม่แพงมากและให้ความสะดวกที่แขกชื่นชอบระหว่างการเข้าพัก

เทคโนโลยีสำหรับพนักงานโรงแรม

การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานส่งผลดีต่อธุรกิจโดยรวม ช่วยประหยัดทั้งเวลาและเงิน รวมถึงอาจเพิ่มโอกาสการจองซ้ำ การใช้อุปกรณ์พกพา เช่น iPod Touch ช่วยให้พนักงานตอบสนองความต้องการของแขกและโรงแรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

แม้จะมีราคาไม่แพงมากนัก แต่เทคโนโลยีนี้สามารถส่งผลดีต่อผลกำไรของโรงแรมในระยะยาว โรงแรมทุกแห่งจึงควรพิจารณานำมาใช้

เทคโนโลยีเป็นกิมมิค

เทคโนโลยีบางอย่างอาจดูทันสมัยเกินไปจนกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ตัวอย่างเช่น:

  • รถรับส่งหรู: แม้แขกบางคนอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อนั่งรถ Tesla ไปสนามบิน แต่ส่วนใหญ่ไม่สนใจ ค่าใช้จ่ายและการบำรุงรักษารถราคาแพงไม่ช่วยเพิ่มผลกำไรให้โรงแรม
  • ทีวีในห้องน้ำ: การติดตั้งยุ่งยาก และการซ่อนจอแบนหลังกระจกดูไม่สะดวกในการใช้งาน
  • ปุ่มอัจฉริยะ: เช่น ปุ่มเปลี่ยนกระจกห้องอาบน้ำจากใสเป็นฝ้า ดูเหมือนไม่จำเป็นและอาจทำให้ราคาห้องแพงขึ้นโดยไม่จำเป็น
  • เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน: ใช้แจ้งเตือนพนักงานว่าห้องว่างหรือไม่ แต่ป้าย “ห้ามรบกวน” และการเคาะประตูก็ยังใช้ได้ดี โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงงบประมาณ

โรงแรมควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าปัญหาใดที่ต้องแก้ไขและต้องการผลลัพธ์อะไรจากการลงทุนด้านเทคโนโลยี

เป้าหมายเฉพาะของแต่ละโรงแรมจะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ แต่โดยทั่วไป ควรพิจารณาประเด็นสำคัญต่อไปนี้…
1. เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้โรงแรมเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกได้หรือไม่?
แขกจะจองห้องพักไม่ได้หากไม่พบโรงแรมของคุณ ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรถามผู้ให้บริการเทคโนโลยีคือ พวกเขาสามารถทำให้โรงแรมของคุณถูกเข้าถึงได้ในระดับโลกหรือไม่

โดยทั่วไป วิธีหลักในการเพิ่มการรับรู้มีสองวิธี คือการเชื่อมต่อกับ OTA (Online Travel Agencies) และ GDS (Global Distribution Systems)
2. เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้าได้หรือไม่?
เทคโนโลยีที่คุณลงทุนควรช่วยประหยัดเวลาอย่างแน่นอน ทั้งลดเวลาการป้อนข้อมูลแบบแมนวลและลดการทำงานซ้ำซ้อน

สิ่งสำคัญคือ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีของคุณควรสามารถเชื่อมต่อกับระบบเทคโนโลยีโรงแรมชั้นนำได้อย่างราบรื่น เช่น ระบบสำรองห้องพักส่วนกลาง (CRS) ระบบจัดการโรงแรม (PMS) และระบบบริหารรายได้ (RMS)
3. เทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มรายได้ให้โรงแรมได้หรือไม่?
OTA ช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักและรายได้ของคุณ แต่คุณต้องมี Channel Manager ที่ใช้ระบบ Pooled Inventory แทน Allocated Inventory

Pooled Inventory ช่วยให้ทุกช่องทาง รวมถึงเว็บไซต์ของคุณเอง เข้าถึงห้องพักทั้งหมดพร้อมกัน เมื่อมีการจอง จำนวนห้องว่างจะลดลงอัตโนมัติในทุกช่องทาง

Allocated Inventory จะกำหนดจำนวนห้องให้แต่ละช่องทาง เมื่อจองหมด จะไม่สามารถดึงห้องเพิ่มได้ และจำนวนห้องว่างจะไม่อัปเดตในช่องทางอื่น ทำให้เสี่ยงต่อการจองเกิน
4. เทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรได้หรือไม่?
วิธีหนึ่งในการเพิ่มกำไรคือการส่งเสริมการจองผ่านเว็บไซต์โรงแรมโดยตรง เพื่อลดค่าคอมมิชชันจาก OTA หรือช่องทางอื่น

เว็บไซต์ของคุณควรได้รับการปรับแต่ง SEO มีการออกแบบที่ดึงดูด โหลดเร็ว รองรับมือถือและโซเชียลมีเดีย และมีระบบจองที่ใช้งานง่าย

ระบบจองควรปรับแต่งให้เข้ากับแบรนด์โรงแรมและเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ เช่น PMS การจองโดยตรงไม่เพียงเพิ่มกำไร แต่ยังอาจส่งเสริมการจองซ้ำ เพราะลูกค้าคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบจองต้องใช้งานง่ายและจองได้ในไม่กี่คลิก

เทคโนโลยีโรงแรมที่ดีที่สุดคืออะไร?

การบอกว่าเทคโนโลยีโรงแรมแบบไหนดีที่สุดนั้นไม่ง่าย เพราะแต่ละโรงแรมมีความต้องการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ แต่มีระบบและเครื่องมือสำคัญหลายอย่างที่โรงแรมควรใช้ การเลือกว่าจะใช้ของเจ้าไหนนั้น ต้องศึกษาและเปรียบเทียบให้ดี

แต่สิ่งหนึ่งที่พูดได้คือ เทคโนโลยีโรงแรมแบบครบวงจร ที่รวมทุกฟังก์ชันที่ต้องการไว้ในที่เดียว เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วิธีนี้ช่วยให้บริหารโรงแรมง่ายขึ้น แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้ควบคุมได้ดีและเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น

ฟังก์ชันบางอย่างของแพลตฟอร์มแบบครบวงจรอาจรวมถึง:

ระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Management)

ปัญหาหลักที่โรงแรมเจอเมื่อไม่มีเทคโนโลยีการกระจายห้องพัก เช่น Channel Manager คือการจองเกิน

หากโรงแรมมีอัตราการเข้าพักสูงและได้รับข้อมูลการจองจำนวนมาก การป้อนข้อมูลด้วยมืออาจทำไม่ทันก่อนที่ลูกค้าอีกรายจะจองห้องเดียวกัน

การใช้ Channel Manager ที่เชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรม (PMS) จะบันทึกการจองและอัปเดตห้องว่างโดยอัตโนมัติ ทำให้พนักงานโรงแรมไม่ต้องกังวลหรือเสียเวลากับการจัดการด้วยตนเอง

เครื่องมือ Channel Management ยังช่วยให้ผู้จัดการโรงแรมเห็นภาพรวมการจองทั้งหมดในที่เดียวได้ง่าย ช่วยให้โรงแรมเพิ่มช่องทางขายออนไลน์ได้มากขึ้น เช่น OTA อย่าง Agoda แทนที่จะมีเพียง 5 ช่องทาง อาจเพิ่มเป็น 15-20 ช่องทางได้

Channel Manager ที่ดีใช้ระบบ Pooled Inventory และช่วยจัดการ OTA ที่เชื่อมต่อได้อัตโนมัติ สามารถอัปเดตห้องว่าง ราคา และจำนวนห้องแบบทันที ช่วยลดความเสี่ยงการจองเกิน ประหยัดเวลาในการจัดการและบันทึกข้อมูลด้วยตนเอง

เทคโนโลยีระบบการจอง

เมื่อโรงแรมขายห้องผ่าน OTA แต่ละการจองจะมีค่าคอมมิชชันให้กับช่องทางนั้นๆ

แม้จะดูยุติธรรม แต่ค่าคอมฯ อาจสูงถึง 15% ซึ่งกระทบกำไรของโรงแรมอย่างมาก จึงไม่แปลกที่โรงแรมต้องการให้ลูกค้าจองผ่านเว็บไซต์ตัวเองให้มากที่สุด สิ่งที่จำเป็นคือระบบจองที่เชื่อถือได้ ใช้งานง่าย และเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้

ระบบจองออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและรวดเร็วเพียงสองขั้นตอน จะช่วยเพิ่มยอดจองผ่านเว็บไซต์โรงแรมและ Google Hotel Ads ได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาทำงานของพนักงานด้วย

นอกจากนี้ยังช่วยให้โรงแรมบริหารราคาได้ดีขึ้น ด้วยระบบจองสมัยใหม่ โรงแรมสามารถจัดโปรโมชัน สร้างแพ็คเกจ ปรับราคานาทีสุดท้าย และใช้เทคนิคกระตุ้นการตัดสินใจเพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่มเติม

ระบบจองที่ดีที่สุดต้องให้ประสบการณ์ออนไลน์ที่ราบรื่น จองได้ภายในไม่กี่วินาทีหรือคลิกเดียว ไม่ว่าจะจองจากที่ไหนในโลก

ระบบจองควรเชื่อมต่อกับเว็บไซต์และแบรนด์ของคุณ รวมถึงระบบอื่นๆ เช่น Channel Manager, PMS, CRS และระบบชำระเงิน เพื่อความสะดวกทั้งคุณและแขก

ระบบจองที่ดีไม่เพียงช่วยประหยัดค่าคอมฯ แต่ยังช่วยดูแลลูกค้าตลอดทริป ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเข้าพัก คุณสามารถส่งอีเมลแจ้งเตือน เสนอบริการเสริมและโปรโมชัน รวมถึงเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียและมือถือได้

เทคโนโลยีเว็บไซต์สำหรับโรงแรม

โรงแรมทุกแห่งจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ที่สวยงาม ใช้งานง่าย และปรับให้เหมาะกับมือถือและ SEO เพื่อให้แขกสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย และอยู่ในเว็บไซต์นานพอที่จะทำการจองห้องพัก แทนที่จะไปมองหาโรงแรมอื่น หากเว็บไซต์ของคุณออกแบบไม่ดี โหลดช้า และไม่รองรับทุกอุปกรณ์ ผู้ใช้จะรีบออกไปหาเว็บอื่นทันที อย่างไรก็ตาม การจ้างนักออกแบบหรือสร้างเว็บไซต์เองนั้นใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ไม่เพียงแค่ตอนเริ่มต้น แต่ทุกครั้งที่ต้องอัปเดตด้วย

นี่คือเหตุผลที่คุณต้องใช้เทคโนโลยีอย่างโปรแกรมสร้างและแก้ไขเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย ซึ่งจะช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์โรงแรมได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง และอัปเดตได้ทันทีตามต้องการ

ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมสร้างเว็บไซต์มีมากมาย เช่น ธีมและเทมเพลตที่ปรับแต่งได้ จัดการ SEO ให้โดยอัตโนมัติ ปรับให้เหมาะกับมือถือ เชื่อมต่อกับระบบจองห้องพักออนไลน์ได้อย่างราบรื่น ใช้เป็นระบบจัดการคอนเทนต์ (CMS) สำหรับบทความบนหน้าเว็บและรูปภาพ และรองรับหลายภาษา

เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ

ระบบวิเคราะห์ราคาแบบเรียลไทม์จะช่วยให้คุณติดตามและวิเคราะห์คู่แข่งได้ ทำให้คุณตัดสินใจเรื่องราคาห้องพักได้อย่างชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ของโรงแรม การบริหารรายได้ของโรงแรมนั้นซับซ้อน โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากจำนวนโรงแรมและช่องทางการจองที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงข้อมูลการบริหารรายได้แบบเรียลไทม์จึงมีค่ามหาศาลสำหรับกลยุทธ์การตั้งราคาห้องพักของคุณ

ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม คุณจะสามารถติดตามคู่แข่งได้ และที่สำคัญกว่านั้น คือการเข้าถึงกฎและการแจ้งเตือนต่างๆ เพื่อให้คุณไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในตลาดการท่องเที่ยวและโรงแรม นอกจากนี้ คุณยังสามารถดึงรายงานและคาดการณ์ความต้องการเพื่อตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์ราคาห้องพักได้อย่างดีที่สุด

ด้วยเครื่องมือที่ยืดหยุ่นและฉลาด คุณจะสามารถมองเห็นราคาในตลาดและบรรลุเป้าหมายรายได้ของโรงแรมคุณได้ โดยใช้ซอฟต์แวร์บริหารรายได้ที่มีราคาย่อมเยา

เทคโนโลยีการกระจายข้อมูลทั่วโลก

การเชื่อมต่อกับระบบการกระจายข้อมูลทั่วโลก (GDS) จะทำให้โรงแรมของคุณปรากฏบน ‘แผนที่’ การจองที่หลากหลายและกว้างขวางมากขึ้น เพิ่มโอกาสให้โรงแรมของคุณถูกค้นพบโดยผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ GDS ช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดเสมือน (virtual marketplace) เพื่อนำเสนอบริการของคุณแก่ Travel Agent นับแสนรายทั่วโลก

GDS เปิดโอกาสให้คุณเสนอแพ็กเกจร่วมกับสายการบินและบริการเช่ารถ เพื่อจูงใจตัวแทนให้โฆษณาโรงแรมของคุณและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้จองกับคุณมากขึ้น

นอกจากนี้ GDS ยังสามารถอัปเดตแบบเรียลไทม์และทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่น่าเชื่อถือ ช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากให้คุณ

เมื่อใช้ GDS คุณต้องแน่ใจว่าได้รับความคุ้มค่า คำถามสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่ คุณได้เข้าถึงเครือข่ายที่ใหญ่เพียงพอหรือไม่? GDS สามารถเชื่อมต่อกับระบบโรงแรมทั่วไปอื่นๆ ได้หรือไม่? มีค่าคอมมิชชั่นหรือไม่ และข้อตกลงในสัญญาเป็นอย่างไร?

การทำการตลาดอัตโนมัติ

แพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติช่วยทำให้กระบวนการจากลูกค้าที่สนใจจนถึงการขายเป็นไปโดยอัตโนมัติ สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม นี่หมายถึงการสื่อสารแบบ 1:1 กับแขกที่อาจเข้าพักเพื่อให้ข้อมูล สร้างความสนใจ และทำการจอง เมื่อเชื่อมต่อกับระบบ CRM ของคุณ ฝ่ายขายและการตลาดจะทำงานสอดคล้องกัน ด้วยการอนุญาตให้คุณสร้างแคมเปญ อีเมลการตลาด และหน้าแลนดิ้งเพจทั้งหมดในที่เดียว พร้อมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นส่วนตัวผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติจึงเป็นตัวเชื่อมที่ขาดหายไปในกลยุทธ์การตลาดทางอีเมลของคุณ

ประโยชน์หลักของการใช้แพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติ ได้แก่:

  • ความสามารถในการสร้างและทดลองใช้อีเมลและหน้าแลนดิ้งเพจต่างๆ เพื่อปรับปรุง CTA และการสร้างลูกค้าที่สนใจ
  • ความสามารถในการดูแลลูกค้าที่สนใจ (แขก) โดยการทำแคมเปญอัตโนมัติเพื่อดูแลลูกค้าด้วยการสื่อสารหลายช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้า
  • โมเดลการให้คะแนนลูกค้าที่สนใจ ซึ่งช่วยให้คุณจับคู่บริการของโรงแรมกับเกณฑ์เฉพาะของแขกและลูกค้าที่คาดหวัง ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของแขกมากขึ้น เพื่อสร้างการสื่อสารและโปรโมชั่นที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น
  • รายงานละเอียดที่แสดงประสิทธิภาพของอีเมล อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า และผลตอบแทนการลงทุน (ROI) แยกตามแคมเปญ

การติดตามและรายงานของแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลในการช่วยปรับแต่งประสิทธิภาพของอีเมลและแคมเปญการดูแลลูกค้า เพิ่มอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าและการจอง รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจโดยรวมของคุณ

นอกเหนือจากนี้ คุณควรให้ความสนใจกับ:

  • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
  • เครื่องมือสำหรับอีเมล
  • แอพที่มุ่งเน้นข้อเสนอโปรโมชั่น
  • ระบบเพื่อปรับปรุงการสื่อสารกับลูกค้า

ทั้งหมดนี้ควรทำก่อนที่คุณจะคิดถึงการซื้อระบบล็อคประตูไร้กุญแจแบบหรูหราหรือติดตั้งสมาร์ททีวีในห้องพัก จัดการพื้นฐานให้ถูกต้องก่อน แล้วจึงประเมินงบประมาณเพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่แขกต้องการจริงๆ ความคิดเห็นของแขกมีความสำคัญมาก – ฟังสิ่งที่แขกของคุณบอก หากคุณไม่เคยได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับห้องน้ำ บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินกับพื้นที่มีระบบทำความร้อน แต่คุณอาจปรับปรุงระบบความบันเทิงที่แขกบางคนบอกว่าดูล้าสมัยไปหน่อย

]]>
รีวิว Tripadvisor: คู่มือสรุปสำหรับธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/tripadvisor-reviews/ Thu, 15 Aug 2024 00:24:55 +0000 https://www.siteminder.com/r/tripadvisor-reviews/ รีวิว Tripadvisor คืออะไร?

รีวิว Tripadvisor เป็นช่องทางให้นักท่องเที่ยวแบ่งปันประสบการณ์บน Tripadvisor ซึ่งเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต่างจากเว็บไซต์จองที่พักออนไลน์อย่าง Expedia และ Booking.com ที่คุณต้องจองที่พักหรือประสบการณ์ผ่านเว็บไซต์ก่อนจึงจะเขียนรีวิวได้ Tripadvisor เป็นแพลตฟอร์มเปิดที่ใครก็สามารถเขียนรีวิวให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการได้ ความเปิดกว้างนี้ทำให้ Tripadvisor ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยปัจจุบันมีรีวิวจากผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านรีวิว

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับรีวิว Tripadvisor และวิธีการปรับปรุงรีวิวให้เป็นประโยชน์กับโรงแรมของคุณ

ทำไมรีวิว Tripadvisor จึงสำคัญสำหรับโรงแรมของคุณ?

รีวิวโรงแรมบน Tripadvisor มีความสำคัญเพราะ Tripadvisor เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมและความเชื่อถืออย่างสูง หลายคนถือว่าเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผู้เข้าชมเกือบ 500 ล้านคนทุกเดือน

การสร้างชื่อเสียงที่ดีบน Tripadvisor ด้วยรีวิว 5 ดาวจำนวนมาก จะช่วยให้คุณได้รับส่วนแบ่งจากฐานลูกค้าขนาดใหญ่นี้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้ทำงานคล้ายกับ Google สำหรับนักท่องเที่ยว คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้ Tripadvisor เพื่อให้ได้ธุรกิจนี้ (ยกเว้นกรณีที่คุณต้องการซื้อโฆษณาเพิ่มเติม)

รีวิว Tripadvisor: คำถามและคำตอบ

Tripadvisor เป็นเว็บไซต์รีวิวการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการโรงแรม คุณอาจสงสัยว่าแพลตฟอร์มนี้ใช้อย่างไร มาดูสิ่งสำคัญที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Tripadvisor กัน

ฉันจะดูรีวิวบน Tripadvisor ได้อย่างไร?

โรงแรมของคุณอาจมีข้อมูลอยู่บน Tripadvisor แล้ว แม้ว่าคุณจะไม่เคยลงทะเบียนบัญชีมาก่อนก็ตาม Tripadvisor จะสร้างหน้าข้อมูลธุรกิจโดยอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ได้ คุณสามารถตรวจสอบรีวิวของโรงแรมคุณบน Tripadvisor ได้หลายวิธี:

  • หากคุณมีบัญชี Tripadvisor อยู่แล้ว ให้เข้าไปที่หน้าแรกของ Tripadvisor และคลิกที่รูปโปรไฟล์ของคุณที่มุมขวาบนของหน้า เลือก ‘ดูโปรไฟล์’ แล้วเลื่อนลงเพื่อดูรีวิวของโรงแรมคุณ
  • หากคุณยังไม่มีบัญชี Tripadvisor คุณสามารถตรวจสอบว่าโรงแรมของคุณมีข้อมูลและรีวิวอยู่บน Tripadvisor หรือไม่ได้ที่นี่ โดยพิมพ์ชื่อโรงแรมของคุณในช่องค้นหาบนเว็บไซต์ Tripadvisor หากพบข้อมูลโรงแรมของคุณ คุณสามารถยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของหรือผู้จัดการโรงแรมได้ หลังจากนั้น คุณจะสามารถจัดการข้อมูลและดูรีวิวได้ตามขั้นตอนข้างต้น
  • นอกจากนี้ คุณยังสามารถดูรีวิวโรงแรมของคุณได้เหมือนกับที่นักท่องเที่ยวทั่วไปทำ โดยเพียงแค่พิมพ์ชื่อโรงแรมของคุณในช่องค้นหาบนหน้าแรกของ Tripadvisor แต่วิธีนี้คุณจะไม่สามารถจัดการหรือตอบกลับรีวิวได้

รีวิวอยู่บน Tripadvisor นานแค่ไหน?

รีวิวของนักท่องเที่ยวจะอยู่บน Tripadvisor ไปตลอด แต่ถ้าโรงแรมของคุณมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น เปลี่ยนเจ้าของ รีวิวเก่าอาจถูกลบออกเพื่อให้เจ้าของใหม่เริ่มต้นใหม่ได้ นอกจากนี้ รีวิวอาจถูกลบในกรณีอื่นๆ ด้วย ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมต่อไป

เกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ประกอบการโรงแรมรายงานรีวิวบน Tripadvisor?

Tripadvisor มีฟังก์ชัน ‘รายงาน’ สำหรับรีวิว ซึ่งช่วยให้เจ้าของโรงแรมแจ้งรีวิวที่พวกเขาคิดว่าไม่ยุติธรรมได้ แต่ Tripadvisor ชี้แจงว่าจะลบรีวิวออกก็ต่อเมื่อ “ละเมิดกฎของเราหรือเราพบว่ามีสิ่งที่ไม่เหมาะสม” การไม่เห็นด้วยกับรีวิวเพียงอย่างเดียวจะไม่ทำให้รีวิวถูกลบ Tripadvisor ยังระบุว่า “ไม่เข้าไปตัดสินหรือเป็นคนกลางในกรณีที่มีการโต้แย้งข้อเท็จจริง”

เจ้าของสามารถลบรีวิว Tripadvisor ได้หรือไม่?

ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เจ้าของโรงแรมไม่สามารถลบรีวิว Tripadvisor ได้ แต่คุณสามารถรายงานได้ จากนั้น Tripadvisor จะตรวจสอบรีวิวว่าละเมิดแนวทางปฏิบัติของแพลตฟอร์มหรือไม่ ซึ่งคุณสามารถดูได้ที่นี่ แนวทางปฏิบัติรวมถึง:

  • รีวิวทั้งหมดต้องอิงจากประสบการณ์ตรง
  • รีวิวต้องเขียนภายในหนึ่งปีหลังจากการเข้าพักหรือประสบการณ์
  • ข้อมูลในรีวิวต้องเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ที่ได้รับ
  • รีวิวต้องไม่มีอคติหรือถูกบิดเบือน

หากพบว่ารีวิวละเมิดแนวทางปฏิบัติของแพลตฟอร์มหนึ่งข้อขึ้นไป Tripadvisor จะลบออก แต่ถ้ารีวิวนั้นเป็นเพียงความเห็นต่างระหว่างโรงแรมกับแขก Tripadvisor จะปล่อยไว้

วิธีเพิ่มรีวิวบน Tripadvisor

โดยทั่วไปเชื่อกันว่า ยิ่งโรงแรมของคุณติดอันดับสูงบน Tripadvisor คุณก็จะได้รับการจองมากขึ้น เพราะความคิดเห็นเชิงบวกจากผู้เข้าพักจริงช่วยสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวในการจองโรงแรม

ด้วยเหตุนี้ นี่คือ 4 เคล็ดลับที่จะช่วยให้อันดับของคุณบน Tripadvisor สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

1. ขอให้แขกเขียนรีวิวบน Tripadvisor

Tripadvisor ให้ความสำคัญกับรีวิวใหม่ๆ และโรงแรมที่มีรีวิวมากกว่าจะได้อันดับสูงกว่าโรงแรมที่มีรีวิวน้อย

ยิ่งคุณได้รับรีวิว 4 และ 5 ดาวมากเท่าไหร่ คุณก็จะขึ้นอันดับได้เร็วขึ้นเท่านั้น ในขณะที่คุณพยายามเป็นโรงแรมอันดับหนึ่งในย่านของคุณ

ขอให้แขกเขียนรีวิวตอนเช็คเอาท์หรือในอีเมลติดตามผลหลังจากที่พวกเขาออกจากโรงแรม ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับการเขียนรีวิวในใบเสร็จของแขกตอนจบการเข้าพัก แสดงสัญลักษณ์ TripAdvisor บนหน้าคำรับรองของแขกบนเว็บไซต์ของคุณ

อย่าลืมว่า – ถ้าไม่ขอก็ไม่ได้ ดังนั้นอย่าลังเลที่จะขอรีวิวและข้อเสนอแนะจากแขกเสมอ

2. ปรับปรุงข้อมูลโรงแรมของคุณอย่างสม่ำเสมอ

ตรวจสอบข้อมูลโรงแรมของคุณบน Tripadvisor เป็นประจำ มีรายการสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดของคุณและรูปภาพล่าสุดของโรงแรมหรือไม่? ข้อมูลโรงแรมของคุณเป็นปัจจุบันหรือไม่?

เพิ่มรูปภาพคุณภาพสูงอย่างน้อย 10 รูป เพราะรูปภาพสามารถช่วยดึงดูดแขกให้จองโรงแรมของคุณได้

การปรับปรุงข้อมูลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้แขกรู้ว่าจะได้รับบริการอะไรบ้างก่อนที่จะมาพัก ซึ่งจะเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

3. วิเคราะห์รีวิว Tripadvisor ที่มีอยู่

โรงแรมส่วนใหญ่มักมีบางจุดที่ต้องปรับปรุง ตรวจสอบรีวิว Tripadvisor ที่มีอยู่เพื่อดูว่าแขกชอบอะไรและบ่นเรื่องอะไร

จากนั้นวางแผนปรับปรุงในส่วนที่โรงแรมของคุณยังไม่ได้ให้บริการดีพอ เช่น หากแขกพูดถึงผ้าเช็ดตัวหรือผ้าปูที่นอนที่เก่า อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนใหม่ ตรวจสอบบริการซักรีด หรือทำงานร่วมกับแผนกแม่บ้านเพื่อให้แน่ใจว่าผ้าทุกชิ้นสะอาดและใหม่

การปรับปรุงจุดอ่อนจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของแขกและลดจำนวนข้อร้องเรียนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

4. ให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

คุณไม่มีทางรู้ว่าแขกคนไหนชอบเขียนรีวิวออนไลน์และคนไหนไม่เคยเขียนเลย วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มจำนวนรีวิวโรงแรมคะแนน 5 ดาวบน TripAdvisor คือการให้บริการที่ยอดเยี่ยมทุกวันกับแขกทุกคน

ฝึกอบรมพนักงานด้านการบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามัคคีและทักษะของพนักงาน จากนั้นยกย่องพนักงานที่ให้บริการเหนือความคาดหมายแก่แขก เพื่อสร้างทีมที่มีแรงจูงใจในการให้บริการแขกอย่างดีที่สุด เมื่อพนักงานได้รับคำชมและรางวัลจากการทำงาน พวกเขาจะมีแรงจูงใจในการดูแลแขกอย่างดี

การตอบรีวิวบน Tripadvisor พร้อมตัวอย่าง

สำหรับโรงแรม มีเคล็ดลับสำคัญที่สุดบน Tripadvisor คือ: การตอบรีวิว

แพลตฟอร์มนี้ค่อนข้างลังเลที่จะลบรีวิว (ซึ่งเข้าใจได้) เพราะอาจเปิดโอกาสให้ธุรกิจบิดเบือนข้อมูล ทำให้ตัวเองดูดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของ TripAdvisor เพราะผู้ใช้อาจไม่เชื่อถือรีวิวที่อ่านอีกต่อไป

น่าเสียดายที่สิ่งนี้อาจส่งผลเสียต่อโรงแรมของคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้สึกว่ารีวิวนั้นไม่ยุติธรรม แต่ไม่ได้ละเมิดกฎของ TripAdvisor อย่างชัดเจน

ในสถานการณ์เช่นนี้ การตอบกลับมีคุณค่ามาก รีวิวเชิงลบอาจทำให้เจ็บปวด แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะแสดงให้เห็นว่าโรงแรมของคุณเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกัน การตอบรีวิวเชิงบวกก็เป็นโอกาสให้คุณได้รับคำชื่นชมและแสดงความขอบคุณต่อลูกค้า

สงสัยว่าจะตอบรีวิวเชิงลบบน Tripadvisor อย่างไร? หรือจะตอบรับรีวิวที่ดีอย่างสุภาพได้อย่างไร? นี่คือเคล็ดลับและตัวอย่างการตอบรีวิวบน Tripadvisor

วิธีตอบรีวิวเชิงบวกบน Tripadvisor

สมมติว่าโรงแรมของคุณได้รับรีวิว 5 ดาวบน Tripadvisor คุณไม่จำเป็นต้องตอบทุกรีวิวเชิงบวก อัตราการตอบรีวิวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 40-50% โดยควรให้ความสำคัญกับการตอบรีวิวเชิงลบก่อน อย่างไรก็ตาม การตอบรีวิวที่มีรายละเอียดและชื่นชมเป็นพิเศษเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณซาบซึ้งที่ผู้เขียนสละเวลาแสดงความคิดเห็น

แม้จะดูเหมือนง่าย แต่การตอบรีวิวเชิงบวกอาจท้าทายกว่าที่คิด คำตอบของคุณควรปรับให้เข้ากับเนื้อหาของรีวิวและผู้เขียนแต่ละราย และควรแสดงความถ่อมตัวด้วย เคล็ดลับเพิ่มเติมมีดังนี้:

  • ใช้ชื่อของผู้เขียนรีวิว และขอบคุณที่สละเวลาเขียนรีวิว
  • ใช้คำว่า ‘เรา’ แทน ‘ผม’ หรือ ‘ดิฉัน’ เพื่อให้เครดิตกับทีมงานทั้งหมด
  • เน้นย้ำจุดเด่นที่ผู้เขียนกล่าวถึงในรีวิว เช่น “เรายินดีมากที่คุณประทับใจกับ X!”
  • จบด้วยการเชิญแขกกลับมาพักอีก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ตัวอย่างการตอบรีวิวเชิงบวก:

“สวัสดีครับคุณฌอน

ขอบคุณมากที่สละเวลาเขียนรีวิวให้เรา

พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทราบว่าคุณมีความสุขกับการเข้าพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และรู้สึกว่าพนักงานของเราเป็นกันเอง พวกเราภูมิใจในทีมงานของเรามากเช่นกันครับ

เราทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับแขกทุกท่าน ดังนั้นความคิดเห็นแบบนี้จึงเป็นกำลังใจที่มีค่ามากสำหรับเรา

เราหวังว่าจะได้ต้อนรับคุณและภรรยาอีกครั้ง หากมีโอกาสมาเยือนเรา อย่าลืมแจ้งให้เราทราบล่วงหน้านะครับ ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ!

ด้วยความขอบคุณ

– ทีมงานโรงแรม A1”

วิธีตอบรีวิวเชิงลบบน Tripadvisor

รีวิวเชิงลบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในธุรกิจบริการ สิ่งสำคัญคือวิธีที่คุณตอบกลับ เพราะลูกค้าที่อาจจะมาพักในอนาคตจะอ่านรีวิวและให้ความสนใจกับคำตอบของคุณเป็นพิเศษ

แนวทางปฏิบัติที่ดีคือ รับทราบและขอโทษสำหรับความไม่สะดวก บอกวิธีที่คุณวางแผนจะปรับปรุงในครั้งต่อไป และพยายามแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด

ไม่ว่าในรีวิวเชิงลบจะพูดอะไร อย่าป้องกันตัวหรือโจมตีแขก เพราะจะทำให้ลูกค้าที่อาจจะมาพักเปลี่ยนใจไป เคล็ดลับอื่นๆ ได้แก่:

  • ตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและใจเย็นเสมอ
  • ใช้ ‘ผม’ หรือ ‘ดิฉัน’ แทน ‘เรา’ เพื่อแสดงว่ามีคนรับผิดชอบปัญหานั้นโดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการตอบแบบสำเร็จรูป – ปรับแต่งคำตอบให้เข้ากับรีวิวเชิงลบแต่ละอันเสมอ
  • มีความเป็นกลางและมืออาชีพ – อย่าให้อารมณ์มาบดบังการตัดสินใจ อาจเป็นการดีที่จะรอ 24 ชั่วโมงก่อนร่างคำตอบ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ตอบด้วยอารมณ์ชั่ววูบ คุณอาจขอความเห็นจากบุคคลที่สามก่อนตอบก็ได้
  • หากแขกมีปัญหาจริงระหว่างเข้าพัก สิ่งสำคัญคือคุณต้องรับผิดชอบและแสดงให้ผู้ใช้ Tripadvisor เห็นว่าคุณตระหนักและกำลังเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
  • จัดการกับปัญหาที่ผู้เขียนรีวิวยกขึ้นมา อธิบายว่าคุณวางแผนจะปรับปรุงอย่างไรเมื่อได้รับคำติชมที่เป็นธรรม หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม (อย่างสุภาพเสมอ) เมื่อคุณรู้สึกว่าเหมาะสม หากรีวิวนั้นทำให้คุณประหลาดใจ อาจเป็นการดีที่จะขอข้อมูลเพิ่มเติม
  • ขอบคุณผู้เขียนรีวิวที่สละเวลาให้ข้อเสนอแนะ และชี้ให้เห็นข้อดีที่พวกเขาอาจกล่าวถึง
  • ท้ายคำตอบ เชิญแขกกลับมาพักอีก เพื่อแสดงว่าคุณรับฟังข้อเสนอแนะและยินดีที่จะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ตัวอย่างการตอบรีวิวเชิงลบ:

“เรียนคุณแพรวา

ขอบคุณมากที่สละเวลาให้ข้อเสนอแนะครับ ผมดีใจที่ทราบว่าคุณชอบบริเวณสระว่ายน้ำของเรา แต่ก็รู้สึกเสียใจที่คุณรู้สึกว่าห้องพักอาจจะไม่สะอาดเท่าที่ควรตอนเช็คอิน

ที่โรงแรม A1 เราให้ความสำคัญกับความสะอาดเป็นอย่างมาก หากคุณยินดีให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์ของคุณ เราจะขอบคุณมาก คุณสามารถติดต่อผมได้โดยตรงตามข้อมูลการติดต่อด้านล่างนี้

หากคุณแพรวามีโอกาสมาเที่ยวภูเก็ตอีกครั้งและอยากใช้เวลาพักผ่อนข้างสระว่ายน้ำของเรา เรายินดีอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับคุณอีกครั้งครับ

นภัท ผู้จัดการทั่วไป (โทรศัพท์/อีเมล)”

ไม่ว่าคะแนนรีวิวโรงแรมของคุณจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกของการจองออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงได้

]]>
อัตรากำไรโรงแรม: คู่มือสร้างกำไรให้ธุรกิจโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/hotel-profit-margin/ Mon, 29 Jul 2024 23:32:30 +0000 https://www.siteminder.com/r/hotel-profit-margin/ อัตรากำไรโรงแรม (hotel profit margin) คืออะไร?

อัตรากำไรโรงแรม คือ เปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพนักงาน ค่าบำรุงรักษา และค่าการตลาด อัตรากำไรนี้สะท้อนให้เห็นสุขภาพทางการเงินของโรงแรม – ยิ่งอัตรากำไรสูง ก็ยิ่งแสดงว่าโรงแรมทำกำไรได้ดี

เราสามารถปรับอัตรากำไรของโรงแรมและที่พักได้หลายวิธี ตั้งแต่การลดค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการเพิ่มรายได้ในบางส่วน เพื่อช่วยให้ภาพรวมทางการเงินดีขึ้น

ในเมื่อตลาดโรงแรมทั่วโลกคาดว่าจะมีรายได้สูงถึง 426.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ คุณจึงควรรู้วิธีที่จะดึงรายได้เข้าโรงแรมของคุณให้ได้มากที่สุด

บทความนี้จะเป็นคู่มือที่ครบถ้วนเกี่ยวกับอัตรากำไรโรงแรม และวิธีที่คุณจะเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจโรงแรมหรือที่พักของคุณ

สารบัญ

ทำไมการวัดอัตรากำไรโรงแรมถึงสำคัญ?

มีหลายเหตุผลที่คุณควรวัดอัตรากำไรของโรงแรม:

  • ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมสุขภาพทางการเงินของธุรกิจได้ชัดเจน คุณจำเป็นต้องรู้ว่ากำลังได้กำไรหรือขาดทุนอยู่เป็นประจำ
  • ใช้เทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรมและข้อมูลของคู่แข่งที่มีอยู่ เพื่อประเมินว่าคุณอยู่ระดับไหนในตลาด
  • เมื่อเข้าใจอัตรากำไรอย่างละเอียด จะช่วยให้คุณตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ดีขึ้น เช่น ควรลงทุนตรงไหนเพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไป

นอกจากนี้ ยิ่งอัตรากำไรดี คุณก็จะยิ่งอยู่ในจุดที่ดีหากต้องการขายกิจการในอนาคต หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น อย่างเช่นที่เคยเจอกับโควิด-19

คำนวณอัตรากำไรโรงแรมยังไง?

อัตรากำไรโรงแรมคำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เหลือ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นค่าพนักงาน ค่าการตลาด ค่าซ่อมบำรุง ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหาร ค่าจัดการขยะ และอื่นๆ

การคำนวณอัตรากำไรโรงแรมแบ่งเป็น 2 ขั้นหลักๆ::

  1. กำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน (GOP): สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานหลักของโรงแรม คำนวณโดยนำรายได้จากห้องพักทั้งหมด หักด้วยต้นทุนขาย (ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการขายห้องพัก) แล้วนำตัวเลขที่ได้หารด้วยรายได้จากห้องพักทั้งหมด คูณ 100 จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ GOP
  2. กำไรสุทธิ: เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรขั้นสุดท้าย คำนวณโดยนำ GOP มาหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด (เงินเดือน ค่าสาธารณูปโภค ค่าการตลาด ฯลฯ) แล้วนำตัวเลขสุดท้ายหารด้วยรายได้รวมของโรงแรม (รวมทั้งรายได้จากห้องพักและรายได้อื่นๆ) คูณ 100 จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์กำไรสุทธิ

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าในช่วงเวลาหนึ่ง:

  • รายได้รวม = 120,000 ดอลลาร์
  • ต้นทุนขาย = 10,000 ดอลลาร์
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน = 55,000 ดอลลาร์
  • GOP = 120,000 – 10,000 = 110,000 ดอลลาร์
  • อัตรากำไรขั้นต้น (GOP) = (GOP / รายได้จากห้องพักทั้งหมด) × 100 = 110%
  • กำไรสุทธิ = GOP – ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน = 120,000 – 55,000 = 65,000 ดอลลาร์
  • อัตรากำไรสุทธิ = (กำไรสุทธิ / รายได้รวม) × 100 = 54%

โรงแรมทำกำไรได้จริงหรือเปล่า?

การเป็นทำธุรกิจโรงแรมแล้วจะทำกำไรได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บางโรงแรมทำกำไรได้ดี แต่บางแห่งก็อยู่ไม่รอดในระยะยาว

เหมือนธุรกิจที่ขายให้ลูกค้าทั่วไป ความสามารถในการทำกำไรของโรงแรมขึ้นอยู่กับ:

แน่นอนว่านี่เป็นแค่ส่วนนึง ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่อธิบายทุกแง่มุมของการบริหารโรงแรมที่คุณต้องเรียนรู้เพื่อให้โรงแรมทำกำไรได้ ตอบสั้นๆ คือ โรงแรมทำกำไรได้ถ้าบริหารเป็น

อัตรากำไรสุทธิที่ดีสำหรับโรงแรมควรเป็นเท่าไร?

ถ้าพูดถึงอัตรากำไรสุทธิที่ควรตั้งเป้า โรงแรมส่วนใหญ่จะพอใจกับตัวเลขที่ราวๆ 15-20%

อัตรากำไรที่ถือว่าดีมากอยู่ที่ 25-35% ขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10%

โดยทั่วไป โรงแรมหรูและแบรนด์ใหญ่ๆ มักทำอัตรากำไรได้สูงกว่า ส่วนโรงแรมขนาดเล็กและแบรนด์อิสระมักได้อัตรากำไรต่ำกว่า

แต่โดยปกติแล้ว โรงแรมมักมีต้นทุนคงที่สูง ทำให้อัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจหลายอุตสาหกรรม

กำไรของโรงแรมมาจากอะไร?

โรงแรมมีรายได้มาจากสองทาง คือรายได้หลักและรายได้รอง

แหล่งรายได้หลักคือการขายห้องพักและแพ็คเกจที่มาพร้อมกับการจอง โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดของแขกคือค่าห้องพัก

แหล่งรายได้รองอาจรวมถึงการขายอาหารและเครื่องดื่ม ค่าบริการสิ่งอำนวยความสะดวก บริการสุขภาพและความงาม คลาสกิจกรรม ค่าเช่าพื้นที่จัดงานและประชุม หรือขายตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่

กำไรเกิดจากความสามารถในการขายบริการเหล่านี้ในราคาที่สูง ขณะที่รักษาต้นทุนให้ต่ำ และสร้างความประทับใจให้ตรงใจลูกค้า

วิธีเพิ่มกำไรให้โรงแรม

ก้าวแรกในการเพิ่มกำไรคือการวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรของโรงแรม นั่นคือการดูภาพรวมธุรกิจในปัจจุบัน ทั้งรายได้ ค่าใช้จ่าย และอัตรากำไร การรู้ว่าเงินเข้ามาและออกไปตรงไหนบ้างจะช่วยให้คุณเห็นว่าควรปรับปรุงส่วนไหนเป็นพิเศษ

เช่น คุณอาจพบว่ารายได้จากห้องพักสูงมาก แต่ถูกหักด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงพอๆ กัน หรืออาจพบว่ารายได้เสริมจากบริการอื่นๆ ยังน้อยเกินไป

มาดู 5 วิธีเพิ่มกำไรให้โรงแรมที่ได้ผลจริงกัน:

1. เพิ่มรายได้จากห้องพัก

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถ้าคุณสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด นั่นคือห้องพัก ได้มากขึ้น คุณก็จะเพิ่มกำไรได้แน่นอน

 

แต่ไม่ใช่แค่ขึ้นราคาห้องพักอย่างเดียว การเพิ่มรายได้จากห้องพักต้องใช้กลยุทธ์การตั้งราคาแบบไดนามิก ที่พิจารณาข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่ละช่วงของปี คู่แข่ง เทรนด์ของลูกค้า และอื่นๆ

คุณยังเพิ่มรายได้จากห้องพักได้ด้วยการเพิ่มมูลค่าผ่านแพ็คเกจ จัดโปรโมชั่น และเสนอบริการเสริมต่างๆ บางครั้งแขกแค่ต้องการแรงจูงใจนิดหน่อยเพื่อเปลี่ยนจากคนดูเป็นคนจอง

นอกจากนี้ ถ้าคุณศึกษาและแบ่งกลุ่มลูกค้า คุณอาจพุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่พร้อมจ่ายมากขึ้นสำหรับห้องพักระดับพรีเมียม และมีแนวโน้มที่จะซื้อแพ็คเกจราคาสูง

2. เพิ่มรายได้เสริม

รายได้เสริมสามารถเป็นเงินก้อนใหญ่นอกเหนือจากรายได้ห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นนวด ฟิตเนส บริการรถรับส่ง อาหารที่ร้านอาหารในโรงแรม อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับห้องพักถือเป็นรายได้เสริมทั้งนั้น

คุณอาจพิจารณาถึงขั้นผลิตและขายสินค้าของตัวเอง เช่น จัดหาสบู่หรือผ้าปูที่ผลิตในท้องถิ่นมาขาย และรับค่าคอมมิชชั่น

3. ลดค่าใช้จ่าย

นอกจากเพิ่มรายได้จากห้องพัก การลดค่าใช้จ่ายของโรงแรมอาจส่งผลต่อกำไรมากที่สุด เนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีค่าใช้จ่ายหลายด้าน นั่นหมายความว่าเรามีโอกาสลดต้นทุนได้หลายจุดเช่นกัน

ลองพิจารณาว่าจะประหยัดค่าไฟได้อย่างไร ลดขยะ ลดค่าทำความสะอาดและซ่อมบำรุง ลดต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และอื่นๆ

4. ติดตามตัวชี้วัดสำคัญ

การวัดความคืบหน้าและติดตามผลกำไรของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลักๆ

คุณควรหมั่นตรวจสอบตัวเลขต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น: รายได้รวมต่อห้องพักที่มี (TrevPAR) กำไรจากการดำเนินงานต่อห้องพักที่มี (GOPPAR) ต้นทุนต่อห้องที่มีแขกเข้าพัก (CPOR) ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า (CPA) และตัวชี้วัดอื่นๆ

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรหารายได้เพิ่ม หรือควรลดค่าใช้จ่ายลง

5. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

ในการทำทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ไม่มีอะไรจะช่วยได้ดีเท่ากับการลงทุนในเทคโนโลยีที่ใช่

ปัจจุบันมีเครื่องมือและโซลูชันที่ช่วยในทุกด้าน ทั้งการบริหารรายได้ การจัดการโรงแรม และการสร้างความพึงพอใจให้แขก

การใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นด้วยข้อมูลที่ดี เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ วางแผนกระบวนการและกลยุทธ์ที่ได้ผลมากขึ้น

เครื่องมือและวิธีไหนบ้าง ที่จะช่วยเพิ่มกำไรให้โรงแรมของคุณ?

อยากรู้ไหมว่าเทคโนโลยีแบบไหนที่จะช่วยเพิ่มกำไรให้โรงแรมของคุณได้ดีที่สุด?

นี่คือวิธีที่จะช่วยให้คุณขายห้องพักได้มากขึ้น เพิ่มมูลค่าห้องพัก กระตุ้นการใช้จ่ายของแขก และเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่ชาญฉลาด:

  • ระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Manager): ระบบที่ช่วยจัดการห้องพักแบบอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ ให้คุณขายห้องพักผ่านหลายช่องทางพร้อมกันได้ไม่จำกัด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องห้องถูกจองซ้ำ หรือต้องคอยอัพเดทข้อมูลเอง
  • ระบบจองห้องพัก (Booking Engine): ช่วยเพิ่มกำไรด้วยการรับจองโดยตรง ไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชันให้ช่องทางอื่น คุณยังสามารถสร้างแพ็คเกจสุดคุ้ม เสนอบริการเสริม และดึงดูดให้แขกซื้อบริการเพิ่มเติมได้ด้วย
  • ระบบชำระเงิน: ทำให้แขกจ่ายเงินได้ง่ายและสะดวก คุณก็รับเงินได้เร็วขึ้น ช่วยให้เงินหมุนเวียนดีขึ้น และลดปัญหาการจองค้างที่ทำให้เสียโอกาสขาย
  • ระบบวิเคราะห์ธุรกิจ: ให้ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์และแม่นยำ ทำให้คุณรู้ทันความเคลื่อนไหวของราคา และเพิ่มโอกาสในการปรับราคาให้ได้กำไรสูงสุด
  • ระบบบริหารรายได้: เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวมืออาชีพ ที่คอยแนะนำการตั้งราคาที่เหมาะสม แจ้งเตือนเมื่อมีโอกาสทางธุรกิจ และสรุปรายงานละเอียดให้คุณ
]]>
แอปจองที่พักที่ดีที่สุด: คู่มือสำหรับโรงแรมอิสระ https://www.siteminder.com/th/r/best-hotel-booking-apps/ Thu, 14 Mar 2024 04:10:16 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/best-hotel-booking-apps/ แอปจองที่พักคืออะไร?

แอปจองที่พักคือแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่นักท่องเที่ยวใช้จองห้องพักในโรงแรม ส่วนใหญ่มักใช้แอปผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อค้นหาที่พัก ทำรายการจองและชำระเงินให้กับทางโรงแรม ตัวอย่างแอปจองโรงแรมชื่อดังที่คนนิยมใช้ เช่น Booking.com, Airbnb, หรือ HotelTonight

บล็อกนี้เราจะมาพร้อมกับคู่มือการใช้แอปจองโรงแรมและทำความรู้จักว่าเว็บไซต์ไหนจะตอบโจทย์และให้ประโยชน์กับโรงแรมของคุณมากที่สุด

สารบัญ

ความสำคัญของแอปจองที่พักชั้นนำ

แอปจองโรงแรมกลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการจองที่พัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการจองทริปของพวกเขาบนช่องทางออนไลน์มากขึ้น

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลามากกว่า 12 สัปดาห์ในการค้นหาจัดทริปท่องเที่ยวและอาจเข้าถึงกว่า 38 เว็บไซต์ก่อนตัดสินใจชำระเงินจองห้องพัก

ในปี 2023 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวออนไลน์ทำรายได้สูงถึง 667.55 พันล้านดอลลาร์ โดยรายได้หลัก มาจากแอปจองที่พักและเว็บไซต์ของโรงแรมเองด้วย

หากคุณโปรโมทโรงแรมบนแอปจองที่พักที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมในวงกว้าง จะช่วยให้โรงแรมของคุณกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่พักเมื่อนักท่องเที่ยววางแผนเตรียมตัวออกทริป

ยิ่งคุณขยายการโปรโมทมากขึ้นเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และถ้าหากคุณใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย คุณจะสามารถลิสต์รายชื่อลงบนแอปจองที่พักได้มากเท่าที่คุณต้องการโดยไม่ต้องกังวลปัญหาการจองซ้ำซ้อนหรือข้อมูลห้องพักผิดพลาด

รายชื่อแอปจองที่พักและแอปท่องเที่ยวยอดนิยม

อย่างที่เราทราบกันดีว่านักท่องเที่ยวมีความสามารถในการค้นหาข้อมูลอย่างมาก พวกเขาค้นหาจากหลาย ๆ แหล่งที่มาโดยใช้แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเข้าพักให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวก็มีหลายประเภทและมีความต้องการแตกต่างกัน นี่คือเหตุผลที่ทำไมการโฆษณาบนแอปท่องเที่ยวหลายแอปถึงคุ้มค่า

แอปโรงแรมราคาถูกที่สุด

ความจริงแล้วไม่มีแอปจองโรงแรมที่ “ถูกที่สุด” เพราะโรงแรมราคาและที่พักประหยัดสามารถพบได้ในทุกแอปพลิเคชัน แต่แน่นอนว่ามีเว็บไซต์สำหรับโรงแรมกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น HostelWorld ซึ่งเน้นข้อเสนอสำหรับโฮสเทลซึ่งถือว่าเป็นที่พักราคาถูก

Hotels.com เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงสำหรับการจองที่พักราคาถูก

นักท่องเที่ยวอาจใช้แอป Metasearch อย่าง Trivago หรือแอปของประเทศนั้น ๆ เช่น Wotif ของออสเตรเลีย เพื่อค้นหาที่พักราคาถูกและเปรียบเทียบตัวเลือกโรงแรมต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย

แอปโรงแรมพร้อมข้อเสนอส่วนลด

มีแอปโรงแรมหลายแอปที่มีข้อเสนอดีลหรือส่วนลดพิเศษ หรือเพิ่มความสะดวกสบายในการสำรวจตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่สำหรับนักท่องเที่ยว

Hopper เป็นแอปท่องเที่ยวบนมือถือที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ใช้เป็นรายบุคคล ในขณะที่ Kayak ก็เป็น metasearch อีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

แอปจองที่พัก Last Minute

Lastminute.com เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ยอดนิยมสำหรับนักเดินทางที่ต้องการจองห้องพักข้อเสนอที่ดีแบบเรียลไทม์ในนาทีสุดท้าย

HotelTonight ก็เป็นแอปยอดฮิตสำหรับใช้จองที่พักในนาทีสุดท้ายเช่นกัน ในขณะที่ Hotwire อาจเป็นที่นิยมน้อยกว่าแต่ก็ให้ข้อเสนอพิเศษนาทีสุดท้ายด้วย

แอปจองโรงแรม RedDoorz

RedDoorz เป็นแอปจองโรงแรมยอดนิยมสำหรับภูมิภาคเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์

สมาชิกของ RedDoorz สามารถเพลิดเพลินไปกับข้อเสนอและดีลต่าง ๆ ได้มากมาย ทางโรงแรมที่เข้าร่วมกับแพลตฟอร์มนี้ก็สามารถเข้าถึงนักเดินทางที่มีความตั้งใจและแรงจูงใจในการค้นหาที่พักในภูมิภาคเหล่านี้

Hotel Booking App

แอปท่องเที่ยวที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจโรงแรม

แล้วโรงแรมของคุณควรโปรโมทลงบนแอปท่องเที่ยวสำหรับจองที่พักแพลตฟอร์มไหนดี? อย่างที่รู้กันดีช่องทางการจองโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก – แน่นอนว่าเราหมายถึง Booking.com และ Expedia

อย่างไรก็ตาม ช่องทางเฉพาะกลุ่ม อย่าง Airbnb, Mr and Mrs Smith, หรือ Lastminute.com  ก็สามารถเพิ่มโอกาสการจองและรายได้ได้เช่นกัน

และคุณควรพิจารณาตัวชี้วัดสำคัญเพื่อติดตามผลการทำงานของแต่ละแพลตฟอร์มที่ลิสต์รายชื่อไว้ เช่น ช่องทางไหนที่มีอัตราการยกเลิกมากที่สุดหรือมีระยะการเข้าพักนานที่สุด เป็นต้น 

แอปจองที่พักที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ขอบคุณข้อมูลจาก Hotel Booking Trends ของ SiteMinder ที่ทำให้เราทราบว่าแอปจองที่พักที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกมีอะไรบ้าง

หากเรามองว่าการสร้างรายได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจ นี่คือแอปจองโรงแรมที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมในอเมริกาที่ควรพิจารณา:

  • Booking.com
  • Expedia
  • Agoda
  • Airbnb
  • Hotelbeds
  • HotelTonight
  • Hostelworld Group
  • Webbeds
  • Hopper
  • HotelsCombined

หมายเหตุ: การจองโรงแรมโดยตรง (ผ่านเว็บไซต์โรงแรม) สามารถสร้างรายได้มากเป็นอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ Global Distribution System (GDS) อยู่อันดับที่ 5

แอปจองที่พักที่ดีที่สุดในยุโรป

จากแหล่งข้อมูลเดียวกัน เราสามารถทราบถึงแอปจองที่พักที่ดีที่สุดในยุรโรปได้เช่นกัน

และนี่คือตัวอย่างแอปจองที่พักจาก 5 สถานที่ยอดนิยมในยุโรป:

  • อังกฤษ  – Booking.com, Expedia, Hotelbeds, Agoda, Trip.com
  • สเปน – Booking.com, Expedia, Hotelbeds, Jet2holidays, World 2 Meet
  • อิตาลี – Booking.com, Expedia, Hotelbeds, Hostelworld Group, Agoda
  • เยอรมัน – Booking.com, Expedia, HRS, Hotelbeds, Hostelworld Group
  • ฝรั่งเศส – Booking.com, Expedia, Hotelbeds, Agoda, Hostelworld Group

จะเห็นได้ว่ามีตลาดหลายช่องทางในยุโรป และแอปจองที่พักที่ดีที่สุดก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ

ยกตัวอย่างเช่น ทางสหราชอาณาจักรดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ Trip.com เป็นช่องทางจองที่พักที่โดดเด่น

แอปจองที่พักที่ดีที่สุด

แอปพลิเคชันจองโรงแรมที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับคำนิยามที่คุณกำหนดไว้ เพราะสามารถตีความได้หลายรูปแบบทั้งในแง่ของนักท่องเที่ยวและภาคส่วนธุรกิจโรงแรม

สำหรับโรงแรมที่กำลังมองหาแอปพลิเคชันช่วยจัดการการจองห้องพัก มีตัวเลือกหลากหลายในตลาดปัจจุบัน

ตัวเลือกระบบจัดการห้องพักที่นิยม เช่น Little Hotelier, Cloudbeds, Preno, WebRezPro, และ Hostaway และอื่น ๆ

Little Hotelier ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับโรงแรมและที่พักขนาดเล็ก และด้วยโซลูชันแบบครบวงจรที่มาพร้อมระบบบริการจัดการโรงแรม ระบบจัดการช่องทางการขาย ระบบจองห้องพัก และอื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีแอปมือถือเพื่อให้ผู้ให้บริการสามารถจัดการการจองได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย

เช่นเดียวกับ SiteMinder ที่ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับโรงแรมและที่พักที่บริหารจัดการอย่างอิสระและโรงแรมขนาดใหญ่ ด้วยระบบจัดการช่องทางการขายและระบบการจองชั้นนำ สามารถช่วยให้เจ้าของกิจการโรงแรมมีอัตราการจองเพิ่มมากขึ้นได้ และมีแอปมือถือเพื่อยกระดับความสะดวกสบายในการใช้งานแพลตฟอร์มเช่นกัน

แอปจองที่พักของโรงแรมโดยตรง

แอปพลิเคชัน Omni 

แอปพลิเคชัน Omni เป็นแอปจองโรงแรมที่สร้างโดยโรงแรม Omni ระบบจะช่วยให้เจ้าของโรงแรมสามารถบริหารการทำความสะอาดห้องพักได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ที่ดี โดยใช้ข้อมูลและการสื่อสารแบบเรียลไทม์

แอปพลิเคชัน Choice 

แอปจองโรงแรม Choice เป็นแอปที่สร้างโดยโรงแรม Choice ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถค้นหาและจองห้องพักในโรงแรม Choice ได้ง่าย ๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ แขกยังสามารถจัดการรายการจองและรับของรางวัลได้ด้วย หากสมัครเป็นสมาชิกของทางโรงแรม

แอปพลิเคชัน Hilton 

แอปโรงแรม Hilton หรือ Hilton Honors App เป็นแอปพลิเคชันของโรงแรม Hilton ที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวและแขกสามารถจองห้องพัก ค้นหาสถานที่และรับรางวัลได้ในแอปเดียว

แอปพลิเคชัน Sheraton 

แอปพลิเคชันของโรงแรม Sheraton จริง ๆ ก็คือแอป Marriott Bonvoy เพราะ Marriott เป็นเจ้าของโรงแรม Sheraton นั่นเอง โดยแอปนี้จะช่วยให้แขกสามารถจองห้องพัก มอบกุญแจห้องพักผ่านระบบบนโทรศัพท์มือถือ ปลดล็อกการสนทนาแบบเรียลไทม์สำหรับการช่วยเหลือและคำขอเพิ่มเติม อีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้อีกด้วย

แอปพลิเคชัน Westin

เช่นเดียวกับ Sheraton แอปโรงแรม Westin เป็นส่วนหนึ่งของแอป Marriott Bonvoy เนื่องจากมีหลายแบรนด์ที่อยู่ภายใต้ Marriott ซึ่งรวมถึง Westin ด้วยเช่นกัน ในส่วนของแอปพลิเคชันนี้ แขกสามารถรับรางวัลและส่วนลดจากแบรนด์ภายใต้การดูแลของ Marriott ได้

แอปพลิเคชัน Radisson 

แอปพลิเคชัน Radisson เป็นแอปของโรงแรม Radisson โดยจะมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิก เช่น ส่วนลด และข้อเสนอเพิ่มเติมอื่น ๆ โดยที่แขกสามารถจองห้องพักของโรงแรมได้ทั่วภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นยุโรป แอฟริกา ภาคตะวันออกกลาง และเอเชียแปซิฟิก.

]]>
แบรนด์โรงแรม: สุดยอดคู่มือสู่เครือโรงแรมชั้นนำ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-brands/ Mon, 26 Feb 2024 01:12:01 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/hotel-brands/ แบรนด์โรงแรมคืออะไร?

แบรนด์โรงแรมคือการสร้างตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเครือโรงแรมหรือบรรดาโรงแรมที่ไม่เหมือนใคร เป็นการสร้างความโดดเด่นในตลาด เช่นเหล่าแบรนด์ชั้นนำของโลก กลุ่มโรงแรมไฮเอนด์ เช่น Marriott, Hilton, IHG, Hyatt, Wyndham, Accor, Choice Hotels และ Best Western

แบรนด์โรงแรมชั้นนำแสดงถึงการผสมผสานของการบริการ กับการตกแต่ง รวมถึงประสบการณ์ที่เหมาะสมกับแขกประเภทต่าง ๆ เช่น ผู้ที่ต้องการความหรูหรา หรือ นักท่องเที่ยวที่มีงบจำกัด แบรนด์เหล่านี้จะสร้างภาพจำทำให้โรงแรมดึงดูดลูกค้าประจำ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ และแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมการบริการที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกแบรนด์โรงแรมจะมีระดับการรับรู้แบรนด์ มูลค่า หรือความโดดเด่นเท่ากัน บางแบรนด์ได้กลายเป็นที่รู้จักกันดี มีชื่อเสียงในด้านการบริการที่ยอดเยี่ยม การตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ และคุณภาพเหมือนกับทั่วทุกแห่ง แบรนด์โรงแรมเหล่านี้มักจะมีราคาที่สูงกว่าทั่วไปและมีลูกค้าประจำที่รักในแบรนด์ ส่วนแบรนด์ที่มีชื่อเสียงน้อยกว่าหรือแบรนด์ใหม่ๆ อาจต้องใช้ความพยายามปั้นแบรนด์ แข่งขันด้วยราคาที่ถูกกว่า หรือจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดแขกเข้าพัก

มูลค่าและความโดดเด่นของแบรนด์โรงแรมสามารถส่งผลอย่างมากต่อจุดยืนในตลาดและการรับรู้ของลูกค้า ทำให้การพัฒนาและการจัดการแบรนด์เป็นองค์ประกอบสำคัญของการดำเนินงานโรงแรม

สารบัญ

ทำไมถึงต้องปั้นแบรนด์เหมือนเครือโรงแรมหรู?

ในอุตสาหกรรมการบริการ เราควรมองหาตัวอย่างจากสิ่งที่ดีที่สุด แม้กระทั่งจากเหล่าบรรดาคู่แข่ง ก็ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการประสบความสำเร็จ มีคำพูดเก่าแก่ว่า นักเขียนที่ดีจะหยิบยืม แต่นักเขียนที่ยอดเยี่ยมจะขโมย หมายความว่าคุณไม่ควรกลัวที่จะหาแรงบันดาลใจจากความเป็นเลิศรอบตัวคุณ หรืออย่าไปกลัวที่จะคัดลอกสิ่งที่เรารู้ว่ามันได้ผล การสังเกตและบวกกับการรักษามาตรฐานต่างๆที่สูง สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครที่เครือโรงแรมหรูมอบให้ สามารถช่วยยกระดับการให้บริการของโรงแรมคุณได้

อย่างไรก็ตาม การลอกเลียนไปซะหมดทุกอย่างไม่ได้เป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างแบรนด์โรงแรมที่เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำ กุญแจสำคัญอยู่ที่การนำองค์ประกอบต่างๆมาตีความใหม่และต่อยอดในวิธีที่สอดคล้องกับความเป็นตัวเอง มีเอกลักษณ์และสร้างคุณค่าของแบรนด์คุณเอง วิธีนี้จะช่วยให้คุณผสมผสานแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจากโรงแรมชั้นนำกับสไตล์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำให้โรงแรมของคุณแตกต่างและสร้างประสบการณ์ที่เหนือชั้นสำหรับลูกค้า

Reach your full brand potential with SiteMinder

Building a global brand takes more than just hard work - it takes the right technology. Discover how SiteMinder can optimise your operations, boost your revenue, and cut unnecessary admin.

Learn more

แบรนด์โรงแรมชั้นนำ: เครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ตอนนี้คุณคงทราบแล้วว่าอะไรที่ส่งผลทำให้โรงแรมประสบความสำเร็จ แต่เครือโรงแรมใดบ้างล่ะ? ที่เป็นตัวอย่างของความยิ่งใหญ่ ด้านล่างนี้คือเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จสูงสุดซึ่งเราสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจได้

แบรนด์โรงแรม Marriott

Marriott International มีเครือข่ายที่กว้างขวางกว่า 3,700 แห่งทั่วโลก รองรับนักเดินทางหลากหลายประเภท ตั้งแต่ผู้ที่ต้องการความหรูหราไปจนถึงผู้ที่มีงบจำกัด ความมุ่งมั่นของบริษัทในด้านคุณภาพสุดพิเศษ รวมถึงความพึงพอใจของแขกได้ทำให้บริษัทมีสถานะที่มั่นคงในอุตสาหกรรมการบริการ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางทั้งในแบบพักผ่อนและธุรกิจ

ใครเป็นเจ้าของ Marriott?

Marriott International, Inc. เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์โรงแรม Marriott ซึ่งเป็นบริษัทที่พักชั้นนำระดับโลก โดยครอบคลุมแบรนด์โรงแรมหลากหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

Marriott ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Marriott ก่อตั้งโดย J. Willard และ Alice Marriott ในปี 1927 โดยบริษัทเริ่มต้นจากร้านขายรูทเบียร์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่เป็นส่วนหนึ่งของ Marriott?

บริษัท Marriott International เป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมต่างๆ มากมาย โดยแต่ละแบรนด์ออกแบบมาเพื่อนักเดินทางประเภทต่างๆ แบรนด์หลักๆ ได้แก่:

  • Marriott Hotels & Resorts: แบรนด์โรงแรมที่ทำรายได้หลักของ Marriott International เป็นที่รู้จักในเรื่องการบริการรูปแบบพิเศษในกลุ่มโรงแรมระดับระดับไฮเอนด์
  • The Ritz-Carlton: แบรนด์หรูซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Marriott มีชื่อเสียงในเรื่องความหรูหราอันประณีตและการบริการแบบเฉพาะบุคคล
  • Residence Inn by Marriott: แบรนด์ที่ให้บริการที่พักสำหรับการเข้าพักระยะยาวพร้อมห้องสวีตที่กว้างขวางและสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนอยู่บ้าน
  • Sheraton Hotels & Resorts: หลังจากที่ Marriott International เข้าซื้อกิจการ ทางแบรนด์โรงแรม Sheraton ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งธุรกิจการต้อนรับระดับโลกซึ่งมีสาขาอยู่ในเมืองใหญ่ๆ และรีสอร์ทต่างๆ
  • Westin Hotels & Resorts: Westin ก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Marriott เป็นที่รู้จักในเรื่องโครงการส่งเสริมสุขภาพ รวมถึง Heavenly Bed อันเป็นเอกลักษณ์และโปรแกรมออกกำลังกาย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแบรนด์โรงแรม Marriott

  • Hyatt เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Hyatt เป็นแบรนด์โรงแรมอิสระและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Marriott International
  • Wyndham เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Wyndham เป็นแบรนด์โรงแรมอิสระและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Marriott International
  • Hilton เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Hilton เป็นแบรนด์โรงแรมอิสระและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Marriott International
  • Hampton Inn เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Hampton Inn เป็นโรงแรมในเครือ Hilton
  • Omni เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Omni Hotels & Resorts เป็นโรงแรมที่ไม่ได้อยู่ในเครือใดๆ
  • Four Seasons เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Four Seasons ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ Marriott International
  • Intercontinental เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางกลุ่มโรงแรม InterContinental ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเครือ Marriott ซึ่งแบรนด์โรงแรม InterContinental ก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว เช่นเดียวกับ Holiday Inn
  • Waldorf Astoria เป็นโรงแรมในเครือ Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ ทางโรงแรม Waldorf Astoria อยู่ในเครือ Hilton ทั่วโลก แต่ไม่ใช่เครือ Marriott International

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Marriott Bonvoy

hotel brands: marriot bonvoy
แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Marriott Bonvoy

แบรนด์โรงแรม Hilton

Hilton Worldwide ครอบคลุมที่พักกว่า 4,800 แห่งทั่วโลก มีตัวเลือกที่พักหลากหลายตั้งแต่ที่พักหรูหราไปจนถึงที่พักในราคาที่เข้าถึงได้ บริษัทมีชื่อเสียงในด้านบริการต้อนรับที่พิเศษ การบริการแขก และโปรแกรมสะสมคะแนน เช่น ระบบฮิลตัน ออนเนอร์ส(Hilton Honors) ด้วยเครือโรงแรมของแบรนด์มากมาย Hilton ยังคงเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับนักเดินทางทั่วโลก เนื่องจากสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและบริการที่เป็นเลิศ

เจ้าของแบรนด์โรงแรม Hilton คือใคร?

บริษัท Hilton Worldwide Holdings Inc. หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Hilton เป็นบริษัทข้ามชาติด้านการบริการในอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารจัดการโรงแรมและรีสอร์ทมากมาย

แบรนด์โรงแรม Hilton ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Hilton ก่อตั้งโดยคอนราด ฮิลตัน ในปี 1919 ด้วยการซื้อโรงแรมแห่งแรกในเมืองซิสโก้ รัฐเท็กซัส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โรงแรม Hilton ก็เติบโตขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำด้านการบริการระดับโลก

โรงแรมแบรนด์ใดบ้างที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Hilton?

กลุ่มโรงแรม Hilton เป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมมากมายซึ่งจัดแยกไว้ตามกลุ่มตลาดต่างๆ ดังนี้ เช่น:

  • Hilton Hotels & Resorts: แบรนด์โรงแรมอันเลื่องชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความมุ่งมั่นในการต้อนรับสุดพิเศษ
  • Waldorf Astoria Hotels & Resorts: แบรนด์หรูที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษในจุดหมายปลายทางสุดไอคอนิค
  • Hampton by Hilton: มุ่งเน้นมาตรฐานคุณภาพของที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
  • Holiday Inn: ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแบรนด์โรงแรม Hilton แต่เป็นแบรนด์ภายใต้ InterContinental Hotels Group (IHG)
  • Sheraton Hotels & Resorts: แบรนด์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรงแรม Marriott International ไม่ใช่ Hilton 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแบรนด์โรงแรม Hilton

  • Holiday Inn เป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Hilton ใช่ไหม? ไม่ใช่ Hyatt ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเครือ Hilton แต่อยู่ภายใต้เครือ InterContinental Hotels Group (IHG)
  • Sheraton เป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Hilton ใช่ไหม? ไม่ใช่ แบรนด์โรงแรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Marriott International ไม่ใช่ของ Hilton 
  • Hyatt เป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Hilton ใช่ไหม? ไม่ใช่ Hyatt เป็นบริษัทที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Hilton
  • Staybridge Suites เป็นส่วนหนึ่งของเครือโรงแรม Hilton ใช่ไหม? ไม่ใช่ Staybridge เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มแบรนด์ IHG ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Hilton
  • Hilton กับ Marriott เป็นเครือเดียวกันใช่ไหม? ไม่ใช่ เป็นคนละแบรนด์โรงแรม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือโรงแรม Hilton

Hotel brands under the Hilton hotel chain
แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือโรงแรม Hilton

แบรนด์โรงแรม IHG

IHG มีโรงแรมมากกว่า 5,900 แห่งทั่วโลก มีตัวเลือกที่พักมากมาย ทั้งรีสอร์ท InterContinental สุดหรู รวมถึงที่พักอันสะดวกสบายของ Holiday Inn Express บริษัทมีชื่อเสียงในด้านความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ ไม่เหมือนใคร และความพึงพอใจของแขก ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการบริการระดับโลก

เจ้าของแบรนด์โรงแรม IHG คือใคร?

InterContinental Hotels Group (IHG) เป็นบริษัทระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่สหราชอาณาจักร โดยเป็นเจ้าของและดำเนินงานแบรนด์โรงแรมหลากหลายแห่งทั่วโลก

แบรนด์โรงแรม IHG ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

IHG ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2003 แต่รากฐานของแบรนด์โรงแรมเริ่มขึ้นในปี 1777 แต่เดิมคือ Bass Brewery ซึ่งต่อมาได้ขยายไปสู่ธุรกิจการบริการ และเข้าซื้อแบรนด์ InterContinental ในปี 1988

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ IHG?

แบรนด์โรงแรมในเครือ IHG มีมากมายหลายแบรนด์ ซึ่งปรับให้ตรงตามความต้องการและความชอบของแขกเข้าพักหลากหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • InterContinental Hotels & Resorts: แบรนด์หลักสุดหรูที่ขึ้นชื่อในด้านบริการระดับโลกและทำเลที่ตั้งสุดพิเศษ
  • Holiday Inn: หนึ่งในแบรนด์โรงแรมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดทั่วโลก ให้บริการที่เป็นมิตรและไว้ใจได้สำหรับครอบครัวและนักเดินทางเพื่อธุรกิจ
  • Crowne Plaza Hotels & Resorts: เหมาะสำหรับนักธุรกิจและการประชุม โดยให้บริการระดับพรีเมียมในใจกลางเมืองใหญ่ๆ
  • Hotel Indigo: เครือบูทีคโฮเทลที่มีสไตล์การตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแบรนด์โรงแรม IHG

  • IHG กับ Hilton เป็นเครือเดียวกันใช่ไหม? ไม่ใช่ บริษัท IHG เป็นคนละเครือกับ Hilton โดย IHG บริหารแบรนด์โรงแรมมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮิลตัน
  • IHG ย่อมาจากอะไร? IHG ย่อมาจาก InterContinental Hotels Group ซึ่งสะท้อนถึงแบรนด์หลักและบ่งบอกถึงจุดยืนในระดับโลกด้านอุตสาหกรรมการบริการ 

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือโรงแรม IHG

IHG hotel brand

แบรนด์โรงแรม Hyatt

Hyatt มีชื่อเสียงในด้านบริการต้อนรับรูปแบบใหม่ โดยเน้นการบริการที่รอบคอบและเอาใจใส่ ด้วยโรงแรมกว่า 1,000 แห่งใน 68 ประเทศ Hyatt ยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมอบประสบการณ์ที่หลากหลายตั้งแต่รีสอร์ทหรูไปจนถึงโรงแรมในเมืองที่สะดวกสบาย ความทุ่มเทของบริษัทในการสร้างความพึงพอใจและความภักดีของแขก สะท้อนจากการมีโปรแกรม World of Hyatt ซึ่งตอบแทนนักเดินทางบ่อยครั้งด้วยสิทธิประโยชน์และประสบการณ์สุดพิเศษ

เจ้าของแบรนด์โรงแรม Hyatt คือใคร?

บริษัท Hyatt Hotels Corporation ทำเกี่ยวกับงานบริการในหลายประเทศจากสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าของและบริหารจัดการกลุ่มแบรนด์ Hyatt ครอบครัว Pritzker มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของบริษัท โดยมี Thomas Pritzker ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร

แบรนด์โรงแรม Hyatt ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Hyatt ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 โดย Jay Pritzker เมื่อเขาซื้อโมเทล Hyatt House ใกล้กับสนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Hyatt ก็เติบโตขึ้นเป็นแบรนด์การบริการระดับโลกซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความมุ่งมั่นในการให้บริการและการดูแลแขกอย่างใส่ใจ

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ Hyatt?

โรงแรมในเครือแบรนด์ Hyatt เจาะตลาดหลายกลุ่ม ดังนี้:

  • Park Hyatt: แบรนด์หรู แนวที่พักที่หรูหราและไฮเอนด์ พร้อมบริการส่วนตัว
  • Hyatt Regency: แบรนด์หลักในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Hyatt ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นยอดสำหรับนักธุรกิจและนักเดินทางเพื่อการพักผ่อน
  • Andaz: คอลเลกชันโรงแรมหรูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบูทีคโฮเทล สะท้อนถึงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโลเคชั่น
  • Hyatt Place and Hyatt House: แบรนด์ที่ออกแบบมาเพื่อการต้อนรับแบบเป็นกันเองและความต้องการเข้าพักระยะยาว โดยมอบความสะดวกสบายที่ทันสมัย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแบรนด์โรงแรม Hyatt

  • Hyatt อยู่ในเครือโรงแรม Hilton ใช่ไหม? ไม่ใช่ โรงแรม Hyatt เป็นแบรนด์โรงแรมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงแรม Hilton
  • Hyatt อยู่ในเครือโรงแรม Marriott ใช่ไหม? ไม่ใช่ โรงแรม Hyatt ไม่ได้อยู่ในเครือ Marriott แต่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งกันด้วยซ้ำ
  • Hyatt อยู่ในเครือโรงแรม Bonvoy ใช่ไหม? Bonvoy เป็นโปรแกรมสะสมคะแนนของ Marriott International และ Hyatt มีโปรแกรมสะสมคะแนนของตัวเอง World of Hyatt ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Bonvoy

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Hyatt

Hotel brands under the Hyatt hotel chain
แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Hyatt

แบรนด์โรงแรม Wyndham

ด้วยโรงแรมมากกว่า 9,000 แห่งในกว่า 80 ประเทศ เครือโรงแรม Wyndham Hotels & Resorts มีโรงแรมในเครือมากมายและหลากหลายซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางทุกประเภท ตั้งแต่ที่พักหรูหราไปจนถึงห้องพักราคาประหยัด แบรนด์ Wyndham รวมตัวกันด้วยความมุ่งมั่นที่จะมอบบริการและความคุ้มค่าเหนือใคร เป้าหมายสำคัญของบริษัทคือลูกค้ารู้สึกเข้าถึงได้และได้รับความพึงพอใจ ทำให้บริษัทมีชื่อเสียงในด้านการบริการที่น่าเชื่อถือ โดยมอบประสบการณ์ที่ตอบสนองความต้องการในรูปแบบการเดินทางที่หลากหลาย

เจ้าของแบรนด์โรงแรม Wyndham คือใคร?

Wyndham Hotels & Resorts คือเครือโรงแรมและรีสอร์ทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองพาร์ซิพพานี รัฐนิวเจอร์ซีย์ เป็นหนึ่งในแฟรนไชส์โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นบริษัทจัดการโรงแรมชั้นนำ

โรงแรม Wyndham ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Wyndham Hotels & Resorts ก่อตั้งขึ้นในปี 1981 โดย Trammell Crow ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้พัฒนาไปสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านการต้อนรับระดับโลกโดยมีแบรนด์โรงแรมในเครือมากมาย

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ Wyndham?

มีหลายโรงแรมในเครือ Wyndham ซึ่งให้บริการแก่นักเดินทางหลายหลายกลุ่ม รวมถึงหลากหลายตัวเลือกราคา ดังนี้:

  • Wyndham Grand: กลุ่มโรงแรมที่โดดเด่นในเรื่องการสร้างประสบการณ์ชั้นเลิศในโลเคชั่นสุดเลิศ
  • Ramada by Wyndham: แบรนด์โรงแรมข้ามชาติขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในเรื่องการให้บริการที่พักคุณภาพสูงและบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
  • Days Inn by Wyndham: ตัวเลือกที่พักราคาไม่แพงโดยเน้นที่ความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย 
  • La Quinta by Wyndham: ขึ้นชื่อในเรื่องที่พักสว่าง สดใส ให้ความเป็นกันเอง และบริการที่เป็นมิตรในราคาที่คุ้มค่า
  • Super 8 by Wyndham: เครือโรงแรมราคาประหยัดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานและที่พักสะดวกสบาย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแบรนด์ Wyndham Hotels and Resorts

  • Wyndham เป็นส่วนหนึ่งในเครือ Marriott หรือเปล่า? ไม่ใช่ โรงแรม Wyndham ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Hilton หรือ Marriott International

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Wyndham Hotels and Resorts

Brands under the Wyndham Hotels and Resorts chain
แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Wyndham Hotels and Resorts

แบรนด์โรงแรม Accor

การดำเนินงานทั่วโลกของ Accor ครอบคลุมกว่า 110 ประเทศ ด้วยที่พักมากกว่า 5,100 แห่ง ทำให้ Accor กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการ บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์การต้อนรับ ความยั่งยืน และมอบประสบการณ์ให้กับแขกที่ยอดเยี่ยม ต้องการให้ทุกการเข้าพักเป็นประสบการณ์อันน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทหรูไปจนถึงโรงแรมราคาประหยัด โรงแรมในเครือของ Accor ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทางทุกคน ทำให้เป็นตัวเลือกสำหรับประสบการณ์การเดินทางที่หลากหลายทั่วโลก

เจ้าของ Accor คือใคร?

Accor คือบริษัทด้านการบริการข้ามชาติสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าของ บริหารจัดการ และทำแฟรนไชส์โรงแรม รีสอร์ท และที่พักสำหรับวันหยุดพักผ่อน เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำของโลกและใหญ่ที่สุดในยุโรป

Accor ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Accor ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 โดย Paul Dubrule และ Gérard Pélisson ที่เปิดโรงแรม Novotel แห่งแรกในเมือง Lille ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมการบริการ

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ Accor?

เครือโรงแรมของ Accor ประกอบด้วยแบรนด์โรงแรมต่างๆ มากมายเจาะกลุ่มลูกค้าหลายกลุ่ม ทั้งที่พักหรูหราไปจนถึงที่พักราคาประหยัด เช่น:

  • Sofitel: แบรนด์โรงแรมหรูชั้นนำของ Accor ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการผสมผสานระหว่างความสง่างามแบบฝรั่งเศสและวัฒนธรรมท้องถิ่น
  • Pullman: เจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจด้วยที่พักสุดหรูและห้องประชุม
  • Novotel: แบรนด์โรงแรมระดับกลาง ที่พักทันสมัยและเรียบง่ายสำหรับทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว
  • Ibis: แบรนด์โรงแรมราคาประหยัดที่มีชื่อเสียงที่ให้บริการที่พักที่สะดวกสบายและราคาไม่แพงพร้อมมาตรฐานคุณภาพที่สม่ำเสมอ
  • Raffles: มอบประสบการณ์ไฮเอนด์และใส่ใจ โรงแรมมีเสน่ห์ในแง่ของการบริการที่เป็นเลิศและความหรูหรา
  • Fairmont: มีชื่อเสียงในด้านโรงแรมอันโอ่อ่าและโดดเด่น ซึ่งมอบประสบการณ์แปลกใหม่และความทรงจำอันไร้กาลเวลาแก่ลูกค้าที่เข้าพัก

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือโรงแรม Accor

Accor hotel brand

แบรนด์โรงแรม Choice Hotels

Choice Hotels International บริหารโรงแรมมากกว่า 7,000 แห่งใน 40 ประเทศและเขตแดน เน้นบริการให้คุณค่า คุณภาพ และบริการที่เป็นเลิศ Choice Hotels ตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับหรู โปรแกรมสมาชิก Choice Privileges ที่ได้รับรางวัลของบริษัท มอบสิทธิประโยชน์และผลตอบแทนแก่สมาชิกทั่วทั้งเครือข่ายที่พักมากมาย ยกระดับประสบการณ์ของแขกและเสริมสร้างความภักดีในหมู่นักเดินทาง

เจ้าของ Choice Hotels คือใคร?

Choice Hotels International, Inc. เป็นบริษัทโฮลดิ้งด้านการบริการในอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของและแฟรนไชส์โรงแรมหลายแบรนด์ เป็นหนึ่งในบริษัทที่พักที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

Choice Hotels ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Choice Hotels เกิดจากการควบรวมกิจการของเจ้าของโมเทล 7 รายในปี 1939 เพื่อก่อตั้ง Quality Courts United ซึ่งถือเป็นเครือโรงแรมแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา บริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Choice Hotels International ในปี 1990

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ Choice Hotels? 

Choice Hotels มีโรงแรมในเครือที่หลากหลายเพื่อรองรับนักเดินทางหลากหลายประเภท ดังนี้:

  • Comfort Inn and Comfort Suites: โรงแรมระดับกลางขึ้นชื่อในเรื่องที่พักสุดอบอุ่นและน่าดึงดูดใจและคุ้มค่าคุ้มราคา โรงแรม Comfort Inn เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Choice Hotels ซึ่ง Choice Hotels International เป็นเจ้าของและแฟรนไชส์โดยตรง
  • Quality Inn: ที่พักราคาประหยัดพร้อมบริการอย่างแท้จริง ดึงดูดทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว
  • Sleep Inn: ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการอันน่าอภิรมย์ด้วยห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยในราคาที่คุ้มค่า
  • Clarion: มุ่งเป้าไปที่นักเดินทางที่กำลังมองหาสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงพื้นที่จัดประชุมและจัดเลี้ยงในโรงแรมระดับกลาง
  • Econo Lodge: หนึ่งในชื่อที่รู้จักกันดีในโรงแรมราคาประหยัด ให้บริการห้องพักเรียบง่ายในราคาที่สบายกระเป๋า
  • Cambria Hotels: เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงแรมหรูภายใต้เครือ Choice Hotels แนวที่พักสไตล์คอนเทมโพรารี่ที่ได้รับแรงบันดาลใจในแต่ละท้องถิ่น

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือ Choice Hotels

Choice hotel brand

แบรนด์โรงแรม Best Western

Best Western Hotels & Resorts ดำเนินกิจการในกว่า 100 ประเทศและเขตแดนทั่วโลก โดยมีโรงแรมมากกว่า 4,700 แห่งภายใต้แบรนด์ บริษัทมีชื่อเสียงในด้านความมุ่งมั่นในเรื่องที่พักที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศในราคาที่คุ้มค่า โปรแกรมสะสมคะแนนที่ได้รับรางวัลของ Best Western อย่าง Best Western Rewards ให้คะแนนสมาชิกแบบไม่มีวันหมดอายุ และสามารถใช้เป็นคืนการเข้าพักฟรี บัตรของขวัญ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยแบรนด์โรงแรมในเครือมากมาย Best Western จึงตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางที่หลากหลาย ตั้งแต่การเข้าพักราคาประหยัดไปจนถึงการพักผ่อนที่หรูหรา เพื่อให้มั่นใจว่าการต้อนรับและบริการที่มีมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก

เจ้าของ Best Western คือใคร?

Best Western Hotels & Resorts เป็นแบรนด์โรงแรมเอกชนที่มีรูปแบบเมมเบอร์ชิพที่ไม่เหมือนใคร โดยโรงแรมแต่ละแห่งมีเจ้าของและดำเนินการอย่างอิสระโดยอยู่ในเครือเดียวกัน โครงสร้างนี้ทำให้เกิดกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็มีภาพลักษณ์ที่เป็นสากลและมาตรฐานระดับโลกของแบรนด์ Best Western

Best Western ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?

Best Western ก่อตั้งขึ้นในปี 1946 โดย M.K. Guertin เป็นระบบแนะนำระหว่างโรงแรมในแคลิฟอร์เนีย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แบรนด์ก็ได้ขยายไปทั่วโลก และกลายเป็นหนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แบรนด์โรงแรมใดบ้างที่อยู่ในเครือ Best Western?

โรงแรมที่อยู่ในเครือ Best Western ทำการพัฒนา และประกอบไปด้วยแบรนด์ต่างๆมากมาย ที่ได้รับการปรับให้ตรงกับกลุ่มตลาดหลากหลายประเภท ได้แก่:

  • Best Western: แบรนด์หลักที่มีที่พักที่สะดวกสบายและมีคุณภาพสำหรับนักเดินทางเพื่อการพักผ่อนและเพื่อธุรกิจ
  • Best Western Plus: มอบความสะดวกสบายและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้เข้าพักที่มองหาสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมระหว่างการเข้าพัก
  • Best Western Premier: มุ่งเป้าไปที่ตลาดระดับบนด้วยบริการจากโรงแรมที่พิเศษขึ้นมาหน่อยโรงแรมตกแต่งอย่างมีสไตล์ และให้บริการแขกสุดพรีเมี่ยม
  • Vib: คอนเซปบูทีคโฮเทลในเมือง เน้นความสะดวกสบาย เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมทางสังคม 
  • GLŌ: แบรนด์บูทีคโฮเทลระดับกลาง ที่ออกแบบโดยเน้นดีไซน์ทันสมัย ​​เรียบหรู และมอบประสบการณ์ให้กับแขกที่ไม่เหมือนใคร
  • Executive Residency by Best Western: ที่พักระยะยาวพร้อมห้องพักกว้างขวางและมุมครัว ผสมผสานความสะดวกสบายของบริการแบบโรงแรมเข้ากับความสะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน 

แบรนด์โรงแรมภายใต้เครือโรงแรม Best Western

Best Western hotel brand

แบรนด์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง

ความต้องการที่พักที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงมีเพิ่มมากขึ้น โดยมีเครือโรงแรมจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการต้อนรับสมาชิกครอบครัวสี่ขา เมื่อเข้าใจถึงเทรนด์นี้ โรงแรมชั้นนำหลายแห่งจึงได้ก้าวขึ้นมาอีกครั้ง โดยนำเสนอบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสุดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อแขกที่เดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ

1. Kimpton Hotels

Kimpton Hotels ต้อนรับไม่เพียงแต่สุนัขและแมวเท่านั้น แต่ยังต้อนรับสัตว์เลี้ยงทุกชนิดโดยไม่คำนึงถึงขนาด น้ำหนัก หรือสายพันธุ์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โรงแรมแต่ละแห่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ที่นอน อาหาร ชามน้ำ และเสื่อ โดย Kimpton ยังเป็นเจ้าภาพเลี้ยงรับรองไวน์ทุกคืนซึ่งยินดีให้สัตว์เลี้ยงมาร่วมสนุก แนวทางนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อของทางโรงแรม ที่มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกที่สำคัญของครอบครัว และยินดีต้อนรับสัตว์เลี้ยงในระดับเดียวกับแขกที่เป็นมนุษย์

2. Best Western

Best Western เป็นอีกหนึ่งเครือโรงแรมที่พร้อมต้อนรับสัตว์เลี้ยง โดยมีโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงมากกว่า 1,600 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ โดยจะมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อยสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละโรงแรม โรงแรม Best Western มอบการเข้าพักที่สะดวกสบายสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยบางแห่งมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ขนม และอุปกรณ์กำจัดทิ้งเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงและเจ้าของจะเข้าพักอย่างสะดวกสบายและสนุกสนาน

3. Loews Hotels

Loews Hotels มีนโยบายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่สะดวกสบายผ่านโปรแกรม Loews Loves Pets มีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เมนูอาหารสำหรับแมวและสุนัขในห้องพักกูร์เมต์ ซึ่งจัดเตรียมโดยเชฟผู้บริหารของโรงแรม นอกจากนี้ยังมีเตียงสัตว์เลี้ยง ถังขยะ เสาลับเล็บ สายจูง และปลอกคออีกด้วย สัตว์เลี้ยงจะได้รับการต้อนรับด้วยแพ็คเกจต้อนรับซึ่งประกอบด้วยขนม ชาม และของเล่น เพื่อให้การเข้าพักของสัตว์เลี้ยงสะดวกสบายที่สุด

ตัวอย่างโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ได้แก่:

  • Radisson Hotels
  • Bonvoy
  • Hampton Inn
  • W Hotels
  • Crowne Plaza
  • Doubletree Hotels
  • Country Inn and Suites
  • Riu Hotels

เครือโรงแรมใดที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ฟรี?

มีโรงแรมบางแห่งที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมประกันสัตว์เลี้ยงหรือแนวๆนี้ แต่โรงแรมบางแห่งได้สร้างความแตกต่างในตลาดโดยการรวมค่าเข้าพักของสัตว์เลี้ยงไว้ในค่าเข้าพักของเจ้าของแล้ว ตัวอย่างเช่น โรงแรม Kimpton ที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงโรงแรม Aloft (อนุญาตให้สุนัขมีน้ำหนักไม่เกิน 40 ปอนด์เข้าพักได้ฟรี) และ Red Roof Inn (สัตว์เลี้ยงหนึ่งตัวต่อห้องที่เข้าพักฟรี)

สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นแบรนด์โรงแรมดีที่สุดในอุตสาหกรรมคืออะไร?

โรงแรมทุกแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ความมีเอกลักษณ์อย่างเดียว ไม่พอที่จะยกให้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุด แน่นอนว่าก็เป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์โรงแรมมีความโดดเด่นขึ้นมา แต่ไม่ว่าคุณเจาะตลาดกลุ่มเฉพาะกลุ่มใดก็ตาม มีแง่มุมบางอย่างที่เป็นกุญแจสำคัญในการเป็นแบรนด์โรงแรมที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม

1. การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

การบริการลูกค้าที่เป็นเลิศคือรากฐานสำคัญของแบรนด์โรงแรมชั้นนำ ซึ่งเปลี่ยนการเข้าพักธรรมดาๆ ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ โรงแรมที่ดีที่สุดลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของแบรนด์ ว่าต้องให้ความอบอุ่น ความเอาใจใส่ และความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพบปะกับแขกทุกคน ทำให้แขกรู้สึกมีพิเศษและเข้าถึง ทำให้ฟูมฟักความภักดีและการบอกปากต่อปากในเชิงบวก และสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง

2. ทำเลสุดยอด

ทำเลที่ตั้งเป็นจุดสำคัญของแบรนด์โรงแรมชั้นนำ ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าถึงและยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพักด้วยความสะดวกสบายและยอดเยี่ยม การตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ย่านธุรกิจ หรือภูมิทัศน์ทางธรรมชาติอันตระการตา หมายความว่าแขกจะได้สัมผัสโลกทั้งใบอยู่ใกล้แค่เอื้อม การวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในทางปฏิบัติของนักเดินทางเท่านั้น การเข้าถึงความสะดวกในการเดินทางและประสิทธิภาพด้านเวลา ทำให้แขกเข้าพักได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย

โรงแรมที่ดีที่สุดใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งเพื่อมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่ทิวทัศน์อันน่าทึ่งไปจนถึงการทำพาร์ทเนอร์ชิปในระดับท้องถิ่นสุดพิเศษ ทำให้การเข้าพักแต่ละครั้งไม่ใช่แค่การมาเยือนเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางไปในตัวอีกด้วย

3. Loyalty Program

Loyalty program เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นแบรนด์โรงแรมชั้นนำ การให้รางวัลแก่แขกที่กลับมาเข้าพักตลอดด้วยสิทธิประโยชน์และประสบการณ์สุดพิเศษมากมาย โปรแกรมเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความรู้สึกภักดีและรู้สึกขอบคุณ โดยมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น อัปเกรดห้องพัก การเช็คเอาท์เลท และราคาพิเศษสำหรับสมาชิกเท่านั้น

นอกเหนือจากรางวัลที่จับต้องได้ โครงการสมาชิกที่ดีที่สุดยังสร้างชุมชน เชิญชวนแขกให้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนอกเหนือจากการเข้าพักของพวกเขา โรงแรมชั้นนำใช้ประโยชน์จากการดูแลแบบใกล้ชิด ตระหนักถึงความต้องการของแต่ละบุคคล และร่วมฉลองเหตุการณ์สำคัญ เพื่อทำให้รู้เกิดความรู้สึกแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้วยการลงทุนในโปรแกรมสะสมคะแนน โรงแรมไม่เพียงแต่ส่งเสริมการทำธุรกิจซ้ำ แต่ยังเปลี่ยนแขกที่พึงพอใจให้กลายเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ขยายชื่อเสียงของโรงแรมผ่านการแนะนำเชิงบวกแบบปากต่อปาก

4. นวัตกรรมเทคโนโลยี

เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมทำให้แบรนด์โรงแรมชั้นนำแตกต่าง มอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและทันสมัยแก่แขกตั้งแต่การจองไปจนถึงการเช็คเอาท์ โรงแรมเหล่านี้ผสานรวมโซลูชันที่ล้ำสมัย เช่น การเช็คอินผ่านมือถือ กุญแจห้องดิจิทัล และเทคโนโลยีในห้องพักส่วนบุคคล เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและตอบสนองนักเดินทาง

นอกเหนือจากความสะดวกสบายแล้ว เทคโนโลยียังถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพักด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อมของห้องพักที่ปรับแต่งได้และบริการเจ้าหน้าที่ดูแลแขกที่ขับเคลื่อนด้วย AI โรงแรมที่ดีที่สุดใช้เทคโนโลยีไม่เพียงแต่เพื่อประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะผ่านทัวร์เสมือนจริงของสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่นหรือแอพที่รวบรวมไกด์นำเที่ยวในเมืองแบบส่วนตัว ด้วยการเปิดรับนวัตกรรม แบรนด์โรงแรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความคาดหวังของแขกในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังคาดการณ์ความต้องการของวันพรุ่งนี้ด้วย ทำให้แขกต้องการกลับมาใช้บริการอีกครั้ง

5. แนวปฏิบัติที่ยั่งยืน

แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนกำลังกลายเป็นจุดเด่นของแบรนด์โรงแรมที่ดีที่สุดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม โรงแรมเหล่านี้ใช้แนวปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น แสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน ระบบอนุรักษ์น้ำ และโครงการลดของเสียเพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ

นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานแล้ว โรงแรมชั้นนำมักจะเลือกใช้วัสดุและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นดีไซน์และการสร้างภาพลักษณ์ เพื่อสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม แบรนด์ชั้นนำสื่อสารถึงความพยายามด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใส โดยให้แขกมีส่วนร่วมในพันธกิจ โดยเสนอทางเลือกต่างๆ เช่น โครงการนำผ้าปูที่นอนกลับมาใช้ใหม่ และการรับประทานอาหารจากท้องถิ่น

ด้วยการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับแกนหลักของการดำเนินงาน โรงแรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนกับนักเดินทางจำนวนมากขึ้นที่ให้ความสำคัญกับการเลือกที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีจริยธรรม

6. มีภาพลักษณ์อันยอดเยี่ยม

การมีชื่อเสียงที่ดีเป็นสินทรัพย์ที่ทรงพลังสำหรับแบรนด์โรงแรมชั้นนำ ซึ่งสร้างขึ้นจากรากฐานของคุณภาพที่สม่ำเสมอ การบริการที่เป็นเลิศ และประสบการณ์ที่น่าจดจำของแขก มันเป็นผลมาจากการวิจารณ์เชิงบวก ข้อเสนอแนะ และการกลับมาเข้าพักในทุกครั้ง ซึ่งถักทอเป็นโครงสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ โรงแรมชั้นนำลงทุนในการรักษามาตรฐานระดับสูงในทุกจุดสัมผัส ตั้งแต่ความเอาใจใส่ของพนักงานไปจนถึงความสะอาดของห้องพักและคุณภาพของการรับประทานอาหาร จัดการภาพลักษณ์แบรนด์บนโลกออนไลน์อย่างจริงจัง ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะ และมีส่วนร่วมกับแขกหลังจากการเข้าพักสิ้นสุดลง

ชื่อเสียงที่โดดเด่นไม่เพียงแต่ดึงดูดแขกใหม่เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความภักดีในหมู่แขกที่มีอยู่ สร้างวงจรแห่งประสบการณ์เชิงบวกและการบริการที่ดี ในอุตสาหกรรมการบริการที่มีการแข่งขันสูง ชื่อเสียงที่ดีทำให้เกิดความแตกต่าง จึงทำให้โรงแรมไม่ได้เพียงแค่เป็นตัวเลือกที่พักแต่เป็นจุดหมายปลายทางไปในตัว

7. การรับประทานอาหารและความบันเทิงคุณภาพสูง

การรับประทานอาหารและความบันเทิงคุณภาพสูงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้แบรนด์โรงแรมชั้นนำโดดเด่น โดยมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำให้กับแขกที่นอกเหนือไปจากห้องพักแล้ว โรงแรมเหล่านี้มีร้านอาหารกูร์เมต์ที่ดูแลโดยเชฟชื่อดัง แสดงถึงความเป็นเลิศด้านการทำอาหารด้วยเมนูนวัตกรรมใหม่และวัตถุดิบจากท้องถิ่น การรับประทานอาหารกลายเป็นกิจกรรมหนึ่ง โดยมีการจัดแต่งสถานที่หลายแบบหลายบรรยากาศ ทั้งแนวโรแมนติค หรือแนวยิ่งใหญ่โอ่อ่า อีกทั้งตัวเลือกความบันเทิงก็มีความหลากหลายไม่แพ้กัน ตั้งแต่ดนตรีสดและการแสดง ไปจนถึงกิจกรรมพิเศษ เพื่อให้แขกได้เข้าถึงประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์โดยไม่ต้องออกจากโรงแรม

ด้วยการให้บริการอาหารและความบันเทิงชั้นเลิศ แบรนด์โรงแรมชั้นนำจึงยกระดับประสบการณ์ของแขก เปลี่ยนการเข้าพักให้กลายเป็นการเดินทางที่น่าจดจำ

]]>
นักท่องเที่ยวจีน : กลยุทธ์ตลาดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน https://www.siteminder.com/th/r/chinese-travellers/ Fri, 09 Feb 2024 00:34:51 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/chinese-travellers/ นักท่องเที่ยวจีน คืออะไร?

นักท่องเที่ยวจีน คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนและเดินทางท่องเที่ยวภายในหรือภายนอกประเทศทั่วโลก เนื่องจากประชากรจำนวนมาก การเติบโตของชนชั้นกลาง และการเพิ่มขึ้นของจำนวนเงินคงเหลือ ทำให้คนกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลสำคัญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับสากล 

นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นที่รู้กันดีว่ามีความชอบและพฤติกรรมมรการเดินทางท่องเที่ยวที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงความนิยมในการใช้งานแพลตฟอร์มการจองผ่านโทรศัพท์มือถือ, ความชอบท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ และเน้นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและอาหารเป็นหลัก ในขณะที่บางกลุ่มก็ชื่นชอบสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาตร์ ความสวยงามท่ามกลางธรรมชาติ และที่พักพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบทันสมัย

สารบัญ

ความสำคัญของการดึงความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีน

ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ออกเดินทางจำนวนมากที่สุดในโลก เมื่อคุณเริ่มดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ไม่เพียงแค่เปิดประตูต้อนรับแขก 2-3 คนเท่านั้น แต่คุณกำลังเข้าถึงกลุ่มคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าจำนวนมหาศาล ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นที่รู้จักในนามของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อและเต็มใจใช้จ่ายไปกับค่าที่พัก ค่าอาหาร และการช้อปปิ้ง ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มประชากรในฝันของบรรดาโรงแรมต่าง ๆ ที่ต้องการเพิ่มผลประกอบการให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับข้อมูลสถิติ จากการวิจัยของ Statista คาดว่าในปี 2024 รายได้ของตลาดการเดินทางและท่องเที่ยวจะสูงถึง 184.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน ตลาดการท่องเที่ยวและการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดคือตลาดโรงแรม​ ​มีมูลค่าโดยประมาณ​ ​93.62​ พัน​ล้าน​ดอลลาร์​สหรัฐ​ ​ในปี 2024 โดยคำนวณจากจำนวนประชากรกว่า ​300​ ​ล้าน​คน​

การเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวจีน มีข้อดีดังต่อไปนี้:

  1. ตลาดขนาดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ: ประเทศจีนมีตลาดการท่องเที่ยวภายนอกประเทศอันดับ 1 ของโลก การเข้าถึงประชากรกลุ่มนี้ได้จะช่วยให้โรงแรมเข้าถึงผู้ที่มีโอกาสเป็นแขกพร้อมกำลังซื้อจำนวนมาก ส่งผลให้มีอัตราการเข้าพักและรายได้เพิ่มมากขึ้น
  2. มีกำลังซื้อสูง: นักท่องเที่ยวจีนโดดเด่นในด้านกำลังซื้อสูงกว่านักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายสำหรับที่พัก อาหาร และช้อปปิ้ง หากคุณตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ได้ จะสามารถเพิ่มผลกำไรของโรงแรมได้อย่างมีนัยสำคัญ
  3. มีการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี: ประชากรชาวจีนมีเทศกาลและวันหยุดตลอดปี เช่น ตรุษจีน โกลเด้นวีค และช่วงฤดูร้อน ซึ่งต่างจากนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ๆ ที่อาจเดินทางเฉพาะฤดูท่องเที่ยวเท่านั้น จึงสามารถสร้างฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องได้ตลอดทั้งปี
  4. มีอิทธิพลระดับโลก: นักท่องเที่ยวจีนมักแชร์ประสบการณ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ส่งต่อไปยังเพื่อนฝูง ครอบครัว และผู้ติดตามของพวกเขา ดังนั้น ประสบการณ์ที่ดีในการเข้าพักจะนำไปสู่การมองเห็นที่เพิ่มขึ้นและกระตุ้นความสนใจจากผู้ชมในวงกว้าง

การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนจึงไม่ใช่เพียงแค่ไอเดียทีดีเท่านั้น แต่เป็นหมากเปลี่ยนเกมให้พลิกผันสู่ความสำเร็จได้เลยทีเดียว

รักษาและดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย SiteMinder

อัปเดตรายการอัตโนมัติ การสื่อสารกับแขกที่มีประสิทธิภาพ เว็บไซต์หลายภาษา และฟีเจอร์การจองโดยตรง - และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เรียนรู้ว่า SiteMinder สามารถยกระดับธุรกิจของคุณเพื่อดึงดูดลูกค้าชาวจีนได้อย่างไรบ้าง

เรียนรู้เพิ่มเติม

ความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน

นักท่องเที่ยวจีน ด้วยความสนใจและความชอบหลายรูปแบบ พวกเขามักจะมองหาประสบการณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผสมผสานไปกับพื้นฐานทางวัฒนธรรมจีน มีเทคโนโลยีที่สมัยใหม่ และต้องการความสะดวกสบายและคุณภาพที่ดี และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ:

  • ความเข้าใจทางวัฒนธรรม: นักท่องเที่ยวจีนจะรู้สึกประทับใจเมื่อโรงแรมหรือสถานที่ปลายทางมีความเข้าใจหรือความเคารพต่อวัฒนธรรมของพวกเขา เช่น การมีพนักงานสื่อสารภาษาจีนกลาง ป้ายและข้อมูลภาษาจีน ตลอดจนการฉลองวันหยุดหรือเทศกาลของจีน
  • ประสบการณ์ที่แท้จริง: นักท่องเที่ยวจีนสนใจเปิดโลกวัฒนธรรมท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ โดยให้คุณค่าไปกับประสบการณ์ที่สัมผัสได้ถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ เช่น การแสดงไปจนถึงอาหารประจำท้องถิ่นนั้น ๆ 
  • ความสะดวกสบายและมีเสถียรภาพ: ความสะดวกในขั้นตอนการจอง เช็คอิน และการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพลตฟอร์มมือถือสำหรับจัดการเดินทางทั้งในด้านค้นหาข้อมูลและทำธุรกรรม คือแพลตฟอร์มอย่าง WeChat และ Alipay 
  • มีตัวเลือกหลากหลายสำหรับอาหารคุณภาพสูง: อาหารเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของวัตนธรรมจีน การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและผสมผสานวัตถุดิบในพื้นที่เข้าไป จะดึงดูดความสนใจและเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก
  • มีโอกาสช้อปปิ้ง: การช้อปปิ้งโดยเฉพาะของหรูหราและไอเทมที่มีขายเฉพาะบริเวณนั้น ๆ มักเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวจีน หากมีข้อมูลหรือที่ตั้งของคุณอยู่บริเวณเดียวกับแหล่งช้อปปิ้งใหญ่ ๆ จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การเข้าพักที่ดีให้กับพวกเขาได้
  • ความสบายและความปลอดภัย: ที่พักมาตรฐานระดับสูง จะโดดเด่นเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกที่สร้างความสบายและความปลอดภัยให้กับพวกเขาได้ คือที่พักที่นักท่องเที่ยวจีนมองหาอันดับต้น ๆ
  • มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก: ตั้งแต่ฟรี Wifi ไปจนถึงห้องพักสมาร์ทเทคโนโลยี นักท่องเที่ยวจีนชื่นชอบสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยที่มีการเชื่อมต่อถึงกันและช่วยให้การเข้าพักของพวกเขาดีขึ้น
  • ให้ความสำคัญกับการเข้าพักที่ดีเพื่อสุขภาพ: ความสนใจสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพ เช่น สปา ยิม และสถานที่พักผ่อน ของนักท่องเที่ยวจีนกำลังเพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีในระหว่างการท่องเที่ยว
  • ฟีเจอร์ที่เป็นมิตรสำหรับครอบครัว: นักท่องเที่ยวจีนหลายคนเดินทางมาพร้อมกับครอบครัว ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย เช่น ห้องสำหรับครอบครัว สิ่งบันเทิงหลากหลาย และกิจกรรมสำหรับเด็กจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก

สามารถรับรู้ได้เลยว่าตลาดที่มีอิทธิพลสำคัญเช่นนี้ มีความต้องการหลากหลายรูปแบบ ซึ่งการท่องเที่ยวของชาวจีนเพียงกลุ่มเดียว มีส่วนแบ่งการตลาดเทียบเท่ากับประเทศที่มีประชากรน้อยหลายประเทศรวมกัน ดังนั้น คุณสามารถคาดหวังโอกาสทางการค้าได้ในวงกว้าง หมายความว่า ไม่ว่าโรงแรมของคุณจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม คุณมีโอกาสในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนี้ หากสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีคุณค่าเพียงพอกับความสนใจและความเชื่อมั่นของพวกเขา

แล้วความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลล่ะ?

หนุ่มสาวชาวจีนกลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen Y กำลังมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในภาพรวมของตลาดการท่องเที่ยวจีน (และระดับโลก)

จากรายงานการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน หรือ Chinese International Travel Monitor (CITM) ประจำปี 2015 ของ Hotels.com พบว่านักท่องเที่ยวจีนขาออกนอกประเทศ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้านี้ 

ซึ่งตัวเลขนี้มาจากคนจีนกลุ่มมิลเลนเนียล อายุประมาณ 18-35 ปี โดยผลสำรวจจากโรงแรมและที่พัก 59% อ้างว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอายุ 35 หรือน้อยกว่านั้นในช่วงปีที่ผ่านมา

หากมองเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อัตราส่วนประมาณ 4 ใน 5 ของโรงแรมส่วนใหญ่ (78%) มีการต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่มากขึ้นในปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านี้

โดยเหตุผลการเดินทางของชาวจีนกลุ่มมิลเลนเนียล คือ การพักผ่อน (91%) และเดินทางเพื่อธุรกิจ (43%) อย่างไรก็ตามมีนักท่องเที่ยวจีนหลายคนที่ใช้โอกาสเหล่านี้ในการเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงและญาติ (17%) พักผ่อนบนเรือสำราญ (15%) หรือเพื่อการศึกษาในต่างประเทศ (7%) เพื่อดูแลเรื่องความสวยความงาม (6%) หรือไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในรักษาตัว (5%)

ในขณะที่หนุ่มสาวชาวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลเดินทางพักผ่อนในต่างประเทศ พวกเขาชื่นชอบกิจกรรมเที่ยวชมบรรยากาศ รับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง เยี่ยมชมรีสอร์ทและชายหาด อีกทั้งกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ก็มีการเติบโตมากขึ้นราว 20% ในหมู่นักท่องเที่ยวจีนยุคใหม่เมื่อพักอยู่ในต่างประเทศอีกด้วย

เห็นได้ชัดเลยว่านักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลเป็นโอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในขณะเดียวกันโรงแรมที่ต้องการใช้โอกาสนี้อย่างเต็มรูปแบบ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คนและรูปแบบการท่องเที่ยวที่พวกเขาชื่นชอบด้วย

วิธีดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียล

วัยรุ่นชาวจีนมีความรู้และความชำนาญด้านเทคโนโลยีอย่างมาก จากรายงานของ CITM พบว่า 30% กลุ่มมิลเลนเนียลใช้โซเชียลมีเดียในการตัดสินใจเรื่องการเดินทาง ซึ่งเป็นรองจากการแนะนำแบบปากต่อปากและในเว็บไซต์รีวิวที่ 44% เท่านั้น

มีการพึ่งพาบริษัทท่องเที่ยวและใช้แพ็กเกจทัวร์น้อยลง โดย 80% ของนักท่องเที่ยวจีนใช้มือถือ คอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปในการวางแผนและจองทริปของพวกเขา – เพิ่มขึ้นจาก 53% ในปีก่อนหน้านี้

ดังนั้น ตรวจสอบแน่ใจว่าโรงแรมของคุณเชื่อมต่อกับเว็บไซต์จองที่พักของจีน เช่น Ctrip ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกระจายห้องว่างทางออนไลน์ผ่านระบบจัดการช่องทางการจอง อย่างเช่น SiteMinder เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมาใช้บริการโรงแรมของคุณ

และสิ่งสำคัญคือ หน้าเว็บไซต์ควรพร้อมใช้งานบนมือถือด้วยรูปแบบที่เป็นมิตรต่อหน้าจอโทรศัพท์หรือแอปมือถือ จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น – และอย่าลืมคำนึงว่ามีคนจีนหลายคนใช้โทรศัพท์มือถือราคาย่อมเยาและไม่มีกำลังประมวลผลมากพอเมื่อเทียบผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในต่างประเทศ

เช่นเดียวกับวัยรุ่นทั่วโลก ชาวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลก็ชื่นชอบการท่องเที่ยวราคาประหยัด ตัวอย่างเช่น มีการศึกษาพบว่า 15% ของนักท่องเที่ยวอายุระหว่าง 18 และ 25 ปี เลือกจองห้องพักสไตล์โฮสเทลและที่พักสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียลใช้จ่ายประมาณ 503 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน สำหรับค่าที่พัก อาหาร สิ่งบันเทิงและอื่น ๆ ซึ่งน้อยกว่า 33 ดอลลาร์สหรัฐ ของรายจ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวจีนโดยรวมที่ 536 ดอลลาร์สหรัฐ 

โรงแรมที่มีความใส่ใจด้านราคาจึงเป็นสถานที่อันดับต้น ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม ทางโรงแรมเองก็ควรทราบว่า ประมาณ 66% ของคนกลุ่มนี้ชื่นชอบโรงแรมที่ให้บริการโดยปรับให้เหมาะสมกับพวกเขา หมายความว่า ควรมีเว็บไซต์จองห้องพักภาษาจีน รวมถึงข้อมูลและป้ายประชาสัมพันธ์ในโรงแรมเป็นภาษาจีนด้วย

จริง ๆ แล้วการปรับให้เหมาะกับวัฒนธรรมจีนไม่ได้จำเป็นมากสำหรับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มมิลเลนเนียล และมีเพียง 20% เท่านั้นที่แนะนำว่าจำเป็นต้องทำก่อนการจองโรงแรม ด้วยการแข่งขันเพื่อลูกค้ากลุ่มนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก มีโอกาสที่โรงแรมอิสระและโรงแรมแฟรนไชส์จำนวนมาก หันมาใส่ใจการสื่อสารภาษาจีนแก่ลูกค้าของพวกเขา ดังนั้น คาดว่าภาษาจีนจะกลายเป็นเรื่องจำเป็นในการแข่งขันสำหรับธุรกิจโรงแรมที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของชาวจีนกลุ่มนี้

ข้อสุดท้าย กลุ่มมิลเลนเนียลมักใช้งานอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ WiFi จึงเป็นบริการสำคัญที่โรงแรมควรมี เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารให้กับพวกเขา

ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเองก็เริ่มเห็นคุณค่าในการรับชำระเงินจากแพลตฟอร์มจีน เช่น Alipay

เช่นเดียวกับลูกค้ากลุ่มอื่น นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่มีความชื่นชอบการให้บริการที่ตอบสนองตามชอบแบบรายบุคคลและต้องการพักในสถานที่ที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของพวกเขา

จากการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นทั่วโลกของนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญสำหรับธุรกิจโรงแรมทุกภาคส่วนในอนาคตอย่างแน่นอน

นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเดินทางเมื่อไหร่?

เนื่องจากข้อจำกัดการเดินทางของจีนถูกยกเลิกไปตั้งแต่ต้นปี 2023 แต่ประชากรทั่วไปยังมีความลังเลเนื่องจากการเปิดให้บริการอย่างกะทันหัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนเหตุการณ์โรคระบาด ประเทศจีนมีการเดินทางขาออกนอกประเทศเป็นอันดับ 1 ของโลกทั้งในเชิงปริมาณและรายจ่ายรวมตามข้อมูลจากองค์กรการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (World Tourism Organisation) และความรู้สึกดังกล่าวส่วนใหญ่ยังคงอยู่แม้ในช่วงเหตุการณ์ COVID-19 โดยผลสำรวจเรื่องทัศนคติของนักท่องเที่ยวจีนโดย McKinsey ในเดือนพฤศจิกายน 2022 รายงานว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบรับผลสำรวจ คาดว่าจะเดินทางออกนอกประเทศสำหรับทริปพักผ่อนถัดไปของพวกเขา

สรุปแล้วนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเดินทางท่องเที่ยวเมื่อไหร่? จากความคิดเห็นก่อนหน้านี้และในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญบางคนอย่าง OliverWyman แนะนำว่าการท่องเที่ยวขาออกของจีนอาจฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024

Chinese travellers

วิธีโปรโมทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมาสู่โรงแรมของคุณ

สิ่งแรกที่ควรทราบคือไม่มีวิธีการแน่นอนสำหรับการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนทุกคนเช่นเดียวกับนักเดินทางจากทุกมุมโลก

เนื่องจากความหลากหลายภายในประเทศจีนเอง ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรเกือบ 1.5 พันล้านคนและมีประวัติศาตร์ยาวนานกว่า 5,000 ปี อีกทั้งยังมี 33 มณฑล เทศบาล เขตปกครองตนเอง และเขตบริหารพิเศษ (SAR) และประเทศจีนมีชายแดนร่วมกับประเทศอื่น ๆ 14 ประเทศ โดยมีภาษาจีนกลางเป็นภาษาราชการ แต่ยังคงมีการพูดภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน

นอกจากนี้ พวกเขายังมีรายได้ งบประมาณ อายุ บ้านเกิด ความสนใจ และแรงจูงใจในการเดินทางที่หลากหลายอีกด้วย

การเปรียบเทียบทิศทางภาพรวมก่อนและหลังโควิดแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์มีความแตกต่างกันมากในปัจจุบัน ในช่วงแรกอาจมีกลุ่มคนและเหตุผลการเดินทางเฉพาะสำหรับการเดินทางก่อนที่จะทำให้เกิดกระแสการเดินทางเพื่อการพักผ่อนระหว่างประเทศมากขึ้น และอาจรวมถึงการเดินทางระยะสั้น เช่น:

  • นักเดินทางที่เดินทางเร่งด่วนเพื่อพบครอบครัวและเพื่อน
  • นักธุรกิจที่เดินทางเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับลูกค้าและความร่วมมือใหม่อีกครั้ง
  • การเดินทางเพื่อการศึกษาเล่าเรียน
  • การเดินทางสำหรับปัญหาด้านสุขภาพ

เมื่อไม่มีการเดินทางอย่างกระชั้นชิด ขั้นตอนการขอวีซ่าราบรื่นขึ้น และสายการบินทั้งหมดเริ่มเดินทางอีกครั้ง อาจทำให้เกิดการเดินทางระยะไกลเพื่อพักผ่อน โดยมีการคาดการณ์ว่า:

  • คนกลุ่มแรกที่จะเดินทาง ได้แก่ รุ่นมิลเลนเนียล, Gen-Z และนักเดินทางท่องเที่ยวแบบหรูหรา
  • การเปลี่ยนแปลงจากการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มและทัวร์ขนาดใหญ่ไปสู่ทริปอิสระที่วางแผนและใฝ่ฝันมานาน
  • มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์และการเรียนรู้มากขึ้นโดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าต่อจำนวนเงินที่จ่ายไปเป็นหลัก
  • สถานที่ท่องเที่ยวที่ ‘ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก’ มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น – เช่น การเดินทางที่เหมือนการผจญภัย
  • ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่โรงแรมของคุณสามารถทำอะไรได้ในขณะนี้และในอนาคตเพื่อเพิ่มจำนวนการจองให้มากที่สุด มีอะไรบ้าง?

ขั้นตอนแรกคือรู้จักแหล่งที่สามารถหาและเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนทางออนไลน์

รายงานการเปลี่ยนแปลงของนักเดินทางจาก SiteMinder พบว่ามีเพียง 8% ของผู้ใช้ วางแผนค้นคว้าข้อมูลท่องเที่ยวบนเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ซึ่งลดลงอย่างมากจากค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 33% – ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการเดินทางโดยเฉพาะ นอกจากนี้ มีผู้ใช้ 47% วางแผนจองที่พักผ่านเว็บไซต์ OTA และ 24% เป็นการจองที่พักโดยตรง

เคล็ดลับ #1 – เพิ่มการเข้าร่วมกับเว็บไซต์ OTA เช่น Trip.com และ Kognitiv

ข้อมูลจาก SiteMinder แสดงให้เห็นว่าหากคุณเป็นพาร์ทเนอร์กับ Trip.com และ Kognitiv  – คุณสามารถเพิ่มการมองเห็นได้ถึง 75% ของการจองห้องพักจากนักท่องเที่ยวจีน การเพิ่มช่องทางการขายห้องพักที่หลากหลายเป็นความคิดที่ดีเสมอหากคุณต้องการเจาะตลาดกลุ่มใหม่หรือต้องการใช้โอกาสสร้างรายได้ในตลาดขนาดใหญ่อย่างจีน การใช้โซลูชันระบบจัดการช่องทางการขายที่ดำเนินการโดยอัตโนมัติ จะช่วยตัดปัญหาการจองซ้ำซ้อนและได้รับข้อมูลเชิงลึกสำคัญ ๆ ในการดำเนินงานอีกด้วย

เคล็ดลับ #2 – เพิ่มการรองรับภาษาและสกุลเงิน

ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อขั้นตอนการจองและประสบการณ์ของแขก หากคุณไม่สามารถสื่อสารได้หลากภาษาและไม่รองรับสกุลเงินที่หลากหลายผ่านระบบจองห้องพักออนไลน์ มีโอกาสสูงที่จะเสี่ยงต่อการละทิ้งการจองขณะทำรายการจากความไม่พอใจหรือหงุดหงิด

ในทางกลับกัน หากมีข้อมูลภาษาจีนกลางที่โรงแรมเพื่อตอบสนองความสนใจของพวกเขา จะสร้างความแตกต่างระหว่างการเข้าพักทั่วไปให้กลายเป็นการพักผ่อนที่น่าพึงพอใจ – ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พวกเขาจะแชร์ลงบนโซเชียลมีเดีย บอกต่อเพื่อน ๆ และครอบครัวของพวกเขาเกี่ยวกับความประทับใจนี้

เคล็ดลับ #3 – ใช้เทคโนโลยีประมวลผลการชำระเงินอย่างมีเสถียรภาพ

สิ่งสำคัญที่มีบทบาทต่อความเชื่อใจและความมั่นใจของนักท่องเที่ยวจีนคือมีการใช้งานระบบเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในขั้นตอนชำระเงิน เพื่อให้ขั้นตอนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ง่าย และปลอดภัย ถือเป็นความที่ดีในการมองหาโซลูชันทำธุรกรรมการเงินสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ เพื่อให้ข้อมูลของแขกถูกจัดเก็บอยู่ในที่ปลอดภัยและช่วยให้การทำงานของคุณง่ายขึ้น

การประหยัดเวลาด้วยระบบอัตโนมัติจะช่วยลดความกดดันให้แก่พนักงานและเพิ่มการยืดหยุ่นในการดูแลลูกค้าคนสำคัญได้มากขึ้น

เคล็ดลับ #4 – ตรวจสอบกลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์การขาย

ตรวจสอบรีวิวย้อนหลังเพื่อดูว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวจีนชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับโรงแรมของคุณมีอะไรบ้าง จากนั้นเปรียบเทียบข้อมูลปัจจุบันเพื่อให้การพัฒนาตลาดของคุณให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ

ด้วยความชื่นชอบในการสำรวจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ของนักท่องเที่ยวจีน ควรแน่ใจว่าข้อเสนอของคุณมีความคุ้มค่าและสร้างความสนใจให้กับความต้องการที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพื่อการเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น

เคล็ดลับ #5 – พิจารณาระบบจำหน่ายห้องพักทั่วโลก (Global Distribution System หรือ GDS)

ระบบ GDS ยังคงเป็นส่วนสำคัญใการเพิ่มการมองเห็นของโรงแรม และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การจองที่พักด้วยระบบ GDS ก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง – ไม่เพียงแค่สำหรับการเดินทางรูปแบบองค์กรเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางเพื่อการพักผ่อนด้วย โดยระบบ GDS สามารถเชื่อมต่อไปยังโรงแรม สายการบิน และบริการเช่ารถได้ในเพียงอินเทอร์เฟซเดียว จึงเป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายอย่างครบครัน

เชื่อมต่อกับระบบ GDS ผ่านระบบจัดการห้องพัก เพื่อกระจายโอกาสการโปรโมทห้องพักและเข้าถึงเครือข่ายตัวแทนการท่องเที่ยวสุดพิเศษในคราวเดียว

เคล็ดลับ #6 – สร้างตัวตนโรงแรมให้เป็นที่รู้จักตลอดเส้นทางการจอง

การตลาดเชิงรุกและการทำให้นักท่องเที่ยวสามารถหาคุณเจอเป็นสิ่งสำคัญ ลองคิดถึงวิธีเข้าถึงสิ่งที่ใฝ่ฝัน วางแผนท่องเที่ยว การจองที่พัก การเตรียมตัว ประสบการณ์และการแชร์ผ่านการเดินทางของพวกเขา

มีบางอย่างที่คุณสามารถเพิ่มการมองเห็นและเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ให้มากขึ้น เช่น การอัปเดตบนทุกช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มการเข้าถึงจากเว็บไซต์สาธารณะและเครื่องมือค้นหา; ด้วยข้อเสนอการอัปเกรดและแพ็กเกจสุดพิเศษ รักษาความสัมพันธ์กับแขกโดยตรงผ่านการสื่อสารรายบุคคล ตอบสนองคำขอของแขกให้ดีที่สุด และเปิดโอกาสให้แขกแชร์ประสบการณ์หรือเขียนข้อเสนอรีวิวเชิงบวกให้กับคุณ

เคล็ดลับ #7 – แข่งขันเชิงรุกในตลาดพื้นที่เดียวกัน

การทำความเข้าใจตลาดในพื้นที่และรับรู้ถึงกิจกรรมของโรงแรมคู่แข่งจะช่วยให้คุณได้เปรียบทางการแข่งขัน ด้วยข้อมูลเชิงลึกของราคาและเครื่องมืออัจฉริยะทางธุรกิจ คุณจะสามารถดำเนินการแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มทั้งจำนวนการจองและเพิ่มรายได้ของทุก ๆ รายการจอง

คุณยังสามารถดูรายงานที่ช่วยระบุแนวโน้มของตลาดและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันเพื่อเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการแข่งขันของตลาดในพื้นที่

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของนักท่องเที่ยวจีน

แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากแสดงความชอบในการเดินทางกลับไปสู่ปลายสถานที่ที่เคยไปมาแล้ว เช่น นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย แต่สถิติล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวจีนกำลังให้ความสนใจประเทศที่อาจมองข้ามไปก่อนหน้านี้

เว็บไซต์จองห้องพักที่ใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง Trip.com เผยข้อมูล 5 อันดับประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงปี 2023 ดังนี้:

  1. ไทย
  2. ญี่ปุ่น
  3. เกาหลีใต้
  4. สิงคโปร์
  5. มาเลเซีย

สำหรับการจัดอันดับในปี 2024 จะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจโรงแรมที่ตั้งอยู่ในประเทศดังกล่าว การรักษาความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนและดึงความสนใจตลาดจีนแสนสำคัญได้อีกครั้ง สำหรับโรงแรมที่ไม่มีรายชื่อในประเทศดังกล่าว การตั้งกลุ่มเป้าหมายที่มีนักท่องเที่ยวจีนไปด้วยก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดของสถานที่ที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าก็ยังสามารถรับแขกจำนวนมากจากตลาดนี้ได้

]]>
Booking channels: Complete guide for hotels https://www.siteminder.com/th/r/booking-channels/ Mon, 16 Oct 2023 00:37:13 +0000 https://www.siteminder.com/r/booking-channels/ ช่องทางการจองคืออะไร?

ช่องทางการจอง (booking channel) คือ วิธีต่างๆ ที่ลูกค้าสามารถจองห้องพักกับโรงแรมของคุณได้ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เรียกง่ายๆ ว่าเป็น “ช่องทางขาย” ที่ช่วยให้โรงแรมมีลูกค้าเข้าพักสม่ำเสมอและมีรายได้ต่อเนื่อง

ช่องทางการจองมีหลายรูปแบบ เช่น:

  • เว็บไซต์ของโรงแรมเอง
  • เว็บจองโรงแรมยอดนิยมอย่าง Agoda, Booking.com หรือ Traveloka
  • เว็บเปรียบเทียบราคาโรงแรม เช่น Google Hotel หรือ Trivago
  • บริษัททัวร์หรือเอเจนซี่ท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม
  • ระบบจองโรงแรมสำหรับตัวแทนขายทั่วโลก (เรียกว่า GDS)

ช่องทางเหล่านี้เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมโรงแรมของคุณกับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่กำลังมองหาที่พัก

บทความนี้จะแนะนำว่าช่องทางไหนที่น่าจะทำเงินให้โรงแรมของคุณได้ดีที่สุด และจะใช้ช่องทางเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร

สารบัญ

ทำไมช่องทางจองออนไลน์ถึงสำคัญกับโรงแรม?

ช่องทางจองออนไลน์ช่วยให้โรงแรมของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้โดยลูกค้าที่มีโอกาสมาพัก

สมัยนี้คนส่วนใหญ่จองโรงแรมผ่านออนไลน์แทบทั้งนั้น โรงแรมจึงต้องให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ตัวเอง เว็บจองโรงแรมดังๆ หรือเว็บรวมและเปรียบเทียบที่พัก

การใช้ช่องทางออนไลน์มีข้อดีหลายอย่าง:

  • เข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ทั่วโลก
  • ขายห้องพักได้หลายที่พร้อมกัน
  • ปรับราคาได้ตามความต้องการของตลาด เพื่อสร้างรายได้สูงสุด
  • ชำระออนไลน์ได้ทันที สะดวกทั้งลูกค้าและโรงแรม
  • ดูข้อมูลและวิเคราะห์ผลงานได้ ทำให้ปรับกลยุทธ์ได้แม่นยำ

วิธีที่จะจัดการช่องทางออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่สุด คือการใช้ระบบจัดการช่องทางขาย หรือที่เรียกว่า “ระบบ Channel Manager” ระบบนี้ช่วยให้โรงแรมเชื่อมต่อกับทุกช่องทางการขายได้พร้อมกัน และอัพเดทสถานะห้องว่างอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการจอง

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีลูกค้าจองห้องผ่าน Agoda ระบบจะอัพเดทจำนวนห้องว่างทันทีในทุกเว็บไซต์ เช่น Booking.com, Expedia รวมถึงเว็บไซต์ของโรงแรมเอง ทำให้ไม่เกิดการจองซ้ำซ้อน

นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับราคาห้องพักในทุกช่องทางได้พร้อมกันในคลิกเดียว และดูรายงานยอดขายว่าช่องทางไหนทำเงินได้ดีที่สุด เพื่อวางแผนการตลาดในอนาคต

เพิ่มความสำเร็จในการจัดการช่องทางการจอง

ใช้แพลตฟอร์มของ SiteMinder เพื่อเข้าถึงช่องทางการจองเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย และเพิ่มรายได้สูงสุดให้กับโรงแรมของคุณ

เรียนรู้เพิ่มเติม

ช่องทางการจองโรงแรมยอดนิยมในไทย

แล้วอะไรคือช่องทางการจองโรงแรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด?

จากข้อมูลล่าสุด ช่องทางที่สร้างรายได้สูงสุดให้กับโรงแรมในประเทศไทย ได้แก่:

  • Agoda 
  • Booking.com
  • เว็บไซต์ของโรงแรมเอง หรือจองตรงผ่านโซเชียลมีเดีย 
  • Traveloka
  • Trip.com 
  • Expedia Group
  • Airbnb

แน่นอนว่า การเลือกช่องทางที่คุณจะเชื่อมต่อด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของที่พักคุณด้วย โรงแรมแต่ละแห่งอาจมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน บางทีช่องทางเฉพาะกลุ่มเล็กๆ ก็สามารถนำการจองและรายได้ที่มีค่ามาให้คุณได้

ยกตัวอย่างเช่น หากโรงแรมของคุณเน้นลูกค้าระดับหรู การเชื่อมต่อกับ Secret Retreats หรือ Small Luxury Hotels of the World อาจให้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับโรงแรมบูทีคที่มีเอกลักษณ์ อาจพิจารณา Local Alike หรือแพลตฟอร์มที่เน้นประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการใช้ระบบจัดการช่องทางขาย (Channel Manager) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อกับหลายช่องทาง

ช่องทางยอดนิยมอื่นๆ สำหรับนักเดินทาง ได้แก่:

  • TripAdvisor – รวบรวมรีวิวสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมท่องเที่ยว (นักท่องเที่ยวไทยมักเช็คคะแนนรีวิวที่นี่ก่อนตัดสินใจจอง)
  • VRBO – ย่อมาจาก Vacation Rentals by Owners คล้ายกับ Airbnb เป็นแพลตฟอร์มให้เช่าที่พักจากเจ้าของโดยตรง
  • Kayak – หนึ่งในผู้เล่นตลาด metasearch ที่รวบรวมและเปรียบเทียบราคาจากหลายเว็บไซต์
  • Lastminute.com – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาที่พักนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะในยุโรป (ในไทยอาจเทียบได้กับฟีเจอร์ “จองวันนี้พักวันนี้” ของ Agoda)
  • Skyscanner – ตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีงบประมาณจำกัด (คนไทยนิยมใช้เปรียบเทียบราคาเที่ยวบินและที่พักในคราวเดียว)

สำหรับโรงแรมในไทย ช่องทางอย่าง Agoda มักทำรายได้สูงกว่า Booking.com เนื่องจากความนิยมในภูมิภาคเอเชีย และช่องทางในประเทศอย่าง Traveloka หรือแพลตฟอร์มจองที่พักในแอพธนาคารต่างๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

วิธีเพิ่มรายได้จากช่องทางการจองสำหรับโรงแรมของคุณ

คุณสามารถทำกำไรสูงสุดจากช่องทางการจองได้ด้วยการเข้าใจตลาด รู้จุดแข็งของตัวเอง เจาะกลุ่มลูกค้าที่ใช่ และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม

นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยให้คุณใช้ช่องทางการจองเพื่อเพิ่มรายได้:

1. รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ

เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่เข้าพักกับคุณ เพื่อทำความเข้าใจว่าใครคือกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเลือกโรงแรมของคุณ ลูกค้าค้นหาและจองโรงแรมอย่างไร รวมถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบจากรีวิวที่เขียนไว้

เมื่อคุณรู้แล้วว่ากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับโรงแรมของคุณคือใคร คุณก็จะตัดสินใจได้ว่าควรทุ่มเทกับช่องทางออนไลน์ไหน และจะสร้างรายได้จากช่องทางเหล่านั้นให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร

2. เชื่อมต่อกับหลายๆ ช่องทางการจอง

ยิ่งคุณเปิดช่องทางการจองมากเท่าไร โอกาสในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจพักโรงแรมของคุณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่า Agoda, Booking.com และเว็บไซต์ของคุณเองอาจเป็นแหล่งการจองหลัก แต่เว็บเปรียบเทียบราคาอย่าง Google Hotel หรือ Trivago กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และระบบ GDS สำหรับเอเจนซี่ทัวร์ก็ยังคงสำคัญอยู่ ดังนั้นคุณจึงควรรู้จักทุกช่องทางที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้าพักของโรงแรมคุณ

เมื่อใช้ระบบจัดการช่องทางการขาย (Channel Manager) การเพิ่มและจัดการช่องทางใหม่ๆ จะไม่เพิ่มภาระงานให้คุณเลย

3. ใช้วิธี Billboard Effect

The billboard effect คือปรากฏการณ์ที่นักท่องเที่ยวเห็นโรงแรมของคุณใน Agoda หรือ OTA อื่นๆ ก่อน แต่สุดท้ายกลับมาจองผ่านเว็บไซต์ของคุณโดยตรง นี่เป็นเหตุผลที่คุณควรทำให้ข้อมูลโรงแรมของคุณบนเว็บไซต์ Agoda หรือ Booking.com ดูโดดเด่นน่าสนใจ และเช็คด้วยว่ามีลิงก์ที่นำไปยังเว็บไซต์ของโรงแรมคุณเองเสมอ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่พักของคุณ และเห็นโปรต่างๆ ที่คุณมีให้เฉพาะการจองโดยตรง

4. ใช้เว็บเปรียบเทียบราคาให้เป็นประโยชน์

ช่องทางอย่าง Google Hotel Ads และ Trivago ช่วยให้โรงแรมของคุณแข่งขันกับ OTA ยักษ์ใหญ่ได้ และยังได้รับการจองโดยตรงอีกด้วย หากคุณรู้สึกว่าการจัดการเองยุ่งยาก คุณสามารถจ่ายค่าบริการราคาเบาๆเพื่อใช้แพลตฟอร์มอย่าง SiteMinder ที่ช่วยจัดการงานที่เหลือให้ทั้งหมด แล้วคุณแค่นั่งรอรับการจองที่ทยอยเข้ามา

ข้อดีของเว็บเปรียบเทียบราคาคือ คุณเป็นเจ้าของข้อมูลลูกค้าเอง ไม่ใช่ OTA ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเสนอบริการเสริมได้สะดวกขึ้น และสื่อสารกับลูกค้าโดยตรงเพื่อสร้างความประทับใจและทำให้กลับมาพักซ้ำ

5. ติดตามผลลัพธ์และวิเคราะห์ข้อมูล

ใช้ซอฟต์แวร์โรงแรมของคุณดูข้อมูลผลการทำงาน เช่น ช่องทางไหนนำการจองและรายได้มาให้มากที่สุด ช่องทางไหนที่ลูกค้าพักนานที่สุด ช่องทางไหนที่มีอัตราการยกเลิกสูง แพ็คเกจแบบไหนที่ขายดี และอื่นๆ

ไม่นานคุณจะเริ่มเห็นรูปแบบการจองของลูกค้าและแนวโน้มการเข้าพักที่ชัดเจน ซึ่งสามารถนำมาใช้ตัดสินใจปรับกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต

]]>
กลยุทธ์ Dynamic Pricing สำหรับโรงแรม: ความหมาย ตัวอย่าง และซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุด https://www.siteminder.com/th/r/hotel-dynamic-pricing/ Mon, 16 Oct 2023 00:21:20 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/hotel-dynamic-pricing/ Dynamic pricing คืออะไร?

Dynamic pricing หรือ การกำหนดราคาแบบไดนามิก คือ กลยุทธ์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจโรงแรม เช่น มีการเปลี่ยนราคาห้องพักรายวัน หรือภายใน 1 วันโดยอิงจากสถานการณ์ทางการตลาด ณ ปัจจุบัน

กลยุทธ์ Dynamic pricing มีรูปแบบการตั้งราคาขึ้น ๆ ลง ๆ โดยพิจารณาความต้องการซื้อ (Demand) และความต้องการขาย (Supply) เป็นหลัก เพื่อให้โรงแรมได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด ถือเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับการตลาดในปัจจุบันและหลาย ๆ โรงแรมก็เลือกใช้กัน

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงเช้า คุณอาจลดราคาห้องพักลง เพราะมีห้องว่างเหลือน้อยและความต้องการซื้อค่อนข้างต่ำ แต่ในช่วงเย็น ความต้องการเสนอขายสินค้าของคุณอาจลดลงและความต้องการซื้ออาจเพิ่มขึ้น ทำให้คุณปรับราคาสูงขึ้น เป็นต้น

บล็อกนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับ Dynamic Pricing ว่าทำงานอย่างไร และบอกวิธีใช้กับธุรกิจโรงแรมที่ดีที่สุด

สารบัญ

ความแตกต่างของ Static Pricing แล Dynamic Pricing สำหรับธุรกิจโรงแรม

ความแตกต่างของ 2 กลยุทธ์นี้ คือ Static Pricing หรือ การกำหนดราคาคงที่ คือ การตั้งราคาแบบระบุชัดเจน แต่แบบไดนามิก จะใช้ข้อมูลจากตลาดแบบเรียลไทม์

Static Pricing เป็นกลยุทธ์การตั้งราคาห้องพักแบบเก่า โดยจะแบ่งตามช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น สำหรับวันธรรมดา จะตั้งราคามาตรฐาน, วันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์ – อาทิตย์) จะตั้งราคาสูงขึ้น และจะตั้งราคาสูงขึ้นมาอีกในช่วงไฮท์ซีซัน โดยกลยุทธ์นี้จะไม่อิงปัจจัยภายนอก เช่น ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อาจจะมากขึ้นหรือน้อยลงในแต่ละปี หรือ การที่โรงแรมคู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด เป็นต้น

ในทางกลับกัน Dynamic Pricing จะคำนึงถึงข้อมูลและปัจจัยทั้งหมดเพื่อให้เจ้าของโรงแรมรู้สิ่งที่จำเป็นต่อการเพิ่มรายได้ให้สูงที่สุด โดยการกำหนดราคาแบบไดนามิก สามารถตั้งราคาให้แตกต่างกันได้จากวัน หรือแม้กระทั่งรายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสถาณการณ์ในท้องตลาด

ณ ปัจจุบัน การกำหนดราคาแบบไดนามิกเป็นวิธีที่มีประโยชน์ต่อผลกำไรของโรงแรมมากกว่าการกำหนดราคาคงที่

ความสำคัญของ Dynamic Pricing ต่อธุรกิจโรงแรม

การกำหนดราคาแบบไดนามิก ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับโรงแรมที่ต้องการเพิ่มอัตราการเข้าพักและเพิ่มผลกำไรให้สูงขึ้น

ด้วยการติดตามภาวะของตลาดแบบเรียลไทม์ ทางโรงแรมสามารถป้องกันห้องว่างเยอะเกินไปและราคาห้องพักที่ขายได้ต่ำกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น

และนี่คือประโยชน์ของการกำหนดราคาแบบไดนามิกสำหรับธุรกิจโรงแรม:

  • เพิ่มอัตราการเข้าพัก – เมื่อความต้องการซื้อลดลง คุณสามารถลดราคาเพื่อเพิ่มโอกาสดึงดูดให้แขกเลือกจองมากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มกำไรให้สูงขึ้น – เมื่อความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นและมีห้องว่างเหลือน้อย คุณสามารถตั้งราคาขายห้องที่เหลือในราคาที่สูงขึ้นได้
  • คาดการณ์ภาพรวมได้ดีขึ้น – คุณสามารถนำข้อมูลปีก่อน ๆ มาเปรียบเทียบกับปัจจุบันเพื่อหาไอเดียกลยุทธ์ตั้งราคาในอนาคต
  • เอาชนะคู่แข่ง – การติดตามและปรับแผนตามความผันผวนของตลาด จะช่วยให้คุณนำหน้าคู่แข่งไปหลายขุม
  • เข้าใจพฤติกรรมการจองของนักท่องเที่ยวได้ดีขึ้น – ติดตามพฤติกรรมของลูกค้าที่ตอบสนองต่อสภาวะตลาดและราคาที่เปลี่ยนแปลง เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและนำไปปรับตามความต้องการของลูกค้าในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การกำหนดราคาแบบไดนามิกก็ไม่ใช่กลยุทธ์ที่เพอร์เฟคที่สุด ยังมีจุดอ่อนที่เจ้าของโรงแรมต้องทราบ

และนี่คือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้การกำหนดราคาแบบไดนามิก:

  • สร้างความสับสนให้ลูกค้า – หากราคาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตอนเช้าราคาหนึ่ง ตอนค่ำอีกราคาหนึ่ง น้องท่องเที่ยวบางคนอาจตั้งคำถามในใจเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ
  • การจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย – แม้ว่าผู้จัดการรายได้จะมองหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ แต่ทีมมาร์เกตติ้งและผู้ดูแลภาพลักษณ์ของแบรนด์อาจไม่สบายใจกับการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำเท่าไหร่นัก
  • ขีดจำกัดของเทคโนโลยี – เพื่อใช้กลยุทธ์กำหนดราคาแบบไดนามิกอย่างถูกต้อง อาจจำเป็นต้องใช้ระบบซอฟต์แวร์หลายตัวมาช่วย และต้องทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นเพื่อให้ข้อมูลไม่ผิดพลาดและเป็นปัจจุบันทุกช่องทาง
  • ภาพลักษณ์ของโรงแรม – การตั้งราคาที่ต่ำเกินไปทำให้โรงแรมของคุณมีคุณค่าลดลง และการตั้งราคาสูงเกินไป จะทำให้ลูกค้าประจำรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า?
  • ความสำเร็จในระยะยาว – หากบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวหรือบริษัทท่องเที่ยวเห็นว่าคุมงบประมาณและจองกับคุณดูจะเป็นเรื่องยากเพราะราคาไม่นิ่ง จะส่งผลให้พวกเขาเลิกเป็นพาร์ทเนอร์กับคุณในอนาคตหรือเปล่า?

การกำหนดราคาห้องพักแบบไดนามิก

รูปแบบการทำงานของกลยุทธ์ Dynamic Pricing สำหรับธุรกิจโรงแรม

กลยุทธ์ Dynamic Pricing ทำงานด้วยวิธีการปรับเรทราคาตามภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ เช่น อีเว้นท์พิเศษ, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคู่แข่ง, สภาพอากาศ, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และ Demand & Supply

ผู้จัดการรายได้โรงแรมจะติดตามความคืบหน้าในตลาดเป็นรายวันและรายสัปดาห์เพื่อให้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขานำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มอัตราการเข้าพักและเพิ่มรายได้ให้กับโรงแรม

มาดูวิธีใช้งาน Dynamic Pricing ในกระทำงานจริงกันดีกว่า

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing สำหรับธุรกิจโรงแรม

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing ที่ดี คือ เมื่อมีบางอย่างที่ต่างจากปกติเกิดขึ้น และเห็นว่านี่แหละ คือเวลาทางโรงแรมควรตอบสนองและปรับราคาห้องพักให้เป็นไปทางนั้น

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าราคาห้องพักมาตรฐานของคุณ คือ 2,000 บาทต่อคืนโดยที่ไม่ได้อยู่ในช่วงไฮท์ซีซัน, ในราคาห้องพักวันเสาร์-อาทิตย์ เป็น 2,200 บาท และราคาช่วงพีค 3,000 บาท

แต่จู่ ๆ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็ประกาศจัดทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองของคุณ ในวันที่จัดแสดงคอนเสิร์ตเป็นวันคืนศุกร์และเสาร์ที่คุณตั้งราคาตามมาตรฐาน

เมื่อตั๋ววางจำหน่าย และแฟน ๆ ที่กำลังตื่นเต้นกับการกดตั๋วคอนเสิร์ตในมือ ก็จะหันมาสนใจมองหาที่พักอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะจอง 1 คืน หรือจองทั้งวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เลยก็ได้

หากคุณยังใช้ราคาเดิมอยู่ (ซึ่งก็คือกลยุทธ์ Static Pricing) โรงแรมของคุณน่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดในระแวกนั้น และคุณก็จะขายห้องพักได้ทั้งหมดในสัปดาห์นั้น แต่คุณพลาดรายได้ไยอะเลย ไม่ได้กำไรมากเท่าที่ควรจะเป็น

แต่ถ้าคุณเลือกตอบสนองกับอีเว้นท์คอนเสิร์ตครั้งนี้ตั้งแต่ประกาศทัวร์ ด้วยการปรับราคาให้สูงขึ้นและอาจจะสร้างแพ็กเกจอื่น ๆ เพิ่มเติม คุณจะได้รายได้มากขึ้นกว่าปกติในทุก ๆ 1 รายการจอง

และห้องว่างก็จะเหลือน้อยลงเต็มทีในช่วงใกล้ ๆ วันคอนเสิร์ต และโรงแรมต่าง ๆ เริ่ม Sold Out คุณก็ยิ่งสามารถอัปราคาขึ้นมาได้อีกเพราะความต้องการซื้อยังสูงอยู่สำหรับคนที่จองทีหลัง

คุณอาจจะลองใช้กลยุทธ์อื่น ๆ ในการส่งเสริมให้แขกเพิ่มระยะเวลาเข้าพักให้นานกว่าวันที่แสดงขึ้นก็ได้

เช่น คุณลดราคาลงในวันอาทิตย์หรือจันทร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเช็คเอ้าท์กลับประเทศและในสนามบินก็คงวุ่นวายและมีค่าใช้จ่ายสูง วิธีนี้อาจจะช่วยรักษาอัตราการเข้าพักและให้รายได้กระจายตัวออกมาจากวันที่มีคอนเสิร์ตอีกเล็กน้อย

และทั้งหมดนี่คือตัวอย่างของกลยุทธ์ Dynamic Pricing ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการโรงแรมได้

อัลกอริทึม Dynamic Pricing ของโรงแรม

อัลกอริทึม Dynamic Pricing ของโรงแรม ใช้เพื่อโฟกัสไปยังจุดสำคัญที่ควรเน้นในตลาดและสิ่งที่ควรตอบสนอง

อัลกอริทึม เป็นชุดขั้นตอนการทำงานที่ควรปฏิบัติตามเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น อัลกอริทึม อาจสร้างมาเพื่อเฝ้าติดตามอัตราการเข้าพักของโรงแรมคู่แข่งและราคาห้องพักเพื่อให้ราคาของคุณไปในทางเดียวกัน, ขายกดราคาเพื่อเพิ่มอัตราการเข้าพักให้สูงกว่า หรือ ขายต่ำกว่าราคาเพื่อเพิ่มรายได้สูงสุดเมื่อห้องว่างเต็ม

ซึ่งอัลกอริทึม มักจะทำงานผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และมีระบบ Dynamic Pricing สำหรับโรงแรมด้วย แต่อัลกอริทึมก็สามารถทำด้วยตนเองได้เช่นกัน เช่น สูตรอาหารก็ถือเป็นอัลกอริทึม

แต่โรงแรมส่วนใหญ่จะเลือกใช้ซอฟต์แวร์ในการติดตามภาวะตลาดแบบเรียลไทม์ก่อนที่จะตัดสินใจปรับราคาห้องพัก หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้ระบบอัตโนมัติ โดยระบบจะทำงานโดยการปรับอัตราตามพารามิเตอร์และชุดคำสั่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

5 วิธีใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing สำหรับโรงแรมที่ดีที่สุด

การนำ Dynamic Pricing มาใช้ในการบริหารโรงแรมมีหลายวิธีและเป็นวิธีที่แตกต่างกันในการวิเคราะห์ผลการทำงานและการปรับตัวของตลาด

และนี่คือ 5 วิธีใช้ Dynamic Pricing ที่ดีที่สุดสำหรับโรงแรมของคุณ

1.ติดตามอัตราการเข้าพัก

คอยติดตามอัตราการเข้าพักของตัวเองและนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เป็นวิธีที่ดีในการตั้งราคาห้องพัก หากคุณสังเกตเห็นว่าโรงแรมคู่แข้งใกล้ ๆ ขายหมดไปแล้ว หมายความว่าที่พักระแวกนี้กำลังเป็นที่ต้องการ และนี่แหละ คือโอกาสที่คุณจะตั้งราคาห้องพักที่เหลือให้สูงขึ้น

เช่นเดียวกับช่วงที่อัตราการเข้าพักต่ำและคุณอาจจะตั้งราคาห้องพักให้ต่ำกว่าคู่แข่งของคุณ เพื่อกระตุ้นความต้องการเข้าพัก แสดงให้แขกเห็นว่า โรงแรมคุณเป็น Best Deal ในราคาที่ถูกที่สุดในระแวกนี้

2. ตอบสนองให้ทันเหตุการณ์ตามสภาพแวดล้อมของตลาด

อาจมีเคสที่บางวัน มีการยกเลิกเที่ยวบินเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนหรือปัจจัยอื่น ๆ ทำให้แขกไม่สามารถเดินทางกลับได้ ดังนั้น ควรสังเกตเหตุการณ์รอบตัวแบบเรียลไทม์เพื่อใช้ประโยชน์ในการดึงดูดการจองหรือเพิ่มผลกำไรได้มากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

3. สร้าง ‘จุดพีค’ ที่นอกเหนือจากไฮท์ซีซัน

อย่างเช่นงานคอนเสิร์ตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ที่ได้กล่าวไป จะช่วยให้คุณคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำและสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ตลอดทั้งปี แทนที่จะพึ่งช่วงไฮท์ซีซั่นเดิม ๆ อย่างเดียว

4. เรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า

หากคุณสังเกตเห็นลักษณะการจองที่คล้าย ๆ กัน เช่น มีการจอง Last Minute กระจุกอยู่ในช่วงหนึ่งของปี หรือ ลูกค้าเลือกจองพร้อมแพ็กเกจ คุณก็จะสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำขึ้นและเลือกใช้กลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายได้

5. ลองดูความต้องการของห้องพักแต่ละประเภท

เช่น ช่วงหน้าร้อน คนอาจจะต้องการห้องพักวิวสวย ๆ มากกว่าช่วงหน้าหนาว หรือ คุณอาจจะสังเกตเห็นห้องที่ติดกับบาร์หรือร้านอาหารจะเป็นที่นิยมมากกว่าห้องประเภทอื่น ๆ ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่ห้องที่ติดกับยิมหรือ Work Space จะขายดีกว่าในช่วงวันจันทร์-ศุกร์

แนวทางการใช้ Dynamic Pricing ที่ดีที่สุดสำหรับ Hotel Group และโรงแรมเครือข่าย

Hotel Group และโรงแรมเครือข่ายมักจะมีปัญหาเรื่องการจัดการเพราะมีแบรนด์ในเครือหลายแห่งและห้องพักจำนวนเยอะในการขาย การสร้างข้อเสนอใหม่ ๆ และโปรโมทอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากในการใช้กลยุทธ์ Dynamic Pricing เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ความต้องการของตลาดก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

และนี่คือแนวทางการใช้ที่จะช่วยให้ Hotel Group และโรงแรมเครือข่ายนำ Dynamic Pricing มาใช้ง่ายขึ้น

    • เกาะติดภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด – ช่วงไหนเป็นไฮท์ซีซัน ช่วงไหนมีคนพอประมาณ และช่วงไหนเป็นโลว์ซีซีน รายละเอียดเหล่านี้จะช่วยคุณให้คุณรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของความต้องการซื้อและโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้น
  • ทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า – ลองคิดดูว่าลูกค้ากำลังมองหาอะไร เมื่อไหร่ และมีวิธีการจองอย่างไร จะช่วยให้คุณคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของตลาดและรับมือได้อย่างเหมาะสม
  • ติดตามเทรนด์กระแสใหม่ ๆ – ติดตามเทรนด์ในตลาดและคู่แข่งตลอดเวลา จะได้ไม่พลาดโอกาสดี ๆ และช่วยเพิ่มอัตราเข้าพัก ราคาห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR)และรายได้เฉลี่ยห้องพักทั้งหมด (RevPAR)
  • ระวังข้อผิดพลาด – ความเสี่ยงที่กล่าวถึงในบทความ อาจส่งผลกระทบต่อโรงแรมหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม พยายามทำให้แขกของคุณมีความสุขอยู่เสมอ เพราะการบริการที่ดีจะเป็นภาพลักษณ์ที่น่าจดจำของโรงแรม
  • ใช้ระบบซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม – การใช้เทคโนโลยีที่สามารถรองรับงานสเกลใหญ่และเร่งการประมวลผลฝั่งเซิร์ฟเวอร์ จะช่วยได้อย่างมาก มองหาซอฟต์แวร์จัดการโรงแรมชั้นนำที่มีข้อเสนอตอบโจทย์กับโรงแรม

เพิ่มรายได้ห้องพักด้วยซอฟต์แวร์กำหนดราคาโรงแรมที่ดีที่สุด

แพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำ SiteMinder ที่เป็นระบบซอฟต์แวร์แบบครบวงจรสำหรับโรงแรมทุกระดับ จะมาช่วยเพิ่มการจอง เพิ่มรายได้ และสร้างศักยภาพให้โรงแรมของคุณ

ทิ้งงานเอกสารหัวหมุน ข้อมูลเป็นปึกร้อย ๆ พัน ๆ และระบบไร้เสถียรภาพไปได้เลย เพราะเทคโนโลยีของ SiteMinder มีประสิทธิภาพและทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ง่าย ช่วยให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับการวางแผนกลยุทธ์และดูแลแขกได้เต็มที่มากขึ้น

และนี่คือฟีเจอร์ดี ๆ ที่ SiteMinde จะมาช่วยจัดการให้คุณ:

  • ระบบจัดการช่องทางโปรโมททุกช่องทาง: SiteMinder สามารถเชื่อมต่อกว่า 450+ ช่องทางและอัปเดตราคาห้องพักจำนวนมากได้ทุกช่องทาง ด้วยระบบอัตโนมัติแบบเรียลไทม์
  • ระบบ Business Intelligence: รับข้อมูลเชิงลึกของตลาดแบบเรียลไทม์ เพื่อให้คุณสามารถติดตามโรงแรมคู่แข่งได้ทันการณ์ ดูแลเรื่องราคาห้องพักในทุก ๆ แพลตฟอร์มที่คุณโปรโมทไว้ และช่วยให้คุณตัดสินใจด้านราคาได้ดีขึ้นทุกวัน
  • ระบบจองห้องพัก: ดึงดูดการจองโดยตรงและรายได้ทางออนไลน์ พร้อมเซตข้อเสนอราคาแบบไดนามิกเพื่อเพิ่มระยะเวลาเข้าพักของแขกให้มากขึ้น

ด้วยความสามารถทำงานร่วมกับระบบจัดการมากกว่า 300 รายการ มั่นใจได้เลยว่า PMS ของคุณและ SiteMinder จะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

]]>
การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรม : รายได้ วิธีการ และรายงาน – SiteMinder https://www.siteminder.com/th/r/hotel-forecasting/ Wed, 11 Oct 2023 05:03:53 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/hotel-forecasting/ การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรม คืออะไร?

การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรม(Hotel Forecasting) คือ การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังและปัจจุบัน เพื่อนำมาคาดการณ์ในเชิงธุรกิจโดยพิจารณาถึงความต้องการที่พักและรายได้ในอนาคต

การคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจโรงแรมสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคตและช่วยเพิ่มโอกาสในคุณแก้ไขความผิดพลาดในอดีตและปรับใช้ให้ถูกต้องในปัจจุบัน พร้อมเพิ่มผลกำไรงาม ๆ และยังช่วยเตรียมความพร้อมในการรับมือเมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

แม้ว่าจะคาดการณ์ไม่ได้บ้างในบางครั้ง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์โควิด-19 การคาดการณ์ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการบริหารโรงแรมและสามารถช่วยในการตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์การจัดการรายได้ได้

ไม่ว่าคุณจะเจ้าของโรงแรมมือใหม่หรือดำเนินกิจการมานานแล้ว การทำความเข้าใจความแตกต่างของการคาดการณ์ อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมธุรกิจให้กับโรงแรมของคุณได้

สารบัญ

การคาดการณ์ห้องว่างของโรงแรม คืออะไร?

การคาดการณ์ห้องว่างของโรงแรม คือ เครื่องมือคาดการณ์ที่เจ้าของโรงแรมใช้ประเมินจำนวนห้องว่างที่พร้อมขายในช่วงเวลาที่กำหนด โดยการคาดการณ์นี้จะคำนวณได้จาก จำนวนห้องพักทั้งหมด – จำนวนห้องพักที่คาดว่าจะมีแขกเข้าพัก

ผลลัพธ์จะช่วยให้ผู้จัดการโรงแรมมีไอเดียในการจัดการห้องว่างที่เหลือ ตัดสินใจตั้งราคา โปรโมชัน และช่องทางขายได้อย่างเหมาะสม

ความสำคัญของการคาดการณ์ในอุตสาหกรรมโรงแรม

การคาดการณ์จำเป็นต่อการวางแผนกลยุทธ์ตั้งราคาและจัดการรายได้ หากไม่มีการคำนวณอย่างถี่ถ้วน คุณจะได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและทำให้การคาดการณ์อัตราจองห้องพักในอนาคตไม่แม่นยำ

หากไม่มีการคาดการณ์ คุณจะไม่ได้วางแผนและตั้งราคา คิดโปรโมชันหรือแพ็คเกจสำหรับเดือนต่อๆ ไปอย่างเหมาะสม

ฉะนั้น การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรมที่ดี จะช่วยให้คุณให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดในช่วงไฮซีซั่นและจัดการช่วงโลว์ซีซันได้ง่ายขึ้น

การทำนายที่แม่นยำมากขึ้น, ลดงาน

ตัดสินใจที่ฉลาดขึ้นสำหรับโรงแรมของคุณด้วยธุรกิจอัจฉริยะของ SiteMinder

เรียนรู้เพิ่มเติม

วิธีอ่านรายงานการคาดการณ์รายได้สำหรับธุรกิจโรงแรม

รายงานรายได้โรงแรม จะมีรายละเอียดการเงินทั้งหมด รวมถึงผลประกอบการล่าสุด โอกาสความก้าวหน้า และชาเลนจ์ที่น่าสนใจ

ไม่ว่าคุณจะลงสนามบริหารธุรกิจโรงแรมมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม การเรียนรู้รายละเอียดรายงานนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาโรงแรมของคุณไปสู่การเติบโตและผลกำไร และนี่คือวิธีอ่านรายงานรายได้ที่คุณควรทราบ:

รายงานรายได้โรงแรม จะมีรายละเอียดการเงินทั้งหมด รวมถึงผลประกอบการล่าสุด โอกาสความก้าวหน้า และชาเลนจ์ที่น่าสนใจ

ไม่ว่าคุณจะลงสนามบริหารธุรกิจโรงแรมมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม การเรียนรู้รายละเอียดรายงานนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาโรงแรมของคุณไปสู่การเติบโตและผลกำไร และนี่คือวิธีอ่านรายงานรายได้ที่คุณควรทราบ:

ทำความเข้าใจตัวชี้วัดความสำเร็จ

รายได้เฉลี่ยรายวัน (ADR), รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักทั้งหมด (RevPAR) และรายได้รวม เป็นตัวชี้วัดสำคัญนการคาดการณ์รายได้โรงแรม การเรียนรู้ว่าตัวชี้วัดแต่ละอย่างหมายถึงอะไร จะช่วยให้คุณเห็นภาพการทำงานและส่วนต่าง ๆ ของโรงแรมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง

การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง เป็นพื้นฐานของการคาดการณ์ธุรกิจโรงแรม คุณสามารถคาดเดาความต้องการในอนาคตอย่างแม่นยำได้ด้วยการตรวจสอบแนวโน้มของรายได้ที่ผ่านมา, ความเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและความต้องการของลูกค้า ซึ่งการวิเคราะห์เหล่านี้ จะช่วยให้คุณมองเห็นแพทเทิร์นของการเปลี่ยนแปลงและความผิดปกติที่อาจจะส่งผลต่อรายได้ในอนาคต

แบ่งกลุ่มตลาด

การแบ่งกลุ่มตลาด หมายถึง การจัดกลุ่มกลุ่มเป้าหมายตามหมวดหมู่ เช่น ข้อมูลประชากร, ช่องทางการจอง หรือจุดประสงค์ในการเข้าพัก โดยทำความเข้าใจว่ากลุ่มไหนสร้างรายได้ให้กับคุณมากที่สุด คุณก็จะสามารถวางกลยุทธ์การตลาดและการเงินเพื่อดึงดูดแขกจากทางนั้นให้มากขึ้น พร้อมกับรักษาลูกค้ากลุ่มนี้ให้กลับมาใช้บริการที่คุณไปอีกนาน ๆ

คาดการณ์ความต้องการของตลาดและลูกค้า

การคาดการณ์ความต้องการในอนาคต เป็นกุญแจสำคัญในการตั้งราคาห้องพักและโปรโมชัน คุณสามารถประเมินจำนวนของแขกที่คาดว่าจะเข้าพัก ณ ช่วยเวลานั้น ๆ ได้จากวิธีการจอง, อีเว้นท์ตามปฏิทิน และภาวะของตลาด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการห้องพักในมือและกำหนดราคาได้ดีขึ้น

อัตราการเข้าพัก

อัตราการเข้าพัก คือ เปอร์เซ็นต์ของห้องพักที่ขายได้ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งมีอัตราการเข้าพักมาก หมายความว่าที่พักของคุณมีความต้องการสูงมในช่วงนั้น และหากช่วงไหนอัตราการเข้าพักต่ำ คุณก็สามารถสร้างข้อเสนอสุดพิเศษหรือปรับราคาห้องพักให้เหมาะสมไปตามสถานการณ์ การติดตามอัตราการเข้าพักเป็นประจำ จะช่วยให้คุณตัดสินใจจัดการรายได้ได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจัยภายนอกและเทรนด์ของตลาด

นอกเหลือจากข้อมูลภายในแล้ว ปัจจัยภายนอกก็อาจส่งผลกระทบภาพรวมของรายได้ได้เช่นกัน ในรายงานการคาดการณ์ของคุณ อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่และทั่วโลก, อีเว้นท์ภายในจังหวัด การทำงานของโรงแรมคู่แข่ง และเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง เป็นต้น การตื่นตัวกับปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นใจในการคาดการณ์รายได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำไปอีกระดับ

วิธีคาดการณ์รายได้โรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลของการคาดการณ์ คือ ความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาด เพิ่มประสิทธิภาพอัตราการเข้าพัก และเพิ่มรายได้ให้มากที่สุด

การคาดการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การพิจารณาหลายปัจจัยอย่างถี่ถ้วน เช่น ตัวชี้วัดความสำเร็จ อย่าง จำนวนผู้เข้าพัก, Room Night และรายได้เฉลี่ยรายวัน (ADR) และรวมถึงการจัดสรรพนักงานและจัดหาทรัพยากรด้วย

ยิ่งรวบรวมข้อมูลได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงอยู่เสมอคือ การคาดการณ์โรงแรม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ใช่สูตรเป๊ะ ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอด

คุณควรตรวจสอบผลการทำงานรายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อให้รวบรวมข้อมูลใหม่ ๆ และนำมาวัดประสิทธิภาพการทำงานดูว่าอะไรถูกอะไรผิด วิธีนี้จะช่วยให้คุณปรับแผนกลยุทธ์และอัปเดตข้อมูลล่าสุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลประกอบการให้ดียิ่งขึ้น

การคาดการณ์ธุรกิจโรงแรมขั้นพื้นฐาน ควรพิจารณาจากผลงานย้อนหลังและแนวโน้มของตลาด เพราะสามารถช่วยสรุปสิ่งที่พลาด, สิ่งที่คาดหวังได้ และมองเห็นวิธีพัฒนาศักยภาพโรงแรมได้ในเดือน, ไตรมาส หรือปีถัดไป

วิธีคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจโรงแรม

วิธีเริ่มต้นคาดการณ์ธุรกิจโรงแรมอย่างง่าย คือ การใช้ข้อมูลย้อนหลังเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคต

ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเลือกประวัติการทำงานของเดือนเมษายน (หรือเดือนอื่น) แล้วตรวจสอบตามเช็กลิสต์เหล่านี้:

  • คำนวณ Room Night (จำนวนห้องที่มีผู้เข้าพัก x จำนวนคืนที่แต่ละห้องถูกจอง)
  • อัตราการเข้าพัก
  • รายได้เฉลี่ยรายวัน
  • รายได้รวม
  • ค่าเฉลี่ยระยะเวลาเข้าพัก
  • ระยะเวลาการจองห้องพัก

จากข้อมูลเหล่านี้ คุณสามารถคาดการณ์ตัวเลขที่ใกล้เคียงกันในเมษายนของปีหน้า และสร้างกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มผลกำไรได้

และถ้าใช้โมเดลการคาดการณ์โรงแรมระดับสูง ทางโรงแรมก็สามารถดูข้อมูลตามการแบ่งกลุ่มจากวิธีพื้นฐานด้านบนได้อีกด้วย

โดยมีการพิจารณาสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การจองแบบกลุ่ม หรือ ความต้องการที่เกิดจากเหตุการณ์พิเศษ

ยกตัวอย่างเช่น หากมีบริษัทจองทริปแบบครั้งเดียว คุณสามารถรู้ได้เลยว่ายอดการจองจากบริษัทนี้จะไม่รวมอยู่ในรายได้ของปีหน้า และสามารถหาทางเติมช่องโหว่ตรงนี้ให้เต็มตามจำนวนคืนที่มีห้องว่างหรือสร้างรายได้เพิ่มจากการคาดการณ์การจองอื่น ๆ แทน

และเพื่อให้การคาดการณ์การจัดการรายได้ดีขึ้น ไม่ควรมองข้ามการตั้งราคาของโรงแรมคู่แข่งและภาวะตลาดโดยรวมด้วย เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีความชัดเจนและตั้งราคาได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจตั้งราคาห้องพักตามฤดูกาล, กำหนดเป้าหมายใหม่, สร้างโปรโมชันใหม่ หรือทำการตลาดด้วยการเปรียบเทียบเพื่อเอาชนะคู่แข่ง

ทำความรู้จักกับการคาดการณ์ความต้องการสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมโรงแรม

Demand Forecasting หรือ การคาดการณ์ความต้องการสินค้าและบริการ มีความสำคัญต่อการคาดการณ์จำนวนแขก, การปรับกลยุทธ์กำหนดราคา, การจัดสรรพนักงาน และการตลาดให้เหมาะสม และนี่คือข้อสรุปภาพรวมที่คุณควรรู้:

  • ข้อมูลย้อนหลัง เป็นประวัติการจองห้องพักที่ผ่านมากและแนวโน้มการเข้าพักของแขกที่สามารถคาดการณ์ความต้องการในอนาคตได้
  • แบ่งกลุ่มตลาด คือ แบ่งกลุ่มเป้าหมาย เช่น นักเดินทางเพื่อธุรกิจ หรือ นักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน เพื่อปรับกลยุทธ์การขายให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
  • อัตราการจอง ติดตามอัตราการจองเพื่อประเมินความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
  • อีเว้นท์พิเศษและวันหยุดตามเทศกาล ติดตามอีเว้นท์ในเมืองของคุณและวันหยุดเทศกาลที่เป็นช่วงความต้องการที่พักสูง
  • ปัจจัยภายนอก นึกถึงภาวะเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรม
  • เทคโนโลยี ใช้เครื่องมือโซลูชันที่มีเสถียรภาพ แม่นยำ และคาดการณ์ด้วยระบบอัตโนมัติ.

การคาดการณ์ความต้องการอย่างละเอียดรอบคอบ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการสร้างผลกำไรและความพอใจของแขกได้อีกระดับ

แนวทางการคาดการณ์รายได้โรงแรมที่ดีที่สุด

สิ่งที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลและคาดการณ์ธุรกิจโรงแรม คือ ความถูกต้อง และข้อมูลทั้งหมดต้องเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโรงแรมด้วย

และนี่คือสิ่งที่ควรคำนึงอยู่เสมอเมื่อคาดการณ์รายได้โรงแรม:

  • ข้อมูลย้อนหลังของผลประกอบการและเทรนด์ของตลาด
  • ข้อมูลโรงแรมปัจจุบัน เช่น การจองล่าสุด, โปรโมชันหรือแคมเปญการตลาดที่ผ่านการคัดกรองมาอย่างดี และยอดการเข้าชมเว็บไซต์และคอนเวอร์ชัน
  • เทรนด์ตลาดปัจจุบัน เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวมายังเมืองของคุณเพิ่มขึ้นหรือลดลง หรือ การเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากภาวะตลาด
  • ตรวจสอบว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงประสิทธิภาพของช่องทางขายแต่ละแพลตฟอร์ม ประเภทการเดินทาง (เช่น เดินทางเพราะงานหรือพักผ่อน) ข้อมูลประชากร และตัวชี้วัด เช่น RevPAR
  • ติดตามอีเว้นท์ วันหยุดเทศกาล และสภาวะโดยรวมทั่วโลกอยู่เสมอ
  • ตรวจสอบผลการทำงานและคาดการณ์ร่วมกันเสมอ เพื่อการตัดสินใจที่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • พิจารณาการทำงานของโรงแรมคู่แข่ง
  • เปรียบเทียบการจองของผู้เข้าพักรายใหม่กับการจองจากผู้เข้าพักรายเดิมเพื่อช่วยกำหนดกลยุทธ์ของคุณ
  • พยายามลดข้อผิดพลาด เช่น แบ่งกลุ่มเป้าหมายไม่ถูกต้อง, การจองซ้ำซ้อน, การจองที่รอดำเนินการ, การจองเกินจำนวน, ราคาห้องพักแต่ละแพลตฟอร์มไม่ตรงกัน หรือวันจองไม่ถูกต้อง
]]>
การติดตามราคาโรงแรม: วิธีเช็คราคาห้องพักคู่แข่งอย่างชาญฉลาด https://www.siteminder.com/th/r/hotel-price-monitoring/ Tue, 10 Oct 2023 08:39:54 +0000 https://www.siteminder.com/r/hotel-price-monitoring/ การติดตามราคาโรงแรมคู่แข่ง (hotel price monitoring) คืออะไร?

การติดตามราคาโรงแรม หรือ Hotel Price Monitoring เป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรม โดยเป็นการเฝ้าดูราคาห้องพักทั้งของโรงแรมคุณเองและของคู่แข่งในตลาด วิธีนี้ช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องราคาได้อย่างชาญฉลาด โดยอาศัยข้อมูลจริง ทำให้แข่งขันได้ดีในตลาดและเพิ่มรายได้ไปพร้อมกัน

สารบัญ

ทำไมการติดตามราคาโรงแรมคู่แข่งถึงสำคัญ?

ราคาห้องพักเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดแขกและสร้างผลกำไรให้กับโรงแรม ไม่แปลกเลยที่ผู้ประกอบการโรงแรมที่ประสบความสำเร็จจะทุ่มเทเวลา แรงกาย แรงใจ และเงินทุนไปกับการทำความเข้าใจเรื่องนี้

การติดตามราคาโรงแรมมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ผู้จัดการโรงแรมเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น ตัดสินใจได้แม่นยำกว่าเดิม ลงทุนในโครงการที่มีคุณค่า ปรับปรุงบริการได้ตรงจุด และวางแผนการเติบโตในระยะยาวได้

สรุปคือ การรู้จักติดตามราคาโรงแรมอย่างเชี่ยวชาญ จะทำให้คุณมีข้อมูลที่จำเป็นในการแข่งขันกับคู่แข่ง โดยไม่ต้องเสียรายได้ของตัวเอง และมีความรู้พร้อมตัดสินใจเรื่องราคาห้องพักและบริการต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด

วิธีติดตามราคาโรงแรมออนไลน์

ในยุคดิจิทัลนี้ มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้การติดตามราคาโรงแรมทำได้ง่ายขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ช่วยทำงานซ้ำๆ แทนคุณ ทำให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับงานสำคัญด้านอื่นๆ ของการบริหารโรงแรม

สิ่งสำคัญคือการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น SiteMinder ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรมที่คุณใช้อยู่ได้อย่างราบรื่น และปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของโรงแรมขนาดกลางได้

ประโยชน์ของการติดตามราคาโรงแรมคู่แข่ง

การติดตามราคาโรงแรมไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทั่วไป แต่เป็นวิธีการที่ช่วยสร้างประโยชน์มากมาย ดังนี้:

เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของตลาด

ราคาในธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับฤดูกาลท่องเที่ยว (ช่วงไฮซีซั่น หรือโลว์ซีซั่น)  เทศกาลต่างๆ และกลยุทธ์ราคาของคู่แข่ง 

การติดตามราคาช่วยให้คุณเห็นภาพรวมตลาด และปรับกลยุทธ์ราคาได้ทันท่วงที ไม่ว่าจะรับจองโดยตรงหรือผ่านเครือข่าย OTA (เว็บไซต์จองห้องพักออนไลน์) ที่บริหารจัดการด้วย Channel Manager

ปรับราคาให้เหมาะสมที่สุด

การตั้งราคาที่ลงตัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าตั้งราคาสูงเกินไป (ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องพักโดยตรงหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ) อาจทำให้แขกหันหลัง แต่ถ้าตั้งราคาต่ำเกินไปก็อาจเสียรายได้ 

การติดตามราคาให้ข้อมูลที่จำเป็นในการหาจุดที่สมดุล เพื่อทำรายได้สูงสุดโดยแขกไม่หนีหาย

เทียบเคียงกับคู่แข่ง

ในตลาดที่มีตัวเลือกมากมาย การแข่งขันได้คือสิ่งสำคัญ การติดตามราคาช่วยให้คุณเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งได้แบบเรียลไทม์ ทำให้โรงแรมของคุณยังคงน่าสนใจสำหรับแขกที่กำลังมองหาที่พัก

เพิ่มความพึงพอใจของแขก

ราคาที่แข่งขันได้ไม่เพียงดึงดูดแขก แต่ยังเพิ่มคุณค่าในสายตาแขก ส่งผลให้แขกพึงพอใจมากขึ้น แขกที่พอใจมักจะกลับมาพักซ้ำ แนะนำโรงแรมให้คนอื่น และเขียนรีวิวในเชิงบวก ซึ่งล้วนมีค่ามหาศาลในการสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์

ตัดสินใจด้วยข้อมูล

ในยุคนี้ ข้อมูลคือกุญแจสำคัญ การติดตามราคาโรงแรมให้ข้อมูลที่แม่นยำ ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาห้องพักหรือออกแบบโปรโมชั่นพิเศษ การเข้าใจสถานการณ์ราคาในตลาดช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดโดยอิงกับข้อมูลจริง

บริหารรายได้

การบริหารรายได้ที่มีประสิทธิภาพคือหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่ประสบความสำเร็จ การติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มราคา ช่วยให้คุณวางกลยุทธ์เพิ่มรายได้ในช่วงไฮซีซั่น และรักษากระแสเงินสดในช่วงโลว์ซีซั่น ชดเชยต้นทุนการดำเนินงานและทำกำไรได้ตลอดทั้งปี

จัดสรรทรัพยากร

ข้อมูลจากการติดตามราคาช่วยให้จัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในช่วงหน้าไฮซีซั่น คุณสามารถทุ่มเททรัพยากรไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับแขก ส่วนในช่วงโลว์ซีซั่น คุณอาจมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมด้านการตลาดและโปรโมชั่น

การเติบโตระยะยาว

การติดตามราคาโรงแรมอย่างสม่ำเสมอและข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับ ช่วยวางรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืน มันช่วยให้เข้าใจแนวโน้มของตลาด ความชอบของแขก และประสิทธิภาพของกลยุทธ์ราคา ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

วิธีเลือกเครื่องมือติดตามราคาโรงแรมคู่แข่งที่ดีที่สุด

การเลือกเครื่องมือติดตามราคาโรงแรมที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการติดตามราคาอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อความสำเร็จทางการเงินของโรงแรมคุณ

เครื่องมือที่ดีไม่ควรแค่ติดตามราคาเท่านั้น แต่ควรให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ด้วย นี่คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา:

  • ความง่ายในการเชื่อมต่อ – มองหาเครื่องมือที่เชื่อมต่อกับระบบจัดการโรงแรมที่คุณใช้อยู่ได้อย่างราบรื่น ช่วยให้การติดตามและวิเคราะห์ราคาทำได้ง่ายขึ้น
  • การปรับแต่งได้ – โรงแรมแต่ละแห่งมีความเฉพาะตัว เครื่องมือแบบ “ใช้ได้ทุกที่” หรือ “เหมาะกับทุกคน” อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกเครื่องมือที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของโรงแรมคุณได้ ไม่ใช่คุณต้องปรับตัวตามเครื่องมือ
  • ข้อมูลแบบเรียลไทม์ – ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์และกระบบแจ้งเตือนเมื่อราคาโรงแรมคู่แข่งเปลี่ยนแปลงนั้นมีประโยชน์มหาศาล เครื่องมือติดตามราคาโรงแรมที่ดีต้องมีข้อมูลล่าสุดเสมอ
  • ระบบอัตโนมัติ – การติดตามราคาด้วยมืออาจยุ่งยากและเสียเวลา ด้วยระบบอัตโนมัติ คุณสามารถตั้งกฎการปรับราคาตามสภาวะตลาดได้ ช่วยให้ราคาของคุณแข่งขันได้โดยไม่ต้องจัดการเอง
  • รายงานที่ครอบคลุม – การมีข้อมูลมากมายนั้นดี แต่การเข้าใจข้อมูลต่างหากที่มีค่าจริงๆ ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์การรายงานของ SiteMinder ที่แปลงข้อมูลเป็นข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้ ช่วยในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
  • อินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย – เครื่องมือที่ดีต้องมีหน้าจอการใช้งานที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้แต่คนที่ไม่ถนัดเทคโนโลยีก็ใช้ได้สบาย ซอฟต์แวร์ที่คุณและทีมงานใช้ควรออกแบบมาอย่างดี มีหน้าแดชบอร์ดที่แสดงข้อมูลสำคัญได้อย่างชัดเจน ไม่ซ่อนข้อมูลที่จำเป็นไว้ในที่ที่หายาก และไม่ยัดเยียดข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนไปมาระหว่างหน้าต่างๆ ควรทำได้ง่าย ไม่สับสน เพื่อให้คุณสามารถจัดการงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การสนับสนุนลูกค้า – การมีทีมสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้ พร้อมช่วยเหลือเมื่อคุณเจอปัญหาหรือมีคำถาม เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะสำหรับโรงแรมที่มีหลายสาขาและห้องพักจำนวนมาก ยิ่งธุรกิจซับซ้อนเท่าไหร่ ยิ่งต้องการการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญที่ตอบสนองรวดเร็วมากเท่านั้น
  • การฝึกอบรมและแหล่งข้อมูล – การมีแหล่งข้อมูลการฝึกอบรมที่หลากหลายช่วยเพิ่มความเข้าใจและการใช้งานเครื่องมือติดตามราคาได้อย่างมาก ไม่ว่าเครื่องมือจะล้ำสมัยแค่ไหน ถ้าไม่มีบทเรียนและคำแนะนำที่จำเป็นในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไร้ค่า
]]>
Expedia Partner Central: คู่มือฉบับเต็มสำหรับโรงแรม https://www.siteminder.com/th/r/expedia-partner-central/ Fri, 06 Oct 2023 02:28:55 +0000 https://www.siteminder.com/r/expedia-partner-central/ Expedia Partner Central คืออะไร?

Expedia Partner Central เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมและเจ้าของที่พักให้เช่าระยะสั้น (short-term rental) ซึ่งมีชุดเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้คุณจัดการรายการที่พักของคุณบน Expedia รวมถึง OTAs หรือ Online Travel Agency เจ้าอื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Expedia ช่วยให้คุณจัดการการจอง ปรับเรทราคาต่อคืน อัปเดตสถานะความพร้อมในการเข้าพักของห้องพักได้ทันที ช่วยให้การจัดการข้อมูลห้องพักและการจองต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น

สารบัญ

ทำไมในหลายโรงแรมเลือกใช้ Expedia Partner Central?

Expedia Partner Central เป็นตัวเลือกยอดฮิตในหมู่ผู้ประกอบการโรงแรม หลักๆแล้ว เนื่องมาจากการเข้าถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นหนึ่งในมาร์เก็ตเพลสด้านการท่องเที่ยวชั้นนำของโลกทำให้โรงแรมสามารถเข้าถึงเหล่านักเดินทางจำนวนมากและหลากหลายได้ การเข้าถึงในระดับโลกนี้หมายความว่า ไม่ว่าโรงแรมเล็กหรือใหญ่และตั้งอยู่ที่ไหนก็ตามมีโอกาสดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการจองห้องพัก

ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: 

  • การเข้าถึงและเพิ่มโอกาสมองเห็น (visibility):  เป็นหนึ่งในมาร์เก็ตเพลสแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก เปิดประตูให้เจ้าของโรงแรมมีโอกาสเข้าถึงนักเดินทางหลายล้านคนต่อเดือน
  • เครื่องมือที่ครบวงจร: Expedia Partner Central มีเครื่องมือหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการโรงแรม
  • ตัวช่วยข้อมูลเชิงลึก: ด้วยเครื่องมืออย่าง Rev+(เครื่องมือจัดการรายได้) สำหรับการจัดการรายได้และการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถเปรียบเทียบอัตราราคากับคู่แข่งและปรับปรุงกลยุทธ์การกำหนดราคาได้ 

แพลตฟอร์มมีเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำให้การดำเนินงานสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบจัดการการจอง ตัวช่วยกำหนดราคาห้องพักที่เปลี่ยนแปลงได้ และนำระบบรีวิวมาใช่ สิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมคือการทำความเข้าใจแนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมของลูกค้า ทำให้สามารถปรับปรุงการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทุกแพลตฟอร์มจะมีขั้นตอนการเรียนรู้การใช้งานที่แตกต่างกัน ผู้ประกอบการโรงแรมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจฟีเจอร์ต่างๆ และวิธีการใช้งานเพื่อให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หมั่นตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลต่างๆ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลสนับสนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

วิธีการเป็น Expedia Partner

ในการสมัครเข้าร่วม Expedia Partner Central คุณต้องสร้างบัญชี Expedia ก่อน เมื่อคุณลงทะเบียนแล้ว คุณสามารถจัดการลิสที่พักของคุณ พูดคุยกับแขก และใช้เครื่องมือของแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและการจองของโรงแรม

One source of truth for all listings with SiteMinder

SiteMinder makes it easy to list, update and optimise all of your property listings across 450+ OTAs - including Expedia - from one place.

Learn more

การเข้าสู่ระบบ Extranet ของ Expedia

ค้นหาหน้าล็อกอิน Extranet ของ Expedia

เข้าสู่หน้าล็อกอิน Expedia Partner Central ที่ www.expediapartnercentral.com

เข้าสู่ระบบในฐานะ Expedia Partner

ใช้อีเมลที่ลงทะเบียนและรหัสผ่านของคุณเพื่อล็อกอิน หากคุณเป็นสมาชิกใหม่ คุณต้องตั้งค่าบัญชี Expedia Partner ก่อน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโรงแรมของคุณ ดังนั้นเตรียมข้อมูลให้พร้อม

เข้าสู่ระบบในฐานะ Expedia travel agent

โปรแกรมพันธมิตร Expedia Travel Agent Affiliate Program (TAAP) เป็นแพลตฟอร์มแยกต่างหากที่ออกแบบมาจาก Expedia Group Partner ลงทะเบียนตามความสนใจผ่านเว็บไซต์โซลูชั่นพันธมิตรกลุ่ม Expedia เพื่อไปหน้า TAAP

Expedia Partner Central login

แดชบอร์ด Extranet ของ Expedia

เมื่อคุณเข้าสู่ระบบ Expedia Partner Central คุณจะเจอแดชบอร์ด Extranet ซึ่งเป็นหน้าหลักในการจัดการและแสดงผลพร็อพเพอร์ตี้ของคุณบน Expedia

แดชบอร์ดนี้จะแสดงภาพรวมของรายการที่พักของคุณอย่างชัดเจน ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและยืนยันว่ารายการที่พักนั้นเป็นของโรงแรมคุณอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบสถานะการจองได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คุณสามารถติดตามอัตราการเข้าพักและแขกที่กำลังจะมาเข้าพักได้

ฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งคือเครื่องมือการจัดการเรทราคา ช่วยให้คุณปรับอัตราราคาห้องพักได้ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงหรือช่วงเทศกาลต่างๆ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเครื่องมือใดๆ ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้งานอย่างเหมาะสม ดังนั้น ควรตรวจสอบและปรับอัตราราคาห้องพักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด

รีวิวและข้อเสนอแนะจากแขกก็สามารถเข้าถึงได้จากแผงควบคุมเช่นกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่า เพราะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของโรงแรมของคุณได้หากจัดการอย่างถูกต้อง การตอบกลับรีวิวเชิงลบอย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

จัดการลิสรายการของโรงแรม

การจัดการรายการโรงแรมอย่างมีประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์มเช่น Expedia Partner Central เป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดแขก

  • การมีรายละเอียดข้อมูลแน่นและภาพชัดๆให้แขกที่สนใจเข้าพัก ช่วยให้แขกนึกภาพออกว่าโรงแรมหน้าตาเป็นยังไง แต่รูปภาพต้องตรงปก เพราะเราไม่ต้องการตั้งความหวังเกินจริงให้กับแขกที่จะมาเข้าพัก 
  • ควรบอกรายละเอียดเกี่ยวกับโรงแรมทุกอย่างตามจริง ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเกี่ยวกับรายละเอียดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในโรงแรมว่ามีอะไรบ้าง ไม่มีอะไรบ้าง มีข้อจำกัดใช้งานอะไรบ้าง 
  • คอยอัพเดทห้องพักที่ว่างและที่เต็ม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจองซ้อนกัน
  • ใช้เครื่องมือช่วยเช่น channel manager ซึ่งเชื่อมต่อระบบจองในหลายแพลตฟอร์ม อัพเดทข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มการจองที่พักสูงสุด

การลิสโรงแรมของคุณใน Expedia แล้วบริหารจัดการให้ดี จะสามารถช่วยลดปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้น เพิ่มความพึงพอใจของแขกที่มาเข้าพักกับคุณได้

ฟีเจอร์และเครื่องมือต่างๆบน Extranet ของ Expedia

Expedia Partner Central มีตัวช่วย 2 อย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ Rev+ และ Guest Experience Tool (เครื่องมือเสริมสร้างประสบการณ์ของแขก)

Rev+ เป็นแดชบอร์ดที่แสดงตัวชี้วัดต่างๆเช่น ราคาห้องพักรายวันเฉลี่ย (ADR) และอัตราการเข้าพัก ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Rev+ คือฟังก์ชันการวิเคราะห์คู่แข่ง ซึ่งช่วยเปรียบเทียบราคาห้องกับคู่แข่งที่เลือกได้ นอกจากการนำเสนอข้อมูลแล้ว Rev+ ยังให้คำแนะนำเรทราคาห้องตามปัจจัยตลาดต่างๆ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทศกาลต่างๆและช่วงเวลาการเดินทางที่มีคนเข้าพักสูง ซึ่งสามารถใช้ในการปรับกลยุทธ์การกำหนดราคา สำหรับการวิเคราะห์แบบเจาะลึกเพิ่มเติม ผู้ใช้สามารถกดสร้างรายงานประสิทธิภาพได้

Guest Experience Tool อยู่ในตัวเลือก ‘Guest Feedback’ ที่แสดงภาพรวมของรีวิวทั้งหมด เครื่องมือนี้ช่วยในการตอบสนองต่อความคิดเห็นของแขกทั้งเชิงบวกและลบได้ทันเวลา โดยการวิเคราะห์รูปแบบความคิดเห็น ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถรู้ได้ว่ามีจุดไหนบ้างที่ต้องปรับปรุง อีกทั้งเครื่องมือนี้ยังมีตัวเลือกในการกดสร้างรายงาน ทำให้เห็นภาพรวมแนวโน้มระยะยาวจากคำติชมของแขก

การเชื่อมต่อ Expedia Partner Central กับระบบอื่นๆ

Expedia Partner Central สามารถบูรณาการกับแพลตฟอร์มและระบบจัดการพร็อพเพอร์ตี้อื่นๆ ซึ่งการบูรณาการที่ราบรื่นนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถจัดการรายการโรงแรมต่างๆ ในที่เดียว เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเพิ่มรายได้

แต่อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกระบบจัดการพร็อพเพอร์ตี้สามารถเชื่อมต่อกับ Expedia ถึงแม้สามารถเชื่อมต่อกันได้ แต่ไม่การันตีว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ถ้าหากโรงแรมของคุณพึ่งพา Expedia เป็นแหล่งที่มาในการจองห้องพัก คุณควรใช้ระบบจัดการพร็อพเพอร์ตี้ หรือซอฟต์แวร์อื่นร่วมด้วย 

ไม่งั้น การดำเนินงานต่างๆอาจซับซ้อนและยุ่งยาก เช่นต้องล็อกอินหลายรอบ กรอกข้อมูลเดิมๆซ้ำๆ ทำให้เสียเงิน เสียเวลา รวมถึงเสียความอดทนด้วย

ดึงดูดนักเดินทางมากขึ้นบนเว็บไซต์ของ Expedia Group ด้วยระบบยินดีคืนเงิน

จากผลสำรวจล่าสุดโดย Expedia Group พบว่าการที่สามารถยกเลิกการจองและรับเงินคืนเต็มจำนวนได้ หากเปลี่ยนใจ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาจองการเดินทาง โดยมากกว่า 50% บอกว่าพวกเขาจะไม่จองที่พักที่ไม่สามารถคืนเงินได้ แม้ว่าจะมีส่วนลดก็ตาม

ความยืดหยุ่นคือหัวใจหลัก

การมอบความยืดหยุ่นให้แก่ลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในมุมมองของนักเดินทางในปัจจุบัน ดังนั้น นโยบายยกเลิกที่ยืดหยุ่นสามารถเป็นจุดขายที่สำคัญของโรงแรมคุณเหนือคู่แข่งได้ 

เมื่อคุณลงทะเบียนในเว็บไซต์ของ Expedia Group โรงแรมของคุณจะขึ้นว่า ‘คืนเงินเต็มจำนวน’ หรือ ‘ยกเลิกฟรี’ ในผลการค้นหา ซึ่งจะดึงดูดความสนใจในการจองที่พักกับคุณ ช่วยให้คุณโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ทำให้นักเดินทางมั่นใจมากขึ้นในการจอง เพราะหากแผนเที่ยวเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ต้องเสียเงินฟรี

เราแนะนำให้ใช้ข้อเสนอ พร้อมคืนเงิน 100% สำหรับการยกเลิกใกล้วันเข้าพัก (สองวันหรือน้อยกว่า) เพื่อให้ความยืดหยุ่นอย่างเต็มที่แก่นักเดินทาง และสามารถติดต่อผู้จัดการตลาดของ Expedia Group เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้

พร้อมรับเงินคืน?

เพียงไม่กี่คลิกเพื่อตั้งค่ากับ Expedia ผ่านระบบจัดการช่องทางของ SiteMinder ซึ่งแพลตฟอร์ม SiteMinder จะช่วยคุณสร้างการเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ระหว่างระบบจัดการช่องทางของเรากับ Expedia จากนั้นคุณสามารถอัปเดตราคาห้องพัก จำนวนห้องที่ว่างได้อย่างง่ายดาย — รวมถึงตั้งค่าแผนราคาและข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งรวมถึงนโยบายการยกเลิกได้อย่างสะดวก

]]>
Booking.com Extranet: คู่มือการเข้าสู่ระบบพอร์ทัล https://www.siteminder.com/th/r/hotel-distribution/hotel-management-tips-ideas/booking-com-extranet/ Fri, 22 Sep 2023 07:01:34 +0000 https://www.siteminder.com/uncategorized-th/booking-com-extranet/ พอร์ทัล Booking.com Extranet คืออะไร?

Booking.com Extranet เป็น แดชบอร์ดบริหารงาน ที่ถูกออกแบบมาสำหรับเจ้าของที่พักที่ลงทะเบียนที่พักของตนใน เว็บไซต์จองโรงแรม Booking.com
เมื่อล็อกอินเข้าใช้งานแล้ว มันจะให้มุมมองและควบคุมที่เป็นรูปภาพทั้งหมดที่แสดงบนหน้าที่พักของคุณใน Booking.com ซึ่งรวมถึงตัวเลือกการชำระเงินและนโยบาย ห้องพักและอัตราค่าบริการ รูปภาพและคำอธิบาย คะแนนของผู้เข้าพัก และอื่น ๆ

นอกจากนี้ มันยังให้บันทึกรายการจองที่ผ่านมาและที่จะมีในอนาคต ตัวเลือกในการตั้งค่าดีล และการวิเคราะห์ที่มีค่าที่ช่วยเน้นประสิทธิภาพของที่พักของคุณในไซต์ นอกจากนี้ Extranet ยังช่วยในการสื่อสารกับแขกผ่านเทมเพลตข้อความและข้อความที่กำหนดเวลา เพื่อให้การแชร์ข้อมูลที่สำคัญเป็นไปอย่างทันเวลา

สารบัญ

ทำไมโรงแรมถึงใช้พอร์ทัล Booking.com Extranet?

โรงแรมใช้พอร์ทัล Booking.com Extranet ในการ:

  • การจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ: ผู้ใช้สามารถอัปเดตหรือเปลี่ยนรายละเอียดที่พัก ตรวจสอบการจองที่จะมีอยู่ในอนาคต และปรับปฏิทินความพร้อมให้บริการได้อย่างไม่ยาก
  • ข้อมูลเชิงลึกด้านประสิทธิภาพ: เจ้าของที่พักและผู้จัดการสามารถเข้าถึงเคล็ดลับและคำแนะนำในแท็บopportunityเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของที่พักของคุณ
  • การสื่อสาร: คุณสามารถตั้งค่าเทมเพลตข้อความและกำหนดเวลาข้อความอัตโนมัติถึงแขกได้ ซึ่งจะทำให้กระบวนการสื่อสารคล่องตัวขึ้น
  • ความปลอดภัย: แพลตฟอร์มนี้รับประกันความปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การยืนยันตัวตนในระหว่างการเข้าสู่ระบบครั้งแรก

ฉันจะหาพอร์ทัล Booking.com ได้อย่างไร?

เมื่อการลงทะเบียนที่พักของคุณได้รับการอนุมัติจาก Booking.com คุณจะได้รับอีเมลที่มีข้อมูลการล็อกอินของคุณ โดยใช้รายละเอียดเหล่านี้คุณสามารถเข้าถึงพอร์ทัลได้โดยการเข้าชม URL admin.booking.com

“ฉันได้ใช้งาน channel manager ที่แตกต่างกันมากมาย แต่ SiteMinder ใช้งานง่ายที่สุดและฉันประทับใจกับทีมช่วยเหลือตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น การเชื่อมต่อกับ PMS ของเรา ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดีและยังคงเป็นเรื่องที่เราจดจำตลอดเวลา โดยรวมคุณประโยชน์มีมากพอที่จะทำให้เรายังคงเลือก SiteMinder เป็น channel manager ของเราไปตลอด” – Capterra

จัดการพอร์ตโฟลิโอรายการทั้งหมดของคุณได้จากที่เดียว

SiteMinder ทำให้ง่ายต่อการลงทะเบียน อัปเดต และปรับปรุงทุกรายการที่พักของคุณในกลุ่ม OTAs มากกว่า 450 รายการ - รวมทั้ง Booking.com - จากที่เดียว.

เรียนรู้เพิ่มเติม

วิธีใช้ Booking.com extranet

ก่อนที่คุณจะเริ่มใช้ Booking.com extranet คุณต้องมีบัญชีที่ใช้งานได้ ต่อไปนี้คือวิธีการสร้างบัญชี

การสร้างบัญชี Booking.com

เพื่อ ลงทะเบียนที่พักของคุณ ใน Booking.com:

  • เข้าสู่ Booking.com และไปที่ หน้าลงทะเบียนที่พัก
  • กรอกรายละเอียดที่จำเป็นเกี่ยวกับที่พักของคุณ รวมถึงประเภท สิ่งอำนวยความสะดวก และทำเล
  • เมื่อได้รับการอนุมัติคุณจะได้รับอีเมลที่มีรายละเอียดการล็อกอินของคุณ เพื่อให้คุณเข้าถึงพอร์ทัล

การล็อกอิน Booking.com extranet

  • เข้าสู่ admin.booking.com
  • กรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ได้รับ
  • ในการล็อกอินครั้งแรกของคุณ โปรดเลือกภาษาที่คุณต้องการ
  • ยืนยันตัวตนของคุณโดยใช้รหัสหกหลักที่ส่งผ่านข้อความ โทรศัพท์ หรือแอปพลิเคชัน Pulse

การไปยังแดชบอร์ดเอกซ์ทราเน็ตของ Booking.com

เมื่อเข้าสู่ระบบ คุณจะพบกับหน้าแรก ส่วนนี้นำเสนอมุมมองแบบองค์รวมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของที่พักของคุณ รวมถึงการมาถึง การออกเดินทาง การพักค้างคืน คำขอของแขก และอื่นๆ คุณจะพบรายละเอียดเฉพาะเพิ่มเติมสำหรับโรงแรมของคุณในแถบนำทางที่ด้านบนของหน้า ซึ่งอาจรวมถึง:

  • ปฏิทินและราคา
  • โปรโมชั่น
  • การจอง
  • รายละเอียดที่พัก
  • โอกาส
  • กล่องขาเข้า
  • ความคิดเห็นจากแขก
  • การเงิน
  • การวิเคราะห์

ถ้าคุณมีโรงแรมหลายแห่ง คุณอาจมีหน้าแรกของกรุ๊ป ซึ่งช่วยให้คุณสามารถกรองตามสถานที่แต่ละแห่งได้ รวมถึงมีมุมมองกลยุทธ์ระดับสูงขึ้นเพื่อดูผลการดำเนินงานข้ามกลุ่มได้ด้วย

สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น คุณสามารถติดต่อทีมงาน Booking.com ได้ทางอีเมลหรือโทรศัพท์ คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

การจัดการรายชื่อโรงแรม

คุณสามารถแก้ไขรายละเอียดห้องพัก ตั้งค่าความพร้อมใช้งาน และไปถึงการปิดโฆษณาชั่วคราวได้ตามต้องการ โปรดจำไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่นี่จะแสดงผลโดยตรงและทันทีในหน้าโรงแรมของคุณใน Booking.com

ระบบข้อความ

ใช้ extranet เพื่อตั้งค่าเทมเพลตข้อความและตั้งเวลาส่งข้อความอัตโนมัติถึงแขก นี้จะทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างทันทีและเพิ่มประสบการณ์ของแขก มีผู้ใช้ใช้เพื่อส่งข้อมูลสำคัญก่อน ระหว่าง และหลังการเข้าพักของแขก รวมถึงข้อมูลการจองและคำขอรีวิว

booking.com extranet
เข้าสู่ระบบ ใน Booking.com extranet

Booking.com Pulse App

พาร์ทเนอร์ Booking.com ที่มีบัญชี Extranet สามารถเข้าสู่ Pulse, แอปมือถือของ Booking.com ได้ การเปลี่ยนแปลงในแอปนี้จะปรากฏในบัญชี Extranet ของคุณและกลับกันไปทั้งหมด ฟังก์ชันหลักของแอปสามารถแบ่งออกเป็นห้าหมวดหมู่:

กิจกรรมการจัดลิสต์

ผ่านแอป Pulse ผู้จัดการโรงแรมและเจ้าของทรัพย์สินมีความสะดวกสบายในการเปิดใช้การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ นี้ทำให้ได้รับการอัปเดตทันทีเกี่ยวกับกิจกรรมการจัดลิสต์ที่สำคัญ รวมถึงการจองใหม่ การยกเลิก คำถามจากแขก และรีวิว คุณลักษณะนี้ช่วยลดการเข้าสู่ระบบตลอดเวลาใน Booking.com Extranet เพื่อตรวจสอบการจัดลิสต์ของทรัพย์สิน

ปฏิทินการจอง

ปฏิทินการจอง ส่วนสำคัญของเครื่องมือการจัดการข้อมูลของคุณ สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านแอป Pulse ภายในส่วน ‘การจอง’ ผู้ใช้สามารถดูรายละเอียดการจอง เข้าถึงข้อมูลแขกและติดตามแนวโน้มราคาได้ นอกจากนี้ มันยังให้ภาพรวมรวดเร็วเกี่ยวกับการมีแขกในวันที่เลือก

ความพร้อม

ปฏิทินของ Booking.com ไม่เพียงแสดงการจองปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังแสดงช่องว่างที่เหลือ ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราค่าห้องปัจจุบันและกรณีที่ไม่มีแขกเข้าพัก หากมีการว่างเปล่าหรือการจองจากแพลตฟอร์มอื่นๆ แอปยังช่วยให้สามารถปรับการพร้อมใช้งานได้โดยรวดเร็ว

ศูนย์ข้อความ

การตอบข้อซักถามของแขกเป็นสิ่งสำคัญของการจัดการโรงแรม ฟังก์ชั่นแชทสดของแอป Pulse อำนวยความสะดวกในการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ระหว่างแขกและเจ้าของที่พัก ทำให้กระบวนการตัดสินใจสำหรับผู้มีโอกาสเป็นแขกคล่องตัวขึ้น สำหรับคำถามที่พบบ่อย แอปจะอนุญาตให้ผู้ใช้ดูการตอบกลับอัตโนมัติได้ แม้ว่าการตั้งค่าจะได้รับการจัดการผ่านเอกซ์ทราเน็ตก็ตาม

รีวิวจากแขก

การตอบสนองต่อความคิดเห็นของผู้เข้าพักถือเป็นสิ่งสำคัญ และในบางครั้งอาจมีความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสร้างสมดุลระหว่างงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแขก แอป Pulse ช่วยให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นโดยช่วยให้เจ้าของโรงแรมสามารถตอบรีวิวของแขกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีการตอบกลับทันเวลาและเหมาะสม

วิธีเปลี่ยนอัตราใน Booking.com extranet

การปรับอัตราของคุณทำได้ง่ายตรงไปตรงมา นำทางไปยังที่พักของคุณ ไปที่แท็บ “ราคาและห้องว่าง” และทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น หากคุณใช้ระบบบูรณาการ เช่น SiteMinder จะเป็นการดีกว่าถ้าเปลี่ยนราคาของคุณจากแพลตฟอร์ม SiteMinder เพื่อหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนและบรรลุความเท่าเทียมกันของราคาสำหรับรายการนี้ผ่าน OTA หลายรายการ

]]>
Travel wholesaler คืออะไร รวมทุกสิ่งที่คุณควรรู้ https://www.siteminder.com/th/r/travel-wholesalers/ Wed, 13 Sep 2023 05:12:36 +0000 https://www.siteminder.com/r/travel-wholesalers/ Travel wholesaler คืออะไร?

Travel wholesaler คือบริษัทที่ทำธุรกิจแบบ B2B (ขายให้ธุรกิจด้วยกัน) โดยทำหน้าที่ซื้อห้องพักจำนวนมากจากโรงแรมในราคาพิเศษที่ได้ส่วนลด จากนั้นนำห้องพักที่ซื้อมานั้นไปขายต่อให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น OTA (Online Travel Agencies) หรือบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์, ตัวแทนท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม, บริษัททัวร์, สายการบิน และผู้ขายบริการท่องเที่ยวหรือที่พักรายอื่นๆ 

โดยสรุป Travel wholesaler ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการซื้อห้องพักจำนวนมากจากโรงแรมแล้วกระจายขายต่อให้กับธุรกิจในวงการท่องเที่ยว

Travel wholesaler หรือที่เรียกอีกอย่างว่า bed bank ทำหน้าที่เป็น ‘คนกลาง’ ระหว่างตัวแทนท่องเที่ยวกับผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะจะไม่ขายห้องพักโรงแรมของคุณให้กับนักท่องเที่ยวโดยตรง

Travel wholesaler แต่ละรายมีราคาและวิธีการขายที่แตกต่างกันสำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโปรแกรม บางรายอาจเน้นขายเฉพาะห้องพัก ในขณะที่บางรายอาจนำเสนอในรูปแบบแพ็คเกจ นอกจากนี้ บางรายยังอาจจำกัดการให้บริการเฉพาะกับที่พักบางประเภทหรือตลาดบางกลุ่มเท่านั้น

แม้ว่า Travel wholesaler จะเป็นประเด็นที่สร้างความเห็นแตกต่างในอุตสาหกรรม แต่มุมมองใหม่ต่อธุรกิจนี้อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับกิจการของคุณก็เป็นได้ ลองมาพิจารณากันอย่างละเอียดยิ่งขึ้น

สารบัญ

ทำไมเราถึงควรพูดถึง Travel wholesaler สำหรับธุรกิจโรงแรม?

หากใช้อย่างมีกลยุทธ์ Travel wholesaler สามารถเป็นส่วนสำคัญในแผนการกระจายช่องทางการขายห้องพักของโรงแรมคุณ โดยเปิดโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น กลยุทธ์การกระจายช่องทางการขายที่เหมาะสมควรมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการจองโดยตรงและการจองผ่านบุคคลที่สาม พร้อมทั้งมีแหล่งรายได้จากหลายช่องทาง

อย่างไรก็ตาม Travel wholesaler มักสร้างข้อถกเถียงและเป็นประเด็นขัดแย้งในอุตสาหกรรมโรงแรม เนื่องจากอาจมีข้อเสียที่น่าหงุดหงิดสำหรับผู้จัดการทรัพย์สินและผู้จัดการรายได้ ถึงขนาดที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องระมัดระวังอย่างมากในการร่วมงานกับพวกเขา

แต่เมื่อเกิดวิกฤต COVID-19 ขึ้น ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงและใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่นำโดยเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังเร่งให้เกิดความต้องการในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแรงจูงใจ พฤติกรรม และความชอบของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ตายตัว

เมื่อการกระจายความเสี่ยงกลับมาเป็นวาระสำคัญอีกครั้ง Travel wholesaler จึงเปรียบเสมือนประตูบานใหม่ที่เปิดกว้างขึ้น

Diversify and boost revenue

Use SiteMinder's smart platform to easily sell inventory to your preferred wholesalers.

Learn more

โรงแรมของคุณควรพิจารณาใช้บริการ bed bank หรือไม่?

สำหรับโรงแรมบางแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่และเครือโรงแรม การใช้ bed bank สามารถเป็นประโยชน์อย่างมาก หากมีข้อตกลงที่ดีและมีเทคโนโลยีการกระจายช่องทางการขายที่เหมาะสม

คำแนะนำปัจจุบันสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่:

  • เริ่มพิจารณากลุ่มลูกค้าเฉพาะและลักษณะของแขกที่เข้าพัก
  • มุ่งเน้นการปรับปรุงเครือข่ายช่องทางการขายให้ดียิ่งขึ้น
  • สร้างการมีตัวตนบนโลกออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสในการจอง

นอกจากนี้ มุมมองที่เด่นชัดขึ้นหลังการระบาดใหญ่คือ Travel wholesaler กำลังปรับตัวใช้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบมากขึ้น โดยเน้นความโปร่งใสและลดการแบ่งแยกราคาที่ซื้อมา ทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในการกำหนดราคา

แนวโน้มตลาดที่มุ่งสู่การจองในนาทีสุดท้ายทำให้โรงแรมต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่นมากขึ้นในการขายห้องพัก ส่งผลให้ bed bank อย่าง Hotelbeds สามารถปรับแนวทางการเป็นพันธมิตรกับโรงแรมให้ตอบโจทย์มากขึ้น

เมื่อรวมกับความสามารถในการจัดการราคาที่ต่อรองได้แบบเรียลไทม์ด้วยแพลตฟอร์ม hotel commerce  สำหรับโรงแรมอย่าง SiteMinder ทำให้ Travel wholesaler กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ

สื่อข่าวด้านการท่องเที่ยวชั้นนำรายงานว่า มูลค่าห้องพักที่โรงแรมขายผ่าน bed bank จะสูงเกิน 50 พันล้านดอลลาร์ในอนาคต เนื่องจากตลาด wholesale กำลังได้รับการปรับปรุงด้วยโซลูชันเทคโนโลยีขั้นสูง

วิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ได้สร้างกลุ่มลูกค้าที่ชอบจองทริปในนาทีสุดท้าย ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมจำเป็นต้องเลิกใช้วิธีกระจายช่องทางการขายแบบ B2B ที่ทำด้วยมือ หากต้องการรับมือกับสถานการณ์นี้

นอกจากนี้ การคุ้มครองนักท่องเที่ยวที่มาพร้อมกับการจองแพ็คเกจท่องเที่ยว ทำให้การจองผ่านช่องทางการขายแบบดั้งเดิมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Travel wholesaler กลับมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกครั้ง

Image explaining hotel wholesalers

ข้อดีและข้อเสียของ Travel wholesaler สำหรับโรงแรม

แม้ว่า Travel wholesaler จะเป็นวิธีการกระจายช่องทางการขายห้องพักที่น่าสนใจ แต่โรงแรมของคุณควรชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียให้ดีก่อนตัดสินใจ

มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ข้อดีของ Travel wholesaler สำหรับโรงแรม

  • Travel wholesaler ช่วยขายห้องพักของคุณผ่านตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์และตัวแทนขายปลีก ทำให้โรงแรมของคุณมีโอกาสเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่พลาดช่องทางการขายใดๆ
  • มีหลาย Travel wholesaler มีความเชี่ยวชาญในการเปิดประตูสู่ตลาดที่หลากหลาย ซึ่งโรงแรมของคุณอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง การร่วมงานกับ Travel wholesaler จึงเหมือนกับการได้ทำการตลาดให้กับโรงแรมของคุณโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • การทำสัญญากับ Travel wholesaler มีข้อดีคือ คุณสามารถคาดการณ์อัตราการเข้าพักได้แม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังมั่นใจได้ว่าจะมียอดการจองในปริมาณที่แน่นอนและได้รับเงินล่วงหน้า ซึ่งช่วยในการวางแผนธุรกิจและการจัดการกระแสเงินสด

ข้อเสียของการใช้ Travel wholesaler 

  • แม้ Travel wholesaler จะมีเจตนาดี แต่เมื่อห้องพักถูกขายออกไปแล้ว การควบคุม OTA หรือคนกลางอื่นๆ ก็ทำได้ยาก
  • Travel wholesaler มักเรียกราคาเน็ตที่ต่ำมาก (หรือขอค่าคอมมิชชั่นสูง) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำไรของโรงแรม เพราะยิ่งขายในราคาที่ต่ำ หรือต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นสูง กำไรที่โรงแรมได้รับก็จะยิ่งน้อยลง 
  • ราคาที่ตกลงกันมักคงที่เป็นเวลานาน ทำให้โรงแรมปรับราคาเพื่อเพิ่มกำไรได้ยาก
  • เกิดสัญญาหลายทอด ทั้งระหว่างโรงแรมกับ Travel wholesaler และระหว่าง Travel wholesaler กับเว็บจองออนไลน์หลายแห่ง ส่งผลให้ราคาในตลาดแตกต่างกันมาก
  • ราคาห้องพักที่ควรจะขายเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจท่องเที่ยว บางครั้งกลับถูกแยกออกมาขายเดี่ยวๆ ในราคาที่ถูกมาก ทำให้ต่ำกว่าราคาที่โรงแรมขายเองโดยตรง ส่งผลให้โรงแรมเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคา

บรรดา travel wholesaler ชื่อดัง

ต่อไปนี้คือลิส Travel wholesaler หรือ Bed bank ที่คุณอาจคุ้นเคย:

  • Abreu Online
  • Bedswithease
  • Bonotel
  • GRNconnect
  • Hotelbeds
  • HPro Travel (HotelsPro)
  • Jumbo Tours
  • Tourism Exchange
  • Travco
  • WebBeds

ทางเลือก Travel wholesaler สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมนั้นมีไม่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ SiteMinder เพียงรายเดียวก็เชื่อมต่อกับ Travel wholesaler มากกว่า 100 รายแล้ว

Travel wholesaler รายใหญ่ในตลาดมีอะไรบ้าง?

HPro Travel (ชื่อเดิม HotelsPro) ถือเป็น Travel wholesaler ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด โดยทำงานร่วมกับโรงแรมกว่า 1 ล้านแห่ง ครอบคลุมกว่า 70,000 แหล่งท่องเที่ยว 15,000 เมือง และ 205 ประเทศ

Hotelbeds เป็นอีกหนึ่ง Travel wholesaler รายใหญ่ที่ดำเนินงานใน 185 ประเทศ และรองรับที่พักหลากหลายประเภท เช่น โรงแรม รีสอร์ท บูทีค โฮสเทล อพาร์ตเมนต์ วิลล่า และ B&B

WebBeds ก็ถือเป็นยักษ์ใหญ่อีกรายในวงการนี้ โดยมีโรงแรมในเครือข่ายเกือบ 400,000 แห่ง ครอบคลุม 14,000 แหล่งท่องเที่ยว และทำงานใกล้ชิดกับทั้งโรงแรมอิสระและเครือโรงแรม

การทำสัญญากับทาง Travel wholesaler สำหรับโรงแรมของคุณ

เคล็ดลับดีๆ ในการทำสัญญาข้อตกลงกับทาง Travel wholesaler มีดังนี้:

  1. วางแผน ศึกษา และทดลอง
    อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการอะไร เพราะ Travel wholesaler แต่ละเจ้าอาจมีจุดเด่นต่างกัน บางเจ้าอาจถนัดตลาดหนึ่ง บางเจ้าอาจเก่งกับลูกค้าอีกกลุ่ม พอวางแผนเสร็จแล้ว ลองเลือกพาร์ทเนอร์ที่น่าสนใจมาทดลองทำสัญญาระยะสั้นก่อน ดูซิว่าคุ้มพอจะทำสัญญายาวๆ ต่อไหม
  2. บริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง
    เพื่อป้องกันปัญหาราคาไม่เท่ากัน โดยเฉพาะตอนที่เราปรับราคาแรงๆ สิ่งสำคัญคือต้องมอง Travel wholesaler เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์จริงๆ และคอยดูแลจัดการสัญญาอยู่เสมอ
  3. วิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ
    ถ้าคุณรู้ว่าการละเมิดสัญญาเกิดขึ้นเมื่อไหร่และที่ไหน คุณจะตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรเปลี่ยนแปลงสัญญาในอนาคตอย่างไร หรือจะยังคงความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ต่อไปหรือไม่
  4. มองหาพันธมิตรที่มีแนวคิดคล้ายกัน
    ถ้าปรัชญาการทำโรงแรมของคุณเน้นเรื่องการบริการและการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า คุณควรหาพาร์ทเนอร์ที่มีแนวคิดเดียวกัน อย่างที่เรารู้กันดีว่าบางรายสนใจแต่ยอดขายมากกว่าการดูแลลูกค้า ดังนั้นต้องเลือกให้ดีก่อนทำสัญญากับ Travel wholesaler
  5. เป็นฝ่ายรุกและควบคุมสถานการณ์
    การทำสัญญาแบบปรับราคาได้ตามสถานการณ์ (Dynamic rate agreements) จะช่วยลดความแตกต่างของราคาและให้คุณควบคุมได้มากขึ้น ควรเลือก Travel wholesaler ที่ยอมรับเงื่อนไขของคุณได้ สำคัญมากที่คุณต้องสามารถปรับราคาตามอุปสงค์และอุปทานในทุกกลยุทธ์การขายของคุณ

ถ้าคุณมีทรัพยากรเพียงพอที่จะทุ่มเทให้กับการจัดการสัญญากับ Travel wholesaler เหมือนอย่าง IHG ก็จะเป็นประโยชน์มาก แต่ถ้าไม่มี ก็ควรหาข้อมูลและแบ่งปันประสบการณ์ให้มากที่สุด ผู้ประกอบการโรงแรมสามารถเรียนรู้ได้มากจากประสบการณ์จริงและจากเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม วงการโรงแรมนั้นใหญ่มาก และชุมชนโรงแรมมักจะก้าวข้ามความท้าทายได้ด้วยการร่วมมือกันและการสร้างพันธมิตรอย่างชาญฉลาด

]]>
ค่าธรรมเนียมโรงแรมต่างๆและเซอร์วิสชาร์จ https://www.siteminder.com/th/r/hotel-fees/ Thu, 07 Sep 2023 23:45:35 +0000 https://www.siteminder.com/r/hotel-fees/ ค่าธรรมเนียมโรงแรมคืออะไร มีอะไรบ้าง?

ค่าธรรมเนียมโรงแรมคือ ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มเติมที่แขกอาจจะต้องจ่ายเพิ่ม เพื่อสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริมต่างๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขในบิล แต่ยังสามารถเป็นตัวเพิ่มรายได้เชิงกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มกำไรของโรงแรมคุณได้เยอะเลยทีเดียว

ตัวอย่างเช่น อาจมีการเก็บ Resort Fee เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สิน ค่าจอดรถ หรือค่าทำความสะอาดเพิ่มเติมหากแขกนำสัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วย

โดยค่าธรรมเนียมโรงแรมสามารถเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ที่ดีเลย ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆเพิ่มเติมได้ แต่ควรมีศิลปะในการเก็บค่าใช้จ่ายตรงนี้อย่างมีประสิทธิภาพ การเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมมากเกินไปอาจทำให้แขกรู้สึกไม่พอใจและเกิดคำถามในใจ และทำให้รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเอาซะเลย

ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่าโรงแรมของคุณสามารถนำค่าธรรมเนียมโรงแรมมาปรับใช้ยังไง ให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อพิจารณาเป็นอีกแหล่งรายได้เสริม ช่วยลดต้นทุนโดยรวม และทำให้แขกพึงพอใจ

สารบัญ

ค่าธรรมเนียมโรงแรมโดยทั่วไปและเซอร์วิสชาร์จอื่นๆ

โรงแรมแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกันและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแตกต่างกัน ซึ่งค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมที่เรามักเจอ ได้แก่:

Resort Fee และสิ่งอำนวยความสะดวก

ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ครอบคลุมการใช้งานและบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และสปา โดยแขกโรงแรมสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และยังมีส่วนช่วยจ่ายค่าบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้

ค่าจอดรถ

การเก็บค่าจอดรถด้วยตัวเองหรือค่าจอดรถโดยพนักงาน ค่าจอดรถคือการดูแลรถให้กับแขกที่ใช้ยานพาหนะของตัวเอง รวมถึงมอบความสะดวกสบาย ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้สามารถแบ่งเป็นชั้นตามระดับการบริการที่มีให้ รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการจอดรถแบบไม่มีคนดูแลหรือระยะยาว

ค่าธรรมเนียมการเช็คเอาท์ล่าช้าหรือการออกเดินทางก่อนกำหนด

ค่าธรรมเนียมเหล่านี้ให้ความยืดหยุ่นแก่แขกในการขยายเวลาการเข้าพักเกินเวลาเช็คเอาท์ที่กำหนดหรือออกเดินทางก่อนเวลา ซึ่งจะเป็นค่าชดเชยแก่โรงแรมสำหรับความไม่สะดวกในการหมุนเวียนห้องพัก (room turnover)

ค่าธรรมเนียมยกเลิกการจอง

ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกเรียกเก็บเมื่อแขกยกเลิกการจอง โดยเฉพาะหากต้องการยกเลิกนาทีสุดท้าย เพื่อช่วยลดการสูญเสียรายได้จากห้องพักที่ไม่มีคนเข้าพักและเป็นการสนับสนุนให้คนจองแล้วต้องมาเข้าพัก

ค่าธรรมเนียมคนเข้าพักเพิ่ม

สำหรับห้องพักที่มีจำนวนผู้เข้าพักเกินจำนวนที่กำหนด จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคนเข้าพักเพิ่มเพิ่มเติมเพื่อครอบคลุมเซอร์วิสชาร์จสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ

ค่าบริการมินิบาร์หรือรูมเซอร์วิส

ค่าบริการเพิ่มเติมเหล่านี้จะถูกเรียกเก็บสำหรับการรับประทานอาหารในห้องพักหรือการใช้มินิบาร์ เพื่อมอบความสะดวกสบายในระดับพรีเมียมให้กับแขก รวมถึงค่าบริการจัดส่งรูมเซอร์วิสด้วย

ค่าธรรมเนียมอินเทอร์เน็ตและค่าบริการโทรศัพท์

แม้ว่า Wi-Fi พื้นฐานอาจฟรี แต่บริการอินเทอร์เน็ตพรีเมียมหรือการโทรระหว่างประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความต้องการของนักธุรกิจ

ค่าธรรมเนียม Business centre 

สำหรับแขกที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ ปริ้นเตอร์ หรือห้องประชุม อาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม Business centre 

ค่าธรรมเนียมสำหรับตู้เซฟในห้องพัก

โรงแรมบางแห่งมีตู้เซฟในห้องพักโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อให้แขกเก็บของมีค่าอย่างปลอดภัย

ค่าธรรมเนียมการฝากสัมภาระ

สำหรับแขกที่ต้องการเก็บสัมภาระก่อนเช็คอินหรือหลังเช็คเอาท์ อาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการฝากสัมภาระเล็กๆน้อยๆ

ภาษีหรือค่าธรรมเนียมเชิงกฎหมาย

แม้ว่าจะไม่ใช่ค่าธรรมเนียมโรงแรมโดยทั่วไป แต่ภาษีก็อาจถือได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับแขก ขึ้นอยู่กับประเทศที่ที่คุณเปิดโรงแรม ภาษีอาจรวมอยู่ในราคาห้องพัก (เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่อาจมีภาษีเพิ่มเติมที่คุณเรียกเก็บแยกต่างหาก เช่น ภาษีเตียงโรงแรมในบางประเทศ

แชร์ค่าธรรมเนียมโรงแรมต่างๆ และเซอร์วิสชาร์จอื่นๆอย่างโปร่งใส

สำหรับแขกโรงแรม บรรดาค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จต่างๆมักถูกมองว่าเรียกเก็บโดยไม่จำเป็นเลย แต่ในบางโรงแรมหลายแห่งทั่วโลก รายได้ตรงนี้ถือว่าสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ 

งานวิจัยโดย Bjorn Hanson ศาสตราจารย์จาก Tisch Center for Hospitality and Tourism ของ School of Professional Studies แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เผยว่าโรงแรมต่างๆ ในสหรัฐฯ มีการเก็บค่าธรรมเนียมสูง โดยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีสัญญาณชะลอตัวแต่อย่างใด ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ค่าธรรมเนียมโรงแรมและเซอร์วิสชาร์จต่างๆอาจสร้างผลกำไรได้มากถึง 90% สำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่เชี่ยวชาญ ตัวเลขยังชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใหม่ๆก็กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเหมือนกัน เช่น:

  • ค่าใช้จ่ายพิเศษสำหรับงานจัดประชุมและเก็บของหลังงานเสร็จ
  • ค่าธรรมเนียมเช็คอินก่อนเวลา
  • ค่าธรรมเนียมระบุห้องที่ต้องการ
  • เซอร์วิสชาร์จสำหรับการจอดรถแถวชานเมืองที่ไม่มีคนเฝ้าดูแล
  • ค่าธรรมเนียมช่วยถือสัมภาระเช็คอิน

ในงานวิจัยพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของการระบุการเก็บค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จในบรรดาโรงแรมในสหรัฐฯ

ค่าธรรมเนียมโรงแรมและเซอร์วิสชาร์จบางครั้งจะถูกมองว่าเป็น ‘ค่าธรรมเนียมแฝง’ หรือ ‘ค่าธรรมเนียมที่น่าประหลาดใจ’ แต่มีแนวโน้มที่มีความโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ โดยโรงแรมใช้เว็บไซต์ อีเมลยืนยันการจอง การ์ดที่วางในห้องพัก เมนูรูมเซอร์วิส และแฟ้มบริการในห้องพักในการแจ้งว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียม แต่บางทีแขกก็คงอาจรู้สึกประหลาดใจกับค่าธรรมเนียมเหล่านี้ เนื่องมาจากการที่แต่ละโรงแรมเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่เหมือนกัน ไม่มีการกำหนดโดยแบรนด์หรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม ค่าธรรมเนียมบางอย่างถูกกำหนดขึ้นในแต่ละโรงแรมและสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ่อยครั้ง วิธีการตั้งค่าธรรมเนียมแบบนี้มีส่วนทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันเป็น ‘ค่าธรรมเนียมแฝง’ หรือ ‘ค่าธรรมเนียมที่น่าประหลาดใจ’ สำหรับแขก

การเปิดเผยการเก็บค่าธรรมเนียมอย่างจริงใจเป็นสิ่งสำคัญและ ควรมีความโปร่งใสเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเมื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จเพิ่มเติม

กลยุทธ์ค่าธรรมเนียมโรงแรมและภาษี

วิธีการแสดงความจริงใจต่อแขกเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและการเก็บเซอร์วิสชาร์จเพิ่มเติมคือการแจ้งข้อมูลเหล่านี้ระหว่างขั้นตอนการจอง แสดงเป็นตัวเลือกเสริมจะดีกว่า

ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องมือการจองโรงแรมของ SiteMinder คุณสามารถเพิ่มตัวเลือกหลายอย่างล่วงหน้า ตั้งแต่การเพิ่มอาหารเช้า รวมถึง WiFi ซึ่งเป็นสิ่งที่ OTA อย่าง Agoda.com ระบุว่าสำคัญต่อแขกเมื่อเลือกโรงแรม

หากใช้เครื่องมือการจองของ SiteMinder เป็นตัวอย่าง คุณสามารถเลือกตัวเลือกเสริมและค่าบริการสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ มากมาย นี่คือบางตัวอย่างที่ลูกค้าเลือก:

  • ต่อการจอง – เช็คเอาท์ล่าช้า
  • ต่อคนต่อคืน – อาหารเช้าร้อนๆ
  • ต่อห้อง – แชมเปญต้อนรับ
  • ต่อห้องต่อคืน – ผ้าเช็ดตัวใหม่
  • ต่อคน – แพ็คเกจเดย์สปา

คุณยังสามารถกำหนดตัวเลือกเสริมให้กับห้องเฉพาะ เช่น ‘King Suite 3-Night Special’ และเครื่องมือการจองนี้ สามารถให้คุณตั้งคำอธิบายของภาพเสริมเพื่อสร้างจุดขายที่น่าสนใจ และวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ใช้ได้เพื่อทำให้โปรโมชั่นประจำฤดูกาลตลอดทั้งปี เช่น วันวาเลนไทน์ หรือวันสงกรานต์

บางทีคุณอาจจะมองว่า ถ้ารวมตัวเลือกเสริมเหล่านี้เข้าไปในราคาห้องพักล่ะ ง่ายกว่าไหม? เราจึงอยากเตือนผู้ประกอบการโรงแรมว่าไม่ควรรวมค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จเพิ่มเติมในราคาห้องพัก เนื่องจากแขกที่มีความสนใจเข้าพักจะติดตามดูราคาห้องพักและให้ความสำคัญน้อยกว่ากับตัวเลือกเสริม และการเปลี่ยนแปลงในราคาเข้าพักในช่วงที่แขกเหล่านี้เล็งๆดูอยู่ อาจทำให้เลือกเข้าพักกับที่อื่นแทน

บางคนอาจจะแย้งว่าค่าธรรมเนียมรีสอร์ทและเซอร์วิสชาร์จอื่น ๆ ควรรวมอยู่ในราคาห้อง จึงมีเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมควรแยกค่าธรรมเนียมนี้ออกมาต่างหาก:

  • อย่างแรกเลยคือ การรวมค่าธรรมเนียมเหล่านี้เข้าไปในราคาห้องพักจะทำให้ต้องเสียภาษีมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมสำหรับแขกเพิ่มขึ้น
  • อย่างที่สอง ราคาห้องเปลี่ยนแปลงตลอดและแขกบางคนติดตามราคานี้อย่างใกล้ชิด แต่ค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จมีการกำหนดตายตัวมากกว่า
  • สุดท้าย นักเดินทางจำนวนมากให้ความสำคัญกับราคาห้องเป็นหลักเมื่อตัดสินใจจอง ดังนั้นการแยกค่าธรรมเนียมเหล่านี้ออกมาจะช่วยให้มีการกำหนดราคาพื้นฐานที่โปร่งใสมากกว่า

การเปิดเผยค่าใช้จ่ายของโรงแรมสามารถเพิ่มผลกำไรได้ยังไง

การเปิดเผยค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จเพิ่มเติมทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยลดความประหลาดใจ ทำให้แขกรู้สึกยินดีจ่ายเงินสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม วิธีการที่จริงใจนี้ยังช่วยให้คุณสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเปลี่ยนสิ่งที่เป็นตัวเลือกเสริมให้กลายเป็นประสบการณ์ที่แขกเข้าพักไม่ควรพลาด ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มความพึงพอใจในการเข้าพักเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ของคุณอีกด้วย นี่คือวิธีที่น่าสนใจ:

การสร้างความไว้วางใจ

เมื่อคุณเปิดเผยค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จแบบไม่มกมิด คุณกำลังสร้างพื้นฐานความเชื่อมั่นให้กับแขก ความไว้วางใจนี้มีค่ามหาศาล ไม่เพียงแต่กระตุ้นให้แขกใช้บริการเพิ่มเติมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวอีกด้วย แขกที่ไว้วางใจคุณคือแขกที่จะกลับมาใช้บริการอีก และการทำธุรกิจที่มีลูกค้ากลับมาซ้ำมักจะทำกำไรได้มากกว่าการหาลูกค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา

การตลาดที่มีประสิทธิภาพ

การเปิดเผยค่าใช้จ่ายทำให้คุณสามารถทำการตลาดบริการเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่เพิ่มคุณค่า แทนที่จะเป็นค่าใช้จ่ายแฝง ไม่ว่าจะเป็นแพ็คเกจสปา ทัวร์นำเที่ยว หรือประสบการณ์รับประทานอาหารสุดพิเศษ การกำหนดราคาที่ชัดเจนช่วยให้คุณสามารถจัดแพ็คเกจบริการเหล่านี้ในแบบที่น่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น จากบริการเสริมยกระดับให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มการใช้บริการและรายได้

งบประหยัดสำหรับแขก

เมื่อแขกรู้แน่ชัดว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็สามารถวางแผนงบการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจยอมจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม โดยรู้ว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่รู้มาก่อน เป็นการให้อำนาจแขกในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการเข้าพัก และในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเสริมสร้างธุรกิจของคุณให้สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มเติมที่มีความหมายมากขึ้นและได้รับการใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง

รีวิวเชิงบวกและการบอกต่อ

ความโปร่งใสในการกำหนดราคาช่วยลดความเสี่ยงของรีวิวเชิงลบที่มาในแนว “เราโดยเรียกเก็บเงินกับอะไรก็ไม่รู้! แนะนำว่าอย่ามาพักที่นี่!” จึงควรลดความเสี่ยงเกี่ยวกับรีวิวเชิงลบในโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพราะการตลาดปากต่อปากเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสิ่งช่วยเพิ่มการจองห้องพัก ซึ่งส่งผลให้มีกำไรสูงขึ้นตามไปด้วย

ปลดล็อกโอกาสรายได้อย่างเต็มเหนี่ยวด้วย SiteMinder

ความเชี่ยวชาญในการจัดการค่าธรรมเนียมของโรงแรมของคุณสามารถเป็นอาวุธลับในการเติบโตของรายได้ SiteMinder พร้อมช่วยคุณปลดล็อกศักยภาพนี้ แพลตฟอร์มของเราถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนค่าธรรมเนียมโรงแรมของคุณจากส่วนเสริมธรรมดาให้เป็นตัวเพิ่มรายได้เชิงกลยุทธ์ พร้อมกับเพิ่มความพึงพอใจของแขก

  • การจัดการค่าธรรมเนียมที่ง่ายขึ้น: แพลตฟอร์ม SiteMinder เป็นระบบที่ใช้งานง่าย ช่วยให้คุณสามารถจัดหมวดหมู่ ติดตาม และอัปเดตค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
  • ชี้แจงกับแขกเข้าพักอย่างเปิดเผย: แพลตฟอร์มของเราช่วยสื่อสารอัตโนมัติและโปร่งใสเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและเซอร์วิสชาร์จต่างๆทั้งหมด โดยส่งตรงไปยังช่องทางการสื่อสารที่แขกต้องการ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความไว้วางใจ แต่ยังกระตุ้นให้แขกใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม ซึ่งส่งผลดีต่อรายได้ของคุณ
  • การวิเคราะห์เชิงลึก: ติดตามว่าด้านใดของโรงแรมของคุณทำกำไรได้มากที่สุด เปรียบเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างไร และมีการใช้งานในกลุ่มแขกต่างๆ อย่างไร กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้ช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมของคุณเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด 

Get started with SiteMinder for free or watch a demo to learn more.

Banner offering a free demo of SiteMinder's platform

]]>